Flash Marriage แต่งงานกับคน(ไม่)ธรรมดา - บทที่ 71 จิ๋นลี่ยวน ฉันกลับมาแล้ว
บทที่ 71 จิ๋นลี่ยวน ฉันกลับมาแล้ว
ยินเสี้ยวเสี้ยวยืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับ จิ๋นลี่ยวนนั่งอยู่บนรถไม่ขยับ ทั้งสองคนใช้วิธีที่แปลกประหลาดอย่างหนึ่งเพื่อความสงบ
ไกลจากที่นั่น คุณเฉิงมองดูคุณชายสามและว่าที่คุณผู้หญิงของคุณชายสามที่มองสบตากันเงียบๆโดยไม่พูดอะไร จากนั้นก็รีบขับรถกลับเข้าไปยังโรงจอดรถด้วยความว่าง่าย
ไม่รู้ว่ามองดูเขามานานเท่าไหร่ ในที่สุดจิ๋นลี่ยวนก็ลงจากรถ ยืนอยู่ตรงหน้าเธอพร้อมเอ่ยถามเสียงเบา :“กินข้าวรึยังครับ?”
ยินเสี้ยวเสี้ยวพยักหน้าตอบรับ :“กินแล้วค่ะ คุณล่ะ?”
บทสนทนาแรกของทั้งสองแลดูเหมือนคนแปลกหน้าอย่างเห็นได้ชัด แปลกหน้าจนแม้แต่พวกเขาทั้งสองคนยังไม่คุ้นชิน
จิ๋นลี่ยวนหรี่ตา ยื่นมือไปจับมือเล็กๆของเธอแล้วเดินเข้าไปในบ้าน ขณะที่เดินอยู่นั้นก็พูดขึ้น :”ผมยังไม่ได้กินอะไรเลย คุณช่วยทำอาหารให้ผมกินหน่อยได้ไหม เดี๋ยวผมส่งคุณกลับไป”
ยินเสี้ยวเสี้ยวเดินตามหลังเขา วินาทีที่เขายื่นมืออันอบอุ่นมานั้น ใบหูของเธอแดงระเรื่ออย่างไม่รู้ตัว
ภายในห้องรับแขกของบ้านจิ๋น ทุกคนหันไปมองยินเสี้ยวเสี้ยวที่ไปแล้วกลับมาด้วยความตกใจเล็กน้อย จากนั้นก็เห็นจิ๋นลี่ยวนจับมือน้อยๆของเธอเอาไว้จึงอดไม่ได้ที่จะคลายยิ้มออกมา
“สิ่งที่หลานทำหมายความว่าอย่างไร?” คุณย่าจิ๋นเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย สวมแว่นสายตาของตนเองเอาไว้แล้วมองไปที่จิ๋นลี่ยวน “ช่วงนี้หลานยุ่งมากไม่ใช่หรอ? ทำไมตอนนี้ถึงมีเวลากลับมาได้?”
จิ๋นลี่ยวนมองไปที่คุณย่าจิ๋นแวบหนึ่ง เดินจูงมือยินเสี้ยวเสี้ยวเข้าไปในห้องครัวโดยไม่สนใจจากนั้นก็พูดขึ้นเสียงเบา :“ช่วยต้มบะหมี่ให้ผมหน่อย เดี๋ยวผมขึ้นไปอาบน้ำแล้วจะรีบลงมา”
คุณย่าจิ๋นที่เดินตามมานั้นจึงได้ยินคำพูดนี้ ดึงตัวยินเสี้ยวเสี้ยวเข้ามาปกป้องแล้วพูดขึ้น:“จิ๋นลี่ยวน!เจ้าเด็กคนนี้หมายความว่าอะไร? พอกลับมาถึงก็สั่งให้เสี้ยวเสี้ยวทำอาหารให้หลาน ที่บ้านทำให้หลานหิวหรือไง?”
