Flash Marriage แต่งงานกับคน(ไม่)ธรรมดา - บทที่ 155 คำสาปแช่งของมู่ซูว
บทที่ 155 คำสาปแช่งของมู่ซูว
ตกดึก ตระกูลมู่
เวลานี้ตระกูลมู่ไม่ได้เข้านอนเพราะดึกแล้ว ตรงกันข้ามคนในบ้านตระกูลมู่ตื่นกันทั้งหมดในเวลานี้ เป็นเพราะผู้ปกครองของตระกูลมู่ได้ใช้กฎของบ้านอีกครั้ง
มู่ซูวคุกเข่าบนแผ่นน้ำแข็ง มู่หลงยืนอยู่ข้างหลังเธอถือแส้หนังเส้นใหญ่อยู่ ตีลงหลังของเธอทีละแส้ ไม่รู้ว่าตีอย่างไร เสื้อไม่ขาดเลยแม้แต่นิดเดียว มีแต่เสื้อด้านในมีเลือดซึมออกมา มู่ซูวเหงื่อเย็นทั่วร่างกายราวกับเธอถูกดึงขึ้นมาจากน้ำ
“แกนิมันเหี้ยจริงๆ แกยังเป็นคนของบ้านตระกูลมู่อยู่ไหม?”มู่หลงตะโกนด่าว่าอย่างเสียงดัง ไม่รู้สึกแม้แต่นิดเดียวเลยว่าคำพูดน้ำเสียงของตนมีความผิดปกติไปหรือเปล่า เป็นความไม่พอใจที่ระบายออกมาจากความรักทั้งนั้น “ฉันมู่หลงทำไมถึงได้มีลูกสาวอย่างแก ตระกูลมู่ทำไมถึงได้มีลูกหลานอย่างแกแบบนี้!อับอายขายหน้าตระกูลจริงๆ ขายหน้าตระกูลจริงๆ!”
พูดอยู่ แส้หนังที่อยู่บนมือก็ได้ฟาดลงที่บนหลังของมู่ซูวซ้ำๆ!
มู่ซูวไม่ออกเสียงอะไรเลย เพียงแค่กัดริมฝีปากของตนไว้แน่นๆ แม้ว่าจะสัมผัสถึงกลิ่นคราวเลือดแล้วก็ตาม เธอก็ไม่คิดที่จะคลายปากออก ก็ยอมให้มู่หลงตีตามใจอยู่อย่างนั้น
บนโซฟาที่อยู่ตรงข้าม จื่อผู่หยางนั่งอยู่กับมู่เยียน สีหน้าท่าทางที่ไม่มีความเปลี่ยนแปลงเลยแม้แต่นิด กระทั่งบนมือยังได้ถือชาดอกไม้ไว้ดื่มและพูดคุยกันเป็นระยะระยะ เหมือนไม่ได้เห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้าเลย
“เยียนหรานเอ้ย ครั้งนี้แกพลาดสายตาไปแล้วหรือเปล่า?”ในท้ายสุดแล้วจื่อผู่หยางก็รู้สึกว่ามู่เยียนประเมินค่าของยินเสี้ยวเสี้ยวสูงไปเล็กน้อย “ฉันรู้สึกว่าเธอไม่มีตรงไหนดีเลยสักอย่าง”
มู่เยียนหรานมองลงล่างแล้วยิ้มอ่อน ผ่านไปสักพักจึงจะกล่าว :“แม่ ไว้ใจเถอะ ฉันกะไว้ในใจอยู่แล้ว”
จื่อผู่หยางถอนหายใจเบาๆไปหนึ่งที ยื่นมือไปลูบผมเธอแล้วกล่าว :“เด็กคนนี้นิเป็นแบบนี้ตลอดเลยน้า มีเรื่องอะไรก็ไม่บอกพวกฉันสักอย่างจะไปแก้ไขปัญหาเองตลอดเลย ไม่รู้จริงๆว่านิสัยนี้ของแกเหมือนกับใครกันแน่”
ไม่เอ่ยปากพูดสักคำ มู่เยียนหรานแค่นำสายตามองไปที่มู่ซูว แล้วยิ้มอ่อนที่มุมปากอย่างลึกลับ
ทุกที่ติดค้างเธอไว้ เธอจะทวงคืนกลับมาให้ครบจนหมดทีละอย่าง!
