Flash Marriage เธอต้องแต่งงานกับฉัน - บทที่ 1572 การสะสางครั้งสุดท้าย
หลังจากที่เสียงของจ้านเซินสิ้นสุดลง การแสดงออกทางสีหน้าของฉินซีกับลู่เซิ่นก็เปลี่ยนเป็นสีหน้าที่ไม่สู้ดีขึ้นมาเล็กน้อย
ดูเหมือนว่าเพื่อที่จะได้เห็นการแสดงออกเช่นนี้ของทั้งสองคนนี้ จ้านเซินจึงไม่ได้ให้เวลาพวกเขาคุยกันอีกต่อไป เขายื่นมือออกมาถอดแว่นตาดำของตัวเองออก แล้วพูดขึ้นเสียงว่า “พอแล้ว ควรเริ่มได้แล้ว ก็เริ่มเลยเถอะ พวกเราอย่าเสียเวลากันอีกเลย”
ทันใดนั้นฉินซีที่กำลังจับมือของลู่เซิ่นอยู่ก็ออกแรงเล็กน้อย
ลู่เซิ่นปลอบใจด้วยการตบหลังมือของเธอ แล้วตอบรับไปว่า “โอเค งั้นก็เริ่มเลยเถอะ คนที่นายพามาด้วยในวันนี้มีไม่มาก คิดว่า……นายคงอยากจะลงสนามเองใช่ไหม?”
จ้านเซินพยักหน้า “ใช่ เราอย่ามาแข่งกันในสิ่งที่มันไร้ประโยชน์เหล่านั้นเลย ในเมื่อจะสะสางให้มันจบสิ้นกันแล้ว งั้นก็ให้มันเป็นเรื่องระหว่างเราสองคนเถอะ”
ไม่มีใครรู้ว่าจ้านเซินประสบอะไรมาบ้างในช่วงสองวันที่ผ่านมา
ความบ้าคลั่งและความโกรธเกรี้ยวจากการที่หาฉินซีไม่พบในช่วงเวลานั้นก่อนหน้านี้ก็เย็นลง แล้วกลายเป็นความเจ็บปวดในทันทีเมื่อได้เห็นวิดีโอที่ฉินซีกับลู่เซิ่นส่งมา
ความบ้าคลั่งพุ่งเข้าใส่ทำให้วิงเวียนศีรษะ แต่ความเจ็บปวดทำให้หัวสมองปลอดโปร่ง
จ้านเซินเริ่มวางแผนอย่างจริงจังสำหรับการสะสางครั้งสุดท้ายนี้
เขาเคยคิดหลายวิธีมาก ใช้อิทธิพลขององค์กรโจมตีบริษัทลู่ซื่อ ตอนที่บริษัทลู่ซื่ออยู่ในช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวาน แล้วให้ลู่เซิ่นต้องเลือกระหว่างฉินซีกับบริษัทลู่ซื่อ หรือว่าเหมือนกับครั้งที่แล้ว นำคนกลุ่มหนึ่งไปต่อสู้กับเขา ซึ่งจ้านเซินยังคงมั่นใจในกำลังการต่อสู้ของคนในองค์กรมาก แม้ว่าลู่เซิ่นจะมีเวลาสองวันในการเตรียมตัว แต่ก็ไม่แน่ใจว่าจะสามารถต่อสู้กับตัวเองได้ ต่อหน้าต่อตาลู่เซิ่น เขาจะพาตัวฉินซีไปอีกครั้ง และให้ฉินซีเบิกตามองดูลู่เซิ่นพ่ายแพ้ไปเป็นครั้งที่สอง เธอจะสูญเสียความเชื่อใจที่มีต่อเขาหรือไม่?
