Flash Marriage แต่งงานกับคน(ไม่)ธรรมดา - บทที่ 210 คนที่หย่าแล้วมาเกลี้ยกล่อม
บทที่ 210 คนที่หย่าแล้วมาเกลี้ยกล่อม
สีหน้าของต๋งไขค่อยเย็นชาลงเล็กน้อย ชำเลืองมองไปยังถาวหยีโดยไม่พูดอะไร ไม่สนใจอะไรเธอทั้งสิ้น
ถาวหยีเม้มปากหลุบตา ไม่ได้พูดอะไร
หลังจากเรื่องลูกครั้งก่อน ระหว่างพวกเขาก็คืออยู่ด้วยกันด้วยวิธีแบบนี้!
เธอพูด เขาไม่เคยเข้าใจเลย หากไม่ใช่ถูกสถานการ์บีบบังคับแม้แต่คำเดียวก็ไม่มีทางพูดกับเธอ
ค่อยเป็นค่อยไป อารมณ์ของถาวหยีค่อยๆพุ่งขึ้นมา ถ้าเขาไม่ถูกบังคับเขาจะไม่คุยกับเธอ แต่ในบางครั้งเขาก็จะพูดไม่กี่คำเพราะลักษณะนิสัยของเขา เช่นเดียวกับครั้งนี้
ทั้งสองลงจากรถด้วยความเงียบและเดินตรงไปที่ชั้น 17 ของหนานเยวี่ยน หลังจากรู้ที่อยู่ของยินเสี้ยวเสี้ยวจากยินจื่อเจิ้นเมื่อคืนนี้พวกเขาก็รีบมาถึงให้ทันในเช้าวันนี้
มาเช้ามากไปหน่อย ยินเสี้ยวเสี้ยวนอนหลับสนิทมาก ถาวหยีกดออดเป็นเวลานานจนต๋งไขต้องกดโทรศัพท์มือถือโทรหาเธอจึงปลุกยินเสี้ยวเสี้ยวขึ้นมาได้ เห็นเธอหลับเต็มอิ่ม ถาวหยีก็เบาใจลงไป
“พวกเธอมาแล้ว” ยินเสี้ยวเสี้ยวหาวพลางต้อนรับพวกเขาเข้าห้องพลาง จากนั้นก็นั่งลงบนโซฟากอดหมอนยังมีท่าทีสะลึมสะลือ “อีกเดี๋ยวฉันยังต้องไปทำงานนะ ทำไมถึงมาเวลานี้”
ถาวหยีมองเธออย่างไม่รู้จะทำอย่างไร พูดว่า “พี่ชายเธอพูดว่าวันนี้ไม่ให้เธอไปทำงาน ซื้อของที่ในห้องยังขาดอยู่มาให้ครบก่อนค่อยว่ากัน ให้เธอพักผ่อนสองวันค่อยไปทำงาน เธอรีบไปดูว่าขาดเหลืออะไร เก็บข้าวของแล้วพวกเราออกไปซื้อของกัน”
คิ้วค่อยๆขมวดเข้าหากัน หลังจากยินเสี้ยวเสี้ยวนิ่งเงียบอยู่สองวินาทีกลับเอาศีรษะทิ้งตัวไปบนโซฟาไม่ยอมไป “ฉันไม่อยากไป ฉันง่วงนอน ให้ฉันนอนต่ออีกหน่อยได้มั้ย”
การนอนหลับในช่วงนี้ของเธอช่างน่ากลัวจริงเล็กน้อย ถาวหยีก็รู้ ยินเสี้ยวเสี้ยวอารมณ์ไม่ดีก็จะชอบนอน แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะให้ยินเสี้ยวเสี้ยวนอนอุดอู้อยู่คนเดียว ตนเองจึงลุกขึ้นมาเดินสำรวจในห้อง จากนั้นก็จดจำอย่างละเอียดว่ายินเสี้ยวเสี้ยวยังขาดเหลืออะไรบ้าง พลางบ่นพึมพำให้ยินเสี้ยวเสี้ยวรีลุกขึ้นมา
ต๋งไขรินน้ำให้ตนเองดื่ม ยืนมองพวกเธอด้วยท่าทีสบายๆอยู่อีกด้าน ตอนนี้กลับเอ่ยปากพูดว่า “เสี้ยวเสี้ยว อยู่บ้านนานๆ เดี๋ยวจะลากงอกนะ รีบลุกขึ้นเร็วเข้า”
ยินเสี้ยวเสี้ยวหัวเราะครืนเลย ตาหยีเป็นเส้นมองต๋งไขพูดว่า “ต่อให้ธงชาติงอกขึ้นมาบนหัวฉันก็ไม่อยากออกไป ช่วงนี้เป็นช่วงเวลาฮันีมูนของนายกับถาวหยีนะ มีเหตุผลอะไรที่จะพาก้างขวางคอชิ้นใหญ่อย่างฉันไปข้างนอกด้วย ไม่อย่างนั้นนายก็พาเมียนายไปซื้อของให้ฉัน ฉันรอพวกเธออยู่ในบ้าน”