มู่หลงด่าว่ามู่ซูวอย่างเสียงดัง บางคนที่ไม่รู้เหตุผลก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกตะลึงเมื่อได้ยินเหตุผล ไม่ว่ายังไงก็คิดไม่ถึงว่าเหตุผลมันจะไร้สาระขนาดนี้
คุณหนูสองของบ้านตระกูลมู่แท้ๆ เป็น‘บัลเล่ต์เอลฟ์’ที่รู้จักกันในระดับสากลกลับได้ไปขโมยสิ่งของของพี่สาวตนเอง?
มีนิสัยขี้ขโมยงั้นหรอ?
ภายในระยะเวลาไม่มาก มีผู้คนไม่น้อยที่มองมู่ซูวไม่ดีกันซะแล้ว ผู้เฒ่าผู้แก่ที่เคยอยู่บ้านดูเหมือนจะรู้เรื่องนี้มานานแล้ว และมักจะมองมู่ซูวด้วยสายตาที่ไม่พอใจและดูถูกเหยียดหยาม
ในบ้านตระกูลมู่การมีมู่ซูวอยู่คือสิ่งที่น่าอึดอัดใจมาก
ทั้งๆที่เป็นเจ้านายแต่ใช้ชีวิตที่แม้กระทั่งชีวิตของคนใช้ยังเทียบไม่ติดเลย ในอีกแง่มุมก็พูดได้ว่าก่อนหน้าที่ไม่ได้พบเจอกับจิ๋นลี่ยวน ไม่ได้รับการปกป้องจากยินจื่อเจิ้นก็เหมือนกับตอนนั้นของยินเสี้ยวเสี้ยว
จนมู่หลงตีจนเหนื่อยแล้ว แส้หนังที่อยู่บนมือจึงจะโดนเขาทิ้งลงบนพื้น แต่ปากก็ยังคงด่าว่าไม่หยุด
ตระกูลมู่เป็นครอบครัวที่แปลกประหลาดมาก อยู่นี้หลายครั้งที่มู่หลงก็ชอบยุ่งเรื่องพวกนี้มากกว่าจื่อผู่หยางผู้หญิงคนนี้ซะอีกส่วนจื่อผู่หยางก็แลดูมีความใจเย็นและมีสติมากกว่ามู่หลงเยอะเลย
ดูมู่หลงตีเสร็จแล้ว จื่อผู่หยางได้โยนสายตาที่ดูถูกเหยียดหยามทิ้งไว้ตรงนั้นแล้วไม่มองไปที่มู่ซูวอีกเลย ปล่อยให้มู่ซูวลุกขึ้นมาด้วยความยากลำบากคนเดียวแล้วเดินออกไปด้านนอกประตู กระทั่งไม่มีคนถามเธอเลยว่าดึกขนาดนี้แล้ว เธอจะออกไปไหน
หลายครั้ง ที่เธออาศัยอยู่ที่บ้านหลังนี้ เธอใช้ชีวิตลำบากยิ่งกว่าหมาตัวหนึ่งซะอีก
……
หลังจากที่รอมู่ซูวออกไปแล้ว ภายในห้องก็เหลือเพียงมู่หลงกับจื่อผู่หยางสองแม่ลูก คนใช้ต่างก็แยกย้ายกันไปหมด
มองมู่เยียนหรานด้วยความเป็นห่วงเป็นใย ทันใดนั้นจื่อผู่หยางก็ได้พูดออกมาด้วยน้ำเสียงเบาๆว่า:“ถ้าหากว่าตอนนั้นเราทำทุกอย่างให้มันละเอียดอ่อนกว่านี้ ตอนนี้เยียนหรานก็ไม่ต้องทุกข์ทรมานอะไรขนาดนี้หรอก”
ท่าทางการกระทำของมู่เยียนหรานที่กำลังดื่มชาก็ได้หยุดชะงักไปหนึ่งทีแต่เธอไม่ได้พูดอะไร
มู่หลงมองสภาพของมู่เยียนหรานที่อ่อนแอเช่นนี้ ไฟโมโหของเขาก็ได้ลุกขึ้นมากะทันหันอีกครั้ง ตะโกนเสียงดังว่า:“ทั้งหมดก็ต้องโทษมู่ซูวไอ่เด็กอกตัญญูไร้ยางอายนั้น ถ้าไม่ใช่เพราะเธอโลภมาก บ้านเราจะเจอกับเรื่องแย่ๆพวกนี้ได้ยังไงเยียนหรานก็คงไม่ต้องเจอความยากลำบากมากมายขนาดนี้!ไอ่เหี้ยนี้มันก็เหี้ยไปทั้งกระดูกของมัน!ไม่มีเจตนาที่ดีเลยแม้แต่นิด!”