ยินเสี้ยวเสี้ยวเม้มปากไม่ได้พูดอะไร ทำเพียงเงยหน้าขึ้นมองจิ๋นลี่ยวน
เหมือนว่าอารมณ์ของเขาจะดีไม่ใช่น้อย ถึงแม้ว่ามองดูอ่อนเพลียแต่ก็ดูอารมณ์ดี นึกถึงหมอศัลยแพทย์อย่างพวกเขาที่มักจะผ่าตัดครั้งหนึ่งนานถึงสิบกว่าชั่วโมงยี่สิบกว่าชั่วโมง ยินเสี้ยวเสี้ยวก็รู้สึกปวดใจ
จิ๋นลี่ยวนยืนอยู่ตรงหน้าคุณย่าจิ๋น เลิกคิ้วเล็กน้อย กล่าวพูดเสียงเบา :“คุณย่าครับ ภรรยาของผมทำอาหารให้ผมแล้วมันผิดตรงไหน? คุณย่าต้องขัดขวางถึงขั้นนี้เลยหรอครับ?”
คำพูดเพียงประโยคเดียว ทำให้ทุกคนในห้องรับแขกถึงกับเงียบ
ภรรยา?
ตอนที่ยินเสี้ยวเสี้ยวได้ยินสองคำนี้ ใบหน้าของเธอแดงระเรื่อขึ้นมา……
ความแดงบนใบหน้านั้นไม่แพ้ครั้งแรกที่เจอกับจิ๋นลี่หยวนที่‘หซือซัน’……
ก้มหน้าหลบตาลง ยินเสี้ยวเสี้ยวไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้า ดังนั้นตอนที่จิ๋นลี่ยวนดึงตัวเธอกลับมาจากมือของคุณยาจิ๋น จึงตัวพริ้วหมุนตัวเข้าไปในอ้อมกอดของจิ๋นลี่ยวน จากนั้นเธอก็ได้ยินเขาพูดขึ้น:“ยินเสี้ยวเสี้ยวเป็นภรรยาของผม ทำอาหารให้ผมนั้นเป็นเรื่องปกติ ดังนั้นพวกย่าควรจะทำอะไรก็ไปทำเถอะครับ วันที่ยี่สิบสามผมจะแต่งงานแล้ว”
คนในครอบครัวจิ๋นล้วนรู้ดี นับตั้งแต่จิ๋นลี่ยวนพูดคำว่า‘ภรรยา’สองคำนี้ออกมาจากปากนั้น เรื่องหลายๆอย่างได้ตัดสินใจเอาไว้แล้ว จิ๋นลี่ยวนจะใช้ชีวิตคู่ร่วมกับยินเสี้ยวเสี้ยว ไม่ว่าคุณหนูตระกูลมู่คนนั้นจะกลับมาหรือไม่!เขาก็บอกกับทุกคนในตระกูลจิ๋นแล้ว ว่านี่เป็นความคิดของเขา
ยินเสี้ยวเสี้ยวถูกจิ๋นลี่ยวนพาเข้าไปในห้องครัวอย่างง่ายดาย ข้างหูของเธอมีเสียงของเขาที่พูดเงื่อนไขต่างๆมากมาย ทว่าเธอกลับไม่ได้ยินเลยแม้แต่คำพูดเดียว ในหัวของเธอไปด้วยคำพูดนั้นของเขา แม้แต่ตอนต้มบะหมี่ก็ต้มไปตามความเคยชินเท่านั้น……
หลังจากที่ยินเสี้ยวเสี้ยวต้มบะหมี่ให้จิ๋นลี่ยวนเสร็จแล้วนั้น จิ๋นลี่ยวนเดินออกมาจากห้องพอดิบพอดี เช็ดผมที่เปียกเล็กน้อยจากนั้นนั่งลงบนโต๊ะอาหาร กลิ่นหอมและน่าตาชวนรับประทานนั้นยั่วยวนความต้องการของเขา ใช้เวลาไม่นานก็กินจนหมด ทำให้คุณย่าจิ๋นที่มองดูอยู่ข้างๆนั้นถึงกับทำเสียงจิ๊จ๊ะ