ต๋งไขและถาวหยีสีหน้าตกตะลึง ดื่มน้ำอย่างเงียบๆ อีกคนจดจำสิ่งของไม่พูดอะไร
ยินเสี้ยวเสี้ยวชำเลืองมองถาวหยีอย่างสงสัย แล้วมองไปยังต๋งไข จากนั้นก็ลุกขึ้นยืนยื่นมือไปดึงถาวหยีเข้าไปในห้องครัวเตรียมอาหารเช้าถ้าจะออกนอกบ้านอย่างน้อยก็น่าจะต้องทานอาหารเช้าก่อนไม่ใช่หรือ
“ถาวหยี แกทะเลาะกับต๋งไขเหรอ” ถามด้วยเสียงเบาๆ ยินเสี้ยวเสี้ยวมองถาวหยีอย่างเป็นห่วง
สายตาเป็นประกายเล็กน้อย ถาวหยีปิดปากไม่พูดอะไร มือที่กำลังหั่นต้นหอมอยู่กลับชะงักไปเล็กน้อย
ยินเสี้ยวเสี้ยวเห็นท่าทางแบบนี้ก็คือเรื่องจริง คิ้วขมวดแน่น เธอเพิ่งจะอย่าไม่อยากเห็นเพื่อนที่ดีที่สุดของตนเองสองคนเดินมาถึงขั้นนี้ ยิ่งไปกว่านั้นถาวหยีก็กำลังตั้งครรภ์ ถึงเวลาถาวหยีอยากจะหย่ากับต๋งไขก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆแล้ว มีลูกแล้วก็เหมือนเป็นพันธนาการอย่างหนึ่ง
สายตามองไปยังท้องน้อยของถาวหยีที่นั้นค่อยๆขยายใหญ่ขึ้น ยินเสี้ยวเสี้ยวไม่รู้ว่าอิจฉาหรือจิตตก
ลูกเหรอ……
เธอก็เคยคิดอยากจะมีลูกกับจิ๋นลี่ยวนสักคน แต่น่าเสียดายเธอยังไม่ทันได้มีลูกเป็นของตนเองก็หย่ากับพ่อของลูกเสียก่อนแล้ว คิดแล้วก็น่าหัวเราะเยาะ
“ไม่มีอะไร อีกเดี๋ยวพวกเราออกไปซื้อของกัน เธอได้รูดบัตรของต๋งไขรัวๆเดี๋ยวอารมณ์ก็ดีเอง” พูดพลาง ยินเสี้ยวเสี้ยวก็แกล้งทำเป็นเตรียมเครื่องปรุงอย่างผ่อนคลาย ในบ้านมีแต่เส้นบะหมี่ อาหารเช้าของทั้งสามคนก็ได้แต่กินบะหมี่แล้ว “รอให้ถึงเวลาฉันจะพูดกับเขาเอง จะยังไงก็อย่าทำให้คนท้องโมโห”
ถาวหยีไม่พูดอะไรเลย ได้แต่หันไปมองตอนที่ยินเสี้ยวเสี้ยวไม่ทันได้สังเกตมองเธออยู่นาน
เสี้ยวเสี้ยว หย่าแล้ว……
หย่ากันวันแรก ยินเสี้ยวเสี้ยวก็ออกไปกับถาวหยีและต๋งไขเลย จุดหมายปลายทางก็คือห้างสรรพสินค้าหม่านฮั่นฉวนสี
แต่จะอย่างไรเธอก็คิดไม่ถึงเลยว่า เมื่อครู่ตอนที่ก้าวเข้ามาในประตูห้าง‘หม่านฮั่นฉวนสี’ เธอก็เห็นหน้าจอแอลซีดีขนาดใหญ่ในห้องโถงกำลังนำเสนอข่าวที่ร้อนแรงที่สุดของวันนี้ ทันทีที่มีข่าวนี้ออกมาเธอรู้สึกว่าเหมือนเป็นการกลบข่าวการหย่าของเธอกับจิ๋นลี่ยวน
จากในข่าว ผู้ชายที่ตบหน้ายินเสี้ยวเสี้ยวในมหาวิทยาลัยวันนั้นยืนอยู่ที่นั่น มีนักข่าวนับไม่ถ้วนยืนอยู่ตรงหน้า แสงแฟลชนับไม่ถ้วนกำลังถ่ายรูปเขากันอย่างบ้าคลั่ง ทว่าผู้ชายที่หยิ่งจองหองในวันนั้นไม่สนใจอะไรในโลกใบนี้ยืนอยู่ตรงนั้นอย่างเชื่อฟังพร้อมปล่อยให้ตนเองขายหน้าต่อคนที่อยู่ด้านหน้านับไม่ถ้วน!