พอได้ยินเช่นนี้ คิ้วของจื่อผู่หยางก็ได้ขมวดแน่นขึ้นมากกว่าเดิม ถ้าไม่ใช่เพราะมู่ซูว มู่เยียนหรานก็คงมีชีวิตอยู่บนโลกนี้ด้วยสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงแล้วสินะ คงไม่ต้องใช้ชีวิตอยู่ด้วยความหวาดระแวงมา25ปีและยังหาหัวใจที่เหมาะสมไม่ได้!
บทสนทนาหนึ่งผ่านไป ทั้งห้องโถงก็ได้เงียบลงกะทันหัน
มู่เยียนหรานไม่ได้พูดอะไร ผ่านไปสักพักมู่หลงจึงจะตบที่หน้าอกของตนแล้วรับประกันกับเธอว่า:“เยียนหราน แกวางใจเถอะ ไม่ว่ายังไงพ่อก็จะหาหัวใจที่เหมาะกับแกให้ได้ จะทำให้แกดำรงชีวิตอยู่ต่อไปด้วยชีวิตที่ดีแน่นอน!แกรอด้วยความสบายใจได้เลย!”
เงยหน้าขึ้นแล้วยิ้มอ่อนไปหนึ่งที มู่เยียนหรานพูดไปคำหนึ่งว่า ‘ขอบคุณค่ะ’
บ้านหลังนี้ ถ้าไม่ใช่เพราะอุบัติเหตุในปีนั้น ก็คงสวยงามเป็นพิเศษสินะ ……
ยามค่ำคืน ยินเสี้ยวเสี้ยวที่กำลังหลับลึกอยู่ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงมีคนตะโกนจากด้านนอกเข้ามา แล้วยังมีน้ำเสียงที่ขัดแย้งแฝงอยู่
“จิ๋นลี่ยวน จิ๋นลี่ยวนคุณลงมาเดี๋ยวนี้!”เสียงแบบนี้ยินเสี้ยวเสี้ยวถือว่าไม่แปลกหูนะ ถ้าไม่ใช่มู่ซูวแล้วจะเป็นใครอีก?แล้วยังเสมือนว่าเธอทะเลาะกับคนรอบข้างอีกด้วย “พวกแกปล่อยฉันเดี๋ยวนี้นะ ฉันมาหาจิ๋นลี่ยวน!ฉันแค่ได้เจอเขาฉันก็จะไปจากที่นี้ทันที!จิ๋นลี่ยวนคุณลงมาเดี๋ยวนี้นะ!”
ภายใต้ความมืดมน ยินเสี้ยวเสี้ยวได้ลืมตาขึ้นมา ที่นอนข้างๆไม่ได้มีร่างของจิ๋นลี่ยวนนอนอยู่แล้ว เดินลงมาจากเตียงด้วยเท้าเปล่ายินเสี้ยวเสี้ยวจึงจะเห็นว่าไฟห้องโถงได้เปิดไว้ จิ๋นลี่ยวนกำลังยืนมองผู้หญิงที่อยู่ชั้นล่างอย่างเงียบๆตรงริมหน้าต่าง
เห็นยินเสี้ยวเสี้ยวเดินออกมา จิ๋นลี่ยวนรีบเดินเข้ามาอุ้มเธอขึ้นในท่าเจ้าหญิงแล้วเดินเข้าไปในห้องนอน เดินไปด้วยก็ได้พูดไปด้วยว่า:“ทำไมไม่ใส่รองเท้าก่อนเดินออกมาล่ะ ระวังเป็นหวัดนะอย่าว่าแต่ไปทำงานเลยแม้แต่ไปเรียนก็คงไปไม่ได้แล้วแหละ”
ยินเสี้ยวเสี้ยวได้ฟังคำพูดของเขากลับยิ้มที่มุมปากแล้ว ในขณะที่เขากำลังวางเธอลงบนเตียงเธอก็ได้ควงที่หลังคอของเขาไว้ บังคับให้เขาก้มตัวมองตน กล่าว:“จิ๋นลี่ยวน คุณไม่ลงไปดูหน่อยหรอ?”