แต่เขามักจะรู้สึกว่าวิธีการเหล่านี้มีบางอย่างผิดปกติจนพูดไม่ออก ดังนั้นสองวันที่ผ่านมา เขาจึงยังไม่สามารถตัดสินใจเลือกได้
ตอนที่ได้เห็นจากในข่าวว่าลู่เซิ่นกับฉินซีประสานมือกันปรากฏตัวอยู่ที่บริษัทลู่ซื่อและทั้งสองคนก็ขมวดคิ้วยิ้มแย้มกันซึ่งล้วนเป็นการแสดงความรักต่อกัน เขาก็พุ่งตรงไปอยู่ตรงหน้าสองคนนั้น แล้วใช้กำลังที่แข็งแกร่งขององค์กรแยกทั้งสองคนออกจากกกันอย่างฮึกเหิม
แต่เขาก็รู้และเคยประสบมาแล้วเช่นกัน คำพูดเช่นนี้ แม้ว่าฉินซีจะกลับมาอยู่เคียงข้างตนเองแล้ว แต่ก็ไม่ได้เต็มอกเต็มใจเลย
——เต็มอกเต็มใจอย่างนั้นเหรอ?
เมื่อเองตระหนักได้ว่าตัวเองกำลังคิดอะไรอยู่ จ้านเซินก็อดไม่ได้ที่จะอยากหัวเราะออกมาเล็กน้อย
ถึงตอนนี้ เขาก็รู้แล้วว่า ฉินซีจะไม่สามารถกลับมาอยู่เคียงข้างตนเองได้อย่างเต็มอกเต็มใจอีกแล้ว
แต่ถึงแม้จะเป็นร่างที่ไร้วิญญาณ เขาก็ต้องนำตัวเธอมาอยู่เคียงข้างตนเอง
และถึงแม้ว่าจะคิดอย่างนั้น จ้านเซินก็ยังคงระงับอารมณ์ที่ฮึกเหิมของตนเองเอาไว้ รักษาคำมั่นสัญญาและรอคอยอีกสองวัน
ไม่ต้องพูดถึงคนอื่นเลย ถังย่าที่รู้เพียงแค่เรื่องภายใน ต่างก็รู้สึกงงงันกับความอดทนที่เป็นประวัติการณ์ของจ้านเซิน
แต่จ้านเซินเองก็ไม่สามารถยอมรับได้ สาเหตุที่เขาทำอย่างนี้ ยังเป็นเพราะว่าความหวังเพียงเล็กน้อยที่อยู่ในใจของเขากำลังเลือนรางลงไปแล้ว
……ถ้าตัวเองรักษาสัญญาเพื่อผลที่จะได้รับหลังจากที่รอมาแล้วสองวันได้ เธอจะเต็มใจมากกว่านี้บ้างหรือไม่?
แต่ทว่าความอดทนเพียงเล็กน้อยในครั้งสุดท้ายของเขาได้ถูกความโกรธแค้นพังทลายไปแล้วตอนที่ได้รู้ความเคลื่อนไหวของฉินซีกับลู่เซิ่น
คิดไม่ถึงเลยว่าเธอจะพาลู่เซิ่นมาถึงสถานที่ที่ตัวเองกับเธอเคยมาดูดาวด้วยกันอย่างไม่ยี่หระขนาดนี้?