วันนี้ที่ผมต้องมายืนอยู่ตรงนี้ก็เพื่อจะชี้แจงเรื่องเรื่องหนึ่งให้กระจ่าง และเพื่อเป็นการขอโทษกับผู้เสียหายไปพร้อมกัน
แค่คำพูดประโยคเดียว แต่ดึงดูดสายตาของคนได้ไม่น้อย ยินเสี้ยวเสี้ยวใส่แว่นตากันแดดปล่อยผมยาวสยายกำลังมองผู้ชายที่อยู่ในจอ ถาวหยีเหลือบมองเธออย่างเป็นห่วงกังวล หลังจากเห็นว่าเธอไม่มีอารมณ์ใดๆที่แปรเปลี่ยนไปถึงได้วางใจ ส่วนต๋งไขจ้องมองผู้ชายคนนั้นจนต้องหรี่ตาอย่างอดไม่ไหว
ผมทำผิดมหันต์ ผมได้ฟังข่าวลือมาผิดๆจนคิดว่าคุณยินคือคนที่ถูกนินทาต่อๆกันมาว่าเป็นผู้หญิงที่ไม่รักตัวเอง คิดว่าตนเองมีเงินเลยใช้เงินไปเยาะเย้ยเธอถึงที่ ในตอนนั้นคุณยินก็ได้ตักเตือนพร้อมทั้งพูดความจริงกับผมแล้ว แต่ว่าผมก็อาศัยสถานะของครอบครัวคิดว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร จนถึงขนาดที่ตบหน้าคุณยินต่อหน้าสาธารณชน เรื่องนี้กระผมกราบขอโทษคุณยินจากใจจริง หวังว่าคุณอย่าได้มีประสบการณ์เดียวกันกับผม
ยินเสี้ยวเสี้ยวยืนอยู่ท่ามกลางฝูงชนแต่ไม่ได้พูดอะไร ได้แต่มองเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดในหน้าจออย่างสงบนิ่ง
คุณยินเป็นคนอย่างไร ทุกคนย่อมเห็นกับตากันอยู่แล้ว ผู้หญิงคนหนึ่งคนที่กล้าใช้กฎหมายเป็นอาวุธมาปกป้องตนเองตามสิทธิของกฎหมายคงไม่ใช่ผู้หญิงแบบในข่าวลือหนาหูที่ทุกคนได้ข่าวไม่ดีมา ผมดูหมิ่นเกียรติของคุณยิน ตบหน้าคุณยินพร้อมทั้งใช้คำพูดดูหมิ่นเธอ ผมขอโทษ เกี่ยวกับเรื่องนี้ต่อให้คุณยินจะใช้ข้อหา ‘หมิ่นประมาท’แล้วส่งเรื่องฟ้องศาลผมก็ไม่โกรธ วันนี้ที่ผมออกมาขอโทษต่อพฤติกรรมอันเลวทรามต่ำช้าในตอนแรกที่ตนเองทำมาทั้งหมด แล้วก็เพื่อเป็นการล้างมลทินให้กับคุณยินด้วย เธอเป็นคนอย่างไร คนที่อยากรู้ไปถามที่มหาวิทยาลัยก็รู้เอง ….