มู่ซูว แฟนเก่าของเขา
จะบอกว่ายินเสี้ยวเสี้ยวไม่แคร์เลยแม้แต่นิดเดียวก็เป็นไปไม่ได้ แม้จะรู้ว่าจิ๋นลี่ยวนไม่ได้ชอบเธอเลยด้วยซ้ำก็ตามแต่ก็ไม่สามารถห้ามให้ยินเสี้ยวเสี้ยวไม่หึงเขาได้ ผู้หญิงทุกคนไม่สามารถใจกว้างกับแฟนเก่าของผู้ชายได้หรอก เช่นเดียวกันกับที่ผู้ชายทุกคนก็ไม่สามารถที่จะใจกว้างกับแฟนเก่าผู้หญิงได้
จิ๋นลี่ยวนไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่มองเธออย่างเงียบๆ
หลังจากที่ผ่านไปสักพัก ยินเสี้ยวเสี้ยวถอนหายใจออกมาเบาๆแล้วกล่าว:“จิ๋นลี่ยวน ฉันใจแคบมากเลยนะ เพราะฉะนั้นอย่าไปยุ่งเกี่ยวอะไรกับเธอทั้งนั้น”
ประโยคเดียว ยินเสี้ยวเสี้ยวกลับเป็นคำที่อนุญาตให้จิ๋นลี่ยวนลงไปหามู่ซูวแล้ว
ไม่ใช่เพราะว่าเธอใจกว้าง แต่เป็นเพราะว่าเธอรู้ว่าดึกขนาดนี้แล้ว ถ้ามู่ซูวโวยวายดังขึ้นมากว่านี้ งั้นพรุ่งนี้เธอกับจิ๋นลี่ยวนก็จะมีชื่อเสียงในเมืองไห่เมียวแล้ว กระทั่งหน้าของจิ๋นลี่ยวนก็จะไม่มีที่ไว้อีกด้วย แม้ว่าเธอจะไม่คิดให้ตนเองแต่ยังไงก็ต้องคิดเผื่อจิ๋นลี่ยวน ในฐานะหมอที่มีจิตใจดีงามเมตตา ภาพลักษณ์ชื่อเสียงของจิ๋นลี่ยวนสำคัญมาก
ก้มหน้า จิ๋นลี่ยวนจูบลงที่ปากของยินเสี้ยวเสี้ยวอย่างอ่อนโยนแล้วกล่าว:“รอฉันกลับมานะ”
พยักหน้า ยินเสี้ยวเสี้ยวก็ได้มุดเข้าไปในผ้าห่มอย่างไม่ดื้อแล้วรอเขากลับมา
……
ชั้นล่าง ท้ายสุดแล้วมู่ซูวก็ได้เปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนที่จะมาที่นี่ เพียงแต่ว่าอาจจะเป็นเพราะแผลที่เป็นหนักรุนแรงจึงทำให้เหงื่อท่วมตัวจนเสื้อเปียก ติดแนบอยู่กับเนื้อกายด้านหลังทำให้เห็นรอยตีจากแส้ได้อย่างชัดเจนเป็นเส้นๆ
สีหน้าขาวซีด มู่ซูวก็ได้มองบ้านของจิ๋นลี่ยวนกับยินเสี้ยวเสี้ยวอย่างดื้อด้านอยู่อย่างนั้น
“จิ๋นลี่ยวน!จิ๋นลี่ยวนคุณลงมาเดี๋ยวนี้นะ ลงมา!”ตะโกนอย่างปากแข็งดื้อด้าน มีความรู้สึกเหมือนตะโกนจนสุดเสียงแล้วซะอย่างนั้น