“ชิๆๆ จิ๋นลี่ยวนท่าทีของหลานเหมือนว่าตระกูลจิ๋นของเรานั้นไม่สามารถเลี้ยงหลานได้!” น้ำเสียงนั้นเต็มไปด้วยความรังเกียจ
ยินเจี้ยนเจี้ยนกลับไม่ทำแบบนั้น เธอเพียงรู้สึกว่าช่วงนี้จิ๋นลี่ยวนเหนื่อยมากเกินไปหรือเปล่า เหนื่อยจนไม่มีเวลาได้กินข้าวดีๆ
หลังจากที่จิ๋นลี่ยวนกินเสร็จแล้วพร้อมกับเก็บจานชามเรียบร้อยแล้วนั้นขณะที่กำลังเตรียมจะส่งยินเสี้ยวเสี้ยวกลับไป ยินเสี้ยวเสี้ยวอยากจะปฏิเสธเสียงแข็ง ทว่าจิ๋นลี่ยวนกลับไม่ให้เธอได้มีโอกาสนั้น จูงมือเล็กๆของยินเสี้ยวเสี้ยวเดินขึ้นรถไป
ระหว่างทางกลับบ้านนั้น ยินเสี้ยวเสี้ยวพยายามจะทำให้ความสัมพันธ์ของพวกเขากลับไปเป็นเหมือนเมื่อก่อน จึงพูดขึ้นมา
“จิ๋นลี่ยวน ข้อความที่ฉันส่งให้คุณเห็นรึยังคะ?” แววตาคู่นั้นเต็มไปด้วยความคาดหวัง
จิ๋นลี่ยวนขับรถไปพรางตอบไปพราง:“เห็นแล้วครับ ว่าแต่คุณอยากจะไปที่ไหน?”
ยินเสี้ยวเสี้ยวยิ้มแล้วเอ่ยถามเขา :“ฉันแค่รู้สึกว่าช่วงนี้คุณควรจะพักผ่อนบ้าง หลายวันมานี้คุณงานยุ่งเกินไปแล้ว”
ติดไฟแดง จิ๋นลี่ยวนจอดรถ หันไปมองยินเสี้ยวเสี้ยวที่อยู่ๆก็ถามเขาว่าเห็นข้อความที่ยินเสี้ยวเสี้ยวส่งให้รึยังจากนั้นก็อยากถามคำถามหนึ่งขึ้นมา :“ยินเสี้ยวเสี้ยว คุณรู้จักผู้หญิงที่เต้นเต้นบัลเล่ต์คนนั้นไหม?”
ยินเสี้ยวเสี้ยวถูกคำถามของจิ๋นลี่ยวนทำให้สตั๊นไป นานครู่หนึ่งกว่าจะดึงสติกลับมา ทว่ากลับยังคงส่ายหน้าบอกว่าไม่รู้จักด้วยสีหน้าจริงจง
ทว่าจิ๋นลี่ยวนกลับเหมือนไม่ค่อยพอใจกับคำตอบนี้เสียเท่าไหร่ ดวงตาเฉียบแหลมนั้นมองไปที่ยินเสี้ยวเสี้ยว กระทั่งมองดูจนยินเสี้ยวเสี้ยวรู้สึกกลัวแล้วนั้นจึงพูดขึ้น:“คุณไม่รู้จักเธอหรอ?”
“ฉันควรจะรู้จักเธอด้วยหรอคะ?” ยินเสี้ยวเสี้ยวย้อนถามกลับ พร้อมบอกในสิ่งที่เธอรู้จักในตัวนักเต้นบัลเล่ต์คนนั้น “ฉันรู้แค่ว่าเธอเป็นเต้นบัลเล่ต์คนหนึ่ง ได้ยินมาว่ายังสาวมากอีกทั้งยังเป็นลูกสาวของตระกูลใหญ่ๆในเมืองTอีกด้วย แต่ว่าคุณเองก็รู้ดีหนิคะ ครอบครัวของฉันไม่ใช่ครอบครัวที่ฐานะดีเท่าไหร่ การที่ฉันไม่รู้จักเธอก็เป็นเรื่องปกติไม่ใช่หรอคะ? หรือว่าครอบครัวของเธอรู้จักกับครอบครัวจิ๋น?”