มีเรื่องมากมายที่เป็นข้อห้ามก็คือมีการบิดเบือนความจริง ชื่อเสียงของผู้หญิงนั้นถือว่าสำคัญเป็นอย่างมาก ในตอนแรกผมก็ไม่ได้ตรวจสอบให้ดีก็เลยตัดสินกำหนดสถานะตามนั้นให้กับคุณยินถึงมีจุดจบอยู่ในสภาพอย่างวันนี้ ทุกคนในมหาวิทยาลัยTต่างรู้จักเธอ และก็รู้ดีว่าเธอเป็นคนเช่นไร การเดินทางทุกวันของเธอสามารถตรวจสอบได้อย่างง่ายดาย คนประเภทนี้ไม่ใช่คนที่ผู้คนพูดจาซุบซิบนินทาแบบนั้น ผมขอโทษ ที่ตอนนั้นได้ทำเรื่องแบบนั้นออกไป…
บนหน้าจอ ชายหนุ่มเอาแต่ขอโทษไม่หยุด มองจากบางมุมแล้วนี่มันเป็นการกู้ชื่อเสียงให้ยินเสี้ยวเสี้ยว
“ไปเถอะ ไม่ใช่บอกว่ามีของที่ต้องซื้อเยอะแยะอยู่ไม่ใช่เหรอ” พูดเสียงเบา คล้องแขนของถาวหยีเดินจากไป ราวกับไม่ได้เอาคำขอโทษของชายหนามที่อยู่ด้านหลังมาใส่ใจเลยสักนิด
ในสายตาเธอ ตนเองในสายตาคนอื่นย่อมไม่ใช่ตนเอง มีแค่ตนเองในใจของตัวเองจึงจะเป็นตนเอง
มนุษย์ที่อาศัยอยู่บนโลก ก็เพื่อตนเองไม่ใช่เพื่อคนอื่นคน
หลักการนี้ หลังจากที่เธอหย่าร้างถึงได้เข้าใจ
เพราะว่าถาวหยีตั้งครรภ์จึงไม่อาจจะยืนนานๆได้ยิ่งไม่ต้องไปพูดถึงเดินซื้อของเลย เดินได้สักพักก็ต้องนั่งพักอยู่พักครู่หนึ่ง รอจนถึงเวลาพักถาวหยีถึงได้มีโอกาสถามยินเสี้ยวเสี้ยวเบาๆประโยคหนึ่ง “เสี้ยวเสี้ยว แกไม่เป็นไรใช่ไหม”
ส่ายหน้า ยินเสี้ยวเสี้ยวก้มหน้าลงไปดื่มน้ำมะนาวอึกหนึ่งพูดว่า “ความจริงแล้วถาวหยีแกรู้ไหม สำหรับผู้ชายคนนั้น ฉันต้องขอบคุณเขานะ ควรจะต้องพูดว่าจิ๋นลี่ยวนก็ควรพูดขอบคุณเขาด้วย ถ้าไม่ใช่เขา ฉันก็คงไม่ยอมตอบตกลงหย่าได้เร็วขนาดนี้”
ถาวหยีมองเธออย่างไม่เข้าใจ รอคำพูดในประโยคต่อไปของเธออย่างเงียบๆ คนที่หงุดหงิดเป็นเวลานานมักจะต้องการช่องทางเพื่อได้ระบายออกมา ทว่าตอนนี้ ถาวหยีก็คือช่องทางของเธอ
“ฝ่ามือของเขาที่ตบในครั้งนั้นทำให้ฉันได้รู้ว่า ยิ่งฉันดูเล็กกระจิดริดขนาดไหน อ่อนแอมากขนาดไหน ของที่คุณชายสามของตระกูลจิ๋นต้องการคนอย่างฉันจะดิ้นรนขัดขืนไม่ให้เขาได้ด้วยเหรอ เขาอยากจะหย่าฉันมีสิทธิ์ได้แค่พยักหน้าเท่านั้นเอง ความจริงแล้วการหย่าร้างกันแบบนี้มันก็ดีนะ จากวันนี้เป็นต้นไปฉันคือยินเสี้ยวเสี้ยว ไม่ต้องมานั่งเอาอกเอาใจใคร ไม่ต้องไปสนใจใครหน้าไหน และก็ไม่ต้องมัวกังวลว่าจะมีคนมาแย่งเขากับฉัน เขาเป็นอิสระแล้ว ฉันก็เป็นอิสระแล้ว….. ” พูดด้วยเสียงแผ่วเบา แต่นัยน์ตายินเสี้ยวเสี้ยวที่มองมายังน้ำที่อยู่ในแก้วด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“การหย่าร้างในครั้งนี้มันเหมือนพายุโหมกระหน่ำ ถาวหยีฉันเหนื่อยตั้งแต่แรกแล้ว”