เมื่อจ้านเซินตระหนักได้ว่าความโกรธแค้นของตัวเองไม่ปกติธรรมดา ตัวเองจึงได้พาคนสองสามคนนั่งรถมุ่งไปที่ภูเขาลูกนั้น
แต่ทว่าทันใดนั้นเขาก็มีความรู้สึกที่มีสติปัญญารู้ตื่นขึ้นมา
แท้ที่จริงแล้วนี่คือวิธีที่เหมาะสมที่สุดในการชำระสะสางเป็นครั้งสุดท้ายแล้ว
เขากับลู่เซิ่น เพียงสองคนเท่านั้น กำลังคนกำลังทรัพย์และผู้หนุนหลังที่อยู่ด้านหลังของพวกเขาไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆทั้งสิ้น มีเพียงพวกเขาสองคนเท่านั้น ที่จะทำการประลองฝีมือกันอย่างจริงจังอยู่ในสนาม
ผลแพ้ชนะที่ออกมาด้วยวิธีนี้ ก็คือผลลัพธ์ที่โปร่งใสที่สุด เมื่อแสดงต่อหน้าฉินซี มันจะทำให้เธอจำเป็นต้องจากไปพร้อมกับตัวเองแต่โดยดี
ไม่ใช่ว่าจ้านเซินจะมั่นใจในตัวเองอย่างไม่ลืมหูลืมตา แต่เขากับลู่เซิ่นเคยประมือกันแล้ว แม้ว่าลู่เซิ่นก็เคยเรียนวิชาหมัดมวยมาแบบจริงๆจังๆแล้วเช่นกัน แต่เมื่อเทียบกับจ้านเซิน ฝีมือของพวกเขายังคงห่างชั้นกันมากจริงๆ เรียกได้ว่า แทบจะไม่มีความเป็นไปได้ที่จะชนะเลย
จ้านเซินไม่ได้รู้สึกว่าการประลองฝีมือที่มีกำลังแตกต่างกันมากแบบนี้จะไม่ยุติธรรมเลย ถึงอย่างไรเสียลู่เซิ่นเองก็ไม่เคยพูดว่าต้องการจะจบเรื่องนี้ยังไง ในความเห็นของจ้านเซินแล้ว นี่ก็คือโอกาสสำหรับเขา
ไม่ต้องเป็นไอ้โง่แล้ว
ดังนั้นจ้านเซินจึงอยู่ภายใต้การจ้องมองของฉินซี แล้วก็พูดกับลู่เซิ่นอย่างใจเย็นว่า “แค่เราสองคนเท่านั้น เอาชนะฝ่ายตรงข้ามได้ ก็จะถือว่าชนะแล้ว”
สักพักหนึ่งสีของเลือดฝาดที่อยู่บนใบหน้าของฉินซีก็ค่อยๆถอดสีไปจนหมด
……เธอจะบอกว่า ครั้งนี้จ้านเซินพาคนมาแค่นี้ จริงๆแล้วไม่ใช่ว่าเกิดมีมโนธรรมในใจขึ้นหรอก แต่เขามีความคิดเช่นนี้อยู่ต่างหาก
ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เธอกับลู่เซิ่นก็ไม่มีโอกาสชนะอย่างแน่นอน แต่เธอรู้ทักษะของลู่เซิ่นกับจ้านเซินเป็นอย่างดี ในการแข่งขันแบบตัวต่อตัวกับจ้านเซินนั้น ลู่เซิ่นแทบจะไม่มีความเป็นไปได้ที่จะมีโอกาสชนะเลย
น่าจะเป็นเพราะว่าพอเห็นสีหน้าที่ดูไม่สู้ดีนักของฉินซี จ้านเซินถอดนาฬิกาที่อยู่บนข้อมือออกมาอย่างช้าๆ และหยิบอาวุธในกระเป๋าเสื้อและกระเป๋ากางเกงออกมา แล้วหงายมือโนไปให้คนสองสามคนที่อยู่ด้านหลัง พร้อมกับเอ่ยปากพูดออกมาว่า “เพื่อความยุติธรรม ฉันไม่ได้พกอาวุธอะไรติดตัวเลย นาย…แล้วแต่จะใช้หรือไม่ใช้นะ”
การดูถูกเหยียดหยามในน้ำเสียงของเขาทำให้ลู่เซิ่นกำหมัดขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว แต่เขาไม่ใช่คนที่ถูกยั่วยุแล้วทำเรื่องโง่ๆลงไปได้อย่างง่ายดาย และไม่บุ่มบ่ามพูดอะไรออกมาว่า “ฉันก็ไม่ได้พกอะไรเหมือนกัน” เพียงเพราะการดูถูกเช่นนี้ เขาเงียบไปสักพัก แล้วจึงเอ่ยปากพูดว่า “ในเมื่อนายพูดอย่างนี้ งั้นฉันก็จะปฏิบัติตามคำสั่งนั้นดีกว่าการแสดงความเคารพก็แล้วกัน”