ประโยคสุดท้ายล้วนเป็นการคาดเดาของยินเสี้ยวเสี้ยว ทว่าคิดไม่ถึงว่าตนเองจะเดาถูก……
ไม่เพียงแต่แค่รู้จักกันเท่านั้น แต่ยังมีสัญญาหมั้นหมายกันอีกด้วย……
จิ๋นลี่ยวนมองดูยินเสี้ยวเสี้ยวด้วยความจริงจัง หลังจากที่มั่นใจแล้วว่าเธอไม่ได้พูดโกหกจึงพูดขึ้น :“ได้ครับ คุณอยากไปถ้าอย่างนั้นเราก็ไป”
ทั้งๆที่จิ๋นลี่ยวนยอมรับปากแล้ว แต่ไม่รู้ทำไมภายในใจของยินเสี้ยวเสี้ยวกลับรู้สึกไม่ปลอดภัยขึ้นมา
รถจอดอยู่ตรงหน้าประตูบ้านยิน จิ๋นลี่ยวนยังไม่ทันได้พูดอะไร ก็เห็นรถของยินจื่อเจิ้นขับกลับมาจากด้านนอก จากนั้นยินจื่อเจิ้นก็พายินเสี้ยวเสี้ยวเข้าไปในบ้านยิน ท่าทีที่มีต่อจิ๋นลี่ยวนนั้นคือเหมือนมองไม่เห็น ทำให้จิ๋นลี่ยวนอดสงสัยไม่ได้ ทว่าก็ไม่ได้นำมาใส่ใจ
หนึ่งทุ่มวันที่ยี่สิบ ยินเสี้ยวเสี้ยวสวมชุดเดรสสีดำเรียบๆหนึ่งตัวเดินค้องแขนจิ๋นลี่ยวนเข้าไปในงานแสดงห้องหมายเลขหนึ่งของเมืองT
การแต่งหน้าที่สวยงาม ยินเสี้ยวเสี้ยวที่มัดหางม้ารวบต่ำทำให้เธอแลดูเป็นผู้หญิงที่อ่อนโยน จิ๋นลี่ยวนสวมชุดสูทรสีดำใบหน้าที่เคร่งขรึมนั้นจะคลายยิ้มอ่อนโยนเพียงไม่กี่ครั้งเวลาที่พูดคุยกับยินเสี้ยวเสี้ยวเท่านั้น
ภายในห้องจัดแสดงนั้นแทบจะกล่าวได้ว่าไม่มีที่นั่งไหนว่าง เมื่อเป็นแบบนี้จึงทำให้เห็นชัดว่านักเต้นบัลเล่ต์คนนี้มีชื่อเสียงและความสามารถมาก จนกระทั่งวันนี้ที่มาถึงยินเสี้ยวเสี้ยงจึงพึ่งได้รู้ว่านักเต้นบัลเล่ต์คนนี้อายุเท่ากับเธอ อายุเพียงยี่สิบสามปี แต่ว่าตอนนี้เธอได้กลายเป็นคนที่มีชื่อเสียงไปแล้ว ได้ยินว่าเป็นนักเต้นบัลเล่ต์เบอร์หนึ่งของทีมบัลเล่ต์ที่เยอรมัน ยินเสี้ยวเสี้ยวจึงรู้สึกนับถือผู้หญิงคนนี้มากจริงๆ…..