เขาไม่ยอมให้เหตุผลกับฉัน เธอได้แต่คาดเดาแบบมั่วๆ จนถึงตอนนี้เธอก็ไม่รู้ว่าตนเองทายถูกหรือทายผิดกันแน่ แต่ว่าไม่ว่าจะอย่างไร เธอก็จะเริ่มเรียนรู้ในการที่จะปล่อยเขาไป
อ้าปาก ถาวหยีจ้องมองยินเสี้ยวเสี้ยวอย่างปวดใจพูดอะไรไม่ออก
หลังจากนั้นพักใหญ่ ยินเสี้ยวเสี้ยวเอ่ยขึ้นอย่างแผ่วเบา “ถาวหยี การอยู่ข้างกายผู้ชายที่ไม่ได้รักเรา ช่างเหนื่อยมากจริงๆ”
จิ๋นลี่ยวนไม่รักเธอ ความจริงเรื่องนี้เธอก็รู้มาตั้งแต่แรกแล้ว แต่เธอก็ไม่ยอมปล่อยวางยังอยากเป็นแมลงเม่าบนเข้ากองไฟไปลองดูอีก เพราะมักจะรู้สึกว่า ‘ถ้าเป็นไปได้’ล่ะ แต่ว่าบนโลกใบนี้จะไปเอาคำว่า “ถ้า”มามากมายจากไหนกัน
มองดูยินเสี้ยวเสี้ยว สุดท้ายถาวหยีก็ไม่ได้พูดออกมาแม้แต่คำเดียว
แม้ว่าจะมีความสัมพันธ์ที่ดีมากขนาดไหน แต่ชีวิตของทุกคนก็ไม่เหมือนกัน ไม่ใช่เหรอ
ใน ‘ หม่านฮั่นฉวนสี’ ยินเสี้ยวเสี้ยวไม่ยอมถอดแว่นตาดำของตนเองออกเลย บวกกับหน้าหนาวยิ่งต้องสวมใส่เสื้อผ้าค่อนข้างหนา จึงไม่มีคนจดจำเธอได้ อาศัยช่วงจังหวะที่ถาวหยีไปเข้าห้องน้ำ ยินเสี้ยวเสี้ยวก็เดินมายังด้านหน้าของต๋งไข
“ทะเลาะกับถาวหยีเหรอ” ถามอย่างตรงไปตรงมา ยินเสี้ยวเสี้ยวอ้าปากมองมาที่เขา
หนุ่มที่เป็นผู้ชายอันอบอุ่นตรงหน้าคนนี้ ตอนอยู่ในมหาวิทยาลัยชอบตนเองชอบถึงขนาดที่ทั้งมหาวิทยาลัยก็รู้กันหมด แต่หลังจากออกมากลับมาคบอยู่กับถาวหยี คิดๆดูแล้วเธอรู้สึกว่าพรหมลิขิตนี้ถือว่าไม่เลวทีเดียว ถาวหยีเป็นผู้หญิงที่ดี ต๋งไขเองก็เป็นผู้ชายที่ไม่เลวเลย ทั้งสองคนถือว่าเป็นคู่ที่เหมาะสมกันมาก
ต๋งไขขมวดคิ้วแน่น มองยินเสี้ยวเสี้ยวไม่พูดไม่จา แต่ว่านัยน์ตาลึกๆนั้นมีไฟแห่งความโกรธปรากฏให้เห็นรางๆ แต่ไฟความโกรธนั้นเห็นชัดว่าไม่ได้โกรธยินเสี้ยวเสี้ยว
ยื่นมือออกไปตบหัวไหล่ต๋งไข ยินเสี้ยวเสี้ยวพูดอย่างมีนัยยะแอบแฝงประโยคหนึ่งว่า “คู่สามีภรรยาทะเลาะกัน ตั้งแต่ต้นจนจบ มีความโกรธแค้นข้ามคืนมาจากไหน อีกอย่างถาวหยีก็ตั้งท้องอยู่ นายยังโมโหเธอไม่เลิกอีกเหรอ”
พูดพลาง ยินเสี้ยวเสี้ยวก็หัวเราะเสียเอง คนที่หย่าแล้วอย่างเธอแต่กลับมาเกลี้ยกล่อมคนอื่นอยู่ที่นี่ มันช่างน่าตลกจริงๆ
สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ในที่สุดต๋งไขก็พูดประโยคหนึ่งออกมาด้วยเสียงแหบพร่าอย่างอดไม่ได้ “เสี้ยวเสี้ยว อย่าใสซื่อขนาดนั้น แล้วก็อย่าคิดว่าคนข้างกายเป็นคนดีมากเกินไป”