กระเป๋ากางเกงของเขาตุงขึ้นมา ไม่รู้ว่ากำลังซ่อนอาวุธอะไรอยู่ และเขาก็ไม่ได้มีความคิดที่จะหยิบออกมาเช่นกัน
ฉินซีรู้สึกกระวนกระวายอยู่ภายในใจ จึงจับมือของลู่เซิ่นและคิดอยากจะหน่วงเหนี่ยวเขาเอาไว้ และอยากจะเจรจาต่อรองกับจ้านเซินอีกครั้ง แต่ลู่เซิ่นกลับรู้ดีว่า จ้านเซินไม่สามารถถอยหลังกลับไปได้อีกแล้ว
ดังนั้นเขาจึงได้แต่ปลอบขวัญฉินซีด้วยการจูบไปบนหน้าผากของฉินซีหนึ่งครั้ง จากนั้นก็ถอยหลังหนึ่งก้าว คลายมือของฉินซีออก แล้วเดินตามฝีเท้าของจ้านเซินไป
จ้านเซินไม่ต้องมองก็รู้ว่าคนสองคนที่อยู่ข้างหลังเขามีความสนิทชิดเชื้อกันมากแค่ไหน แต่เขากลับมีความรู้สึกอันเป็นสุขที่โหดร้ายอยู่ภายในใจ
——คว้าโอกาสบอกลาเป็นครั้งสุดท้ายไว้ให้แน่นๆเถอะ ถึงยังไงซะอีกสักครู่หนึ่งหลังจากที่ผลการประลองออกมา พวกคุณก็จะไม่มีโอกาสได้พบหน้ากันอีกต่อไปแล้ว
เขาเดินไปไม่ไกลนัก ก็หยุดฝีเท้าอยู่บนพื้นราบซึ่งอยู่ไม่ไกลจากจุดจอดรถเท่าไหร่ แล้วหันไปมองลู่เซิ่น
การแสดงออกบนสีหน้าของลู่เซิ่นสงบเยือกเย็นมาก จนทำให้ผู้คนดูไม่ออกเลยว่าในใจของเขากำลังคิดอะไรอยู่
แต่จ้านเซินไม่ได้มีกะจิตกะใจไปสำรวจความคิดของคนอื่นอย่างสบายใจขนาดนั้น เขาเพียงแต่เชิดคางขึ้นมาอย่างเฉื่อยชา แล้วพูดว่า “อยากจะวอร์มร่างกายสักหน่อยไหม?”
สีหน้าของลู่เซิ่นยังคงไม่เปลี่ยนไป แต่ทว่าทันใดนั้นเขาก็รีบวิ่งไปอยู่ข้างๆจ้านเซินด้วยความเร็วที่เร็วมากจนไม่มีใครมองเห็น แล้วยื่นหมัดหนึ่งหมัดออกไป “ไม่ต้องทำอะไรให้มันยุ่งยากแล้ว”
ความเร็วของเขาเร็วมาก แต่จ้านเซินกลับดูเหมือนว่าจะไม่ตกใจกลัวเลยสักนิด เขาเพียงแต่หลีกไปข้างหลังด้วยสติที่แน่วแน่ และหลบหมัดของเขาอย่างรวดเร็ว แต่ในน้ำเสียงยังคงมีความเย็นชาแฝงอยู่ด้วยเล็กน้อย “ดูเหมือนว่านายจะพร้อมแล้วสินะ ถ้าอย่างนั้นฉันก็ไม่ต้องมีเมตตากับนายแล้ว”
ลู่เซิ่นไม่ประสบความสำเร็จในการโจมตีกระบวนท่าแรก แต่ก็ไม่ได้ท้อถอย เขายังมีเวลาโต้ตอบคำพูดเสียดสีของจ้านเซินกลับไปว่า “นายไม่จำเป็นต้องมีเมตตากับฉันหรอก แม้ว่า……ฉันรู้สึกว่านายก็ไม่ได้มีความรู้สึกแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไรอยู่แล้วนี่ ใช่ไหมล่ะหัวหน้าองค์กรผู้เลือดเย็นไร้ปรานี?”
การแสดงออกทางสีหน้าของจ้านเซินไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปเพราะคำพูดของลู่เซิ่น แต่กำลังที่อยู่ในกำปั้นที่ยกขึ้นมานั้น กลับสะท้อนให้เห็นถึงอารมณ์และความรู้สึกของเขาได้อย่างชัดเจน