เร็วมาก จิ๋นลี่ยวนก็ได้สวมเสื้อคลุมไว้แล้วปรากฏอยู่ที่ชั้นล่าง รปภ.เห็นว่าจิ๋นลี่ยวนเดินลงมาก็ทนไม่ได้ที่จะรู้สึกโล่งอก ในตอนที่มู่ซูวเริ่มดื้อรั้นขึ้นมา มันทำให้พวกเขาลำบากใจมาก หลังจากที่ผู้หญิงคนนี้เข้ามา เธอก็ไม่ได้ขึ้นไปเรียกใครสักคน เอาแต่ตะโกนเสียงดังอยู่ที่ชั้นล่าง ทำให้คนจำนวนมากตื่นขึ้นมา
คิ้วขมวดแน่น จิ๋นลี่ยวนเดินไปตรงหน้าของมู่ซูว
ทันใดที่ได้เห็นจิ๋นลี่ยวนนั้น มู่ซูวก็ได้ยิ้มขึ้นมาทันที มองไปบนใบหน้าที่ขาวซีดมีความรู้สึกขนลุกและน่ากลัว แต่ว่าเธอกลับบอกว่า:“จิ๋นลี่ยวน คุณนิมันเป็นแฟนเก่าที่ยอดเยี่ยมจริงๆเลย ทำลายอาชีพของฉัน ทำลายชื่อเสียงของฉัน แล้วยังมาทำร้ายหัวใจของฉันอีก!”
พวกรปภ.จับจมูกตนเองแล้วรีบเดินไปจากที่นี่ทันที
ที่นี้แม้ว่ามองไปแล้วจะเหมือนเป็นแค่ชุมชนธรรมดา แต่ว่ามีผู้ที่ตำแหน่งสูงๆอาศัยอยู่ไม่น้อยเลย มีเรื่องราวมากมายที่ไม่ใช่คนอย่างพวกเขาจะมายุ่งได้
จิ๋นลี่ยวนมองผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าโดยที่ไม่ได้พูดอะไร สีหน้าท่าทางที่เย็นชา
มู่ซูวเดินเซไปมา บนใบหน้าที่ขาวซีดทันใดนั้นก็ได้มีน้ำตาไหลออกมาแล้วพูดไปด้วยว่า:“จิ๋นลี่ยวน ในระยะเวลาสองปีที่เราคบกัน คุณเคยรักฉันบ้างมั้ย?จะเป็นแค่เพียงความรู้สึกหวั่นไหวก็ได้?”
ทุกคำพูดที่อยู่ท่ามกลางสายลมฤดูใบไม้ร่วงที่หนาวเหน็บได้ผ่านหูของจิ๋นลี่ยวน
ผ่านไปสักพักสิ่งที่มู่ซูวได้ยินกลับเป็นประโยคนี้:“มู่ซูว คุณไม่เคยเป็นคนคนนั้นเลยตั้งแต่แรก ไม่ใช่หรอ?”
ใบหน้าที่ขาวซีดอยู่แล้วก็ได้จางลงมากกว่าเดิมอีก
ดวงตาเสมือนว่าขยับไม่เป็นแล้วซะงั้น ผ่านไปนานแสนนาน มู่ซูวเหมือนคิดอะไรบางอย่างออกสักอย่าง จึงกล่าว:“เพราะเช่นนี้เราจึงต้องเลิกกัน คุณจึงทำแบบนี้กับฉันใช่มั้ย?”
ครั้งนี้ไม่ต้องการคำตอบจากจิ๋นลี่ยวนเลย มู่ซูวเองกลับร้องไห้แล้วหัวเราะเสียงดังขึ้นมาเองทันที!
“ฮ่าฮ่าฮ่า……ฮ่าฮ่าฮ่า……”เสียงหัวเราะของมู่ซูวเสียงดังเป็นพิเศษ ทุกๆเสียงบาดหูมากและทุกๆเสียงก็แฝงไปด้วยความเสียใจทุกข์ทรมาน “จิ๋นลี่ยวนเอ้ยจิ๋นลี่ยวน ฉันเองแหละที่มองคุณผิดไป ดูถูกคุณเกินไปแล้ว ……ฮ่าฮ่าฮ่า……ฉันนี่มันโง่จริงๆเลย!”
จิ๋นลี่ยวนมองเธอแล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่เบาว่า:“สิ่งที่คนอย่างฉันไม่ชอบที่สุดก็คือ การหลอกลวง”
ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม สิ่งที่จิ๋นลี่ยวนไม่ชอบที่สุดก็คือ การหลอกลวง สิ่งที่ชอบที่สุดก็คือการพูดตรงๆ
“หลอกลวง?”ย้ำคำพูดของจิ๋นลี่ยวนเบาๆอีกครั้ง มู่ซูวกลับหยุดร้องไห้แล้วหัวเราะดังกว่าเดิม “เหอะ จิ๋นลี่ยวน ฉันละอยากจะรอดูจริงๆว่าต่อจากนี้ของคุณ คุณจะรู้สึกเสียใจทีหลังมั้ย!การหลอกลวงที่คุณเกลียดที่สุด คนรอบกายที่สำคัญที่สุดสำหรับคุณก็จะทำแบบนี้กับคุณ!ฉันจะรอดู ว่าคุณจะตกนรกยังไง!”
ใครกันที่บอกว่า คุณชายสามของตระกูลจิ๋นมีความมั่นคงถ่อมตน ไม่แย่งไม่ขัดกับคนอื่น?
ใครกันที่บอกว่า คุณชายสามของตระกูลจิ๋นไม่เคยโกรธแค้นใครฝังใจ ใจกว้าง?
เขาไม่ใช่ไม่โกรธ เขาไม่ใช่ไม่แย่ง แต่สิ่งที่เขาอยากได้อยู่บนมือเขาทั้งหมดแล้วต่างหาก สิ่งที่ไม่อยู่บนมือก็เป็นแต่สิ่งที่ไม่อยากได้ และสิ่งที่เขาโกรธแค้น แม้ว่าจะเป็นผู้หญิงก็ตามเขาก็จะทำร้ายเธอคนนั้นไม่มาก็น้อยแน่นอน
ในสายตาของเขา เขาไม่เคยลงมือกับผู้หญิงด้วยน้ำมือของตนเอง แต่ว่าจะใช้ผลประโยชน์จากสิ่งรอบข้างทำให้ผู้หญิงสูญเสียทุกอย่างไป
การหลอกลวงของมู่ซูว ทั้งนี้ก็เป็นเพียงแค่บทลงโทษที่เขาให้ทั้งนั้น
“ฮ่าฮ่าฮ่า……ฮ่าฮ่าฮ่า……”มู่ซูวมองจิ๋นลี่ยวนที่อยู่ตรงหน้า หัวเราะได้สะใจมาก ทีแรกคิดว่าเธอจะหัวเราะแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆจิ๋นลี่ยวนจึงจะเดินจากไปจากที่นี้ “ฮ่าฮ่าฮ่า……”
ทันใดนั้น เสียงหัวเราะที่อยู่ข้างหลังก็ได้เงียบลงทันที มู่ซูวถอนหายใจเสียงดังไปหนึ่งที จิ๋นลี่ยวนกลับหลังหันมามองมู่ซูวที่อยู่ไม่ไกลจากเขามากนัก
“จิ๋นลี่ยวน!ฉันขอสาปแช่งให้ทั้งชีวิตนี้ทั้งชาตินี้ของคุณไม่ได้รักกับผู้หญิงที่คุณรักมากที่สุด ฉันขอสาปแช่งให้คุณทั้งชีวิตนี้ทั้งชาตินี้อยู่คนเดียวอย่างโดดเดี่ยวเดียวดาย ไม่ว่าจะเป็นความรักจากครอบครัวหรือเพื่อนคนรักก็ตาม ขอให้มันแย่ไปหมด ขอให้ชิบหาย ฉันสาปแช่งคุณ สาปแช่งให้คุณได้สัมผัสกับความทุกข์ทรมานทุกอย่างบนโลกใบนี้ สัมผัสความขมของชีวิตทั้งหมดจนไม่สามารถสัมผัสได้ถึงความหวานของชีวิตเลยแม้แต่นิดเดียว!”
ทุกถ้อยคำกระจัดกระจายไปในสายลม แต่ทุกคำมีน้ำหนัก!