ก่อนที่การแสดงจะเริ่มขึ้น ในมือของยินเสี้ยวเสี้ยวถือใบโฆษณาเอาไว้ แต่น่าแปลกที่บนนั้นกลับไม่มีชื่อของนักเต้นบัลเล่ต์ ไม่รู้ว่าผู้จัดงานรู้สึกว่าเธอมีชื่อเสียงมากพอแล้วทุกคนต่างก็รู้จักจึงไม่อยากเขียนลงไป รู้เป็นเพราะการทำให้ลึกลับแบบนี้จะทำให้ดึงดูดแฟนคลับมากขึ้น……
ไฟในห้องจัดแสดงค่อยๆหรี่มืดลง ยินเสี้ยวเสี้ยวนั่งอยู่ตรงที่นั่งของตนเองด้วยความเงียบพร้อมมองดูม่านบนเวทีที่ค่อยๆเปิดออก มุมเวทีนั้นมีร่างบางยืนอยู่ที่นั่น เท้าทั้งสองข้างที่ไคว้กันเอาไว้ นิ้วเท้าที่เขย่งตรง ใบหน้าที่ก้มลงเล็กน้อย….. ไม่ต้องมีคำพูดใดๆ ไม่ต้องมีท่าทีใดๆ วินาทีนั้นนักบัลเล่ต์สาวได้ทำให้ชื่อเสียงของตนเองดังกระหึ่มขึ้นมากกว่าเดิม
เสียงดนตรีดังขึ้น ตามมาด้วยท่วงท่าการเต้น……
ยินเสี้ยวเสี้ยวนั่งเงียบๆมองดูนักบัลเล่ต์บนเวที ดวงตาของเธอเคล้าไปด้วยความตื่นตะลึง
ถึงแม้ว่าจะแต่งหน้าเข้มแค่ไหนแต่ทว่าก็ไม่สามารถซ่อนความสวยบนใบหน้าของเธอได้เลย เธอที่กำลังเต้นบัลเล่ต์อยู่นั้นราวกับว่าเกิดมาเพื่อเวที หมุมตัว กระโดด เขย่งเท้า ลงพื้น……ทุกท่วงท่าล้วนแลกมาพร้อมกับเสียงปรบมือนับครั้งไม่ถ้วน เสียงปรบมือนั้นเตมไปด้วยความชื่นชมในการเต้นบัลเล่ต์ของเธอ
บทเพลงเจ็บเพราะรัก บทเพลงอ่อนระทวยและปราดเปรียว ทุกอย่างล้วนติดตาตรึงใจในสายตาของทุกคน
ไม่พูดไม่ได้จริงๆ ผู้หญิงบนเวทีนั้นช่างดึงดูดผู้ชายทุกคนของผู้หญิง
ในความมืด ยินเสี้ยวเสี้ยวหันไปมองจิ๋นลี่ยวนแวบหนึ่ง เธอไม่รู้ว่าเขาสนใจกับการแสดงแบบนี้รึเปล่า เธอในตอนนั้นก็แค่โมโหชั่วขณะก็เท่านั้น เธอที่อยู่ในความมืดนั้นมองดูเขาที่มองดูผู้หญิงเต้นบัลเล่ต์ด้วยความตั้งใจ เหมือนตกอยู่ในภวังค์ของการเต้นบัลเล่ต์นั้น…..
ตอนที่ผู้หญิงสวยๆคนนั้นหมุนตัวแล้วหยุดลง ท่าทีโน้มตัวลงที่งดงามนั้น ยินเสี้ยวเสี้ยวได้ยินเสียงปรบมือดังก้องไปทั่วห้องจัดแสดง แม้แต่ตัวเธอเองก็รู้สึกตื้นตันใจไม่น้อย
จนกระทั่งการแสดงจบลง ยินเสี้ยวเสี้ยวที่พึ่งลุกขึ้นยืนกำลังจะออกไปพร้อมกับกลุ่มคนนั้น เมื่อหันกลับมากลับเห็นจิ๋นลี่ยวนยังคงนั่งอยู่ตรงที่นั่งของตนเอง ท่าทีนั้นคล้ายกับว่ายังไม่ตื่นจากความประทับใจนั้น ยินเสี้ยวเสี้ยวคลายยิ้มแล้วยื่นมือไปจับหัวไหล่ของเขาเบาๆ
“จิ๋นลี่ยวน คุณเอ่อไปแล้วหรอคะ?” คำพูดหยอกล้อนั้น คล้ายว่าพึ่งดึงสติเขากลับมา
จิ๋นลี่ยวนหันหน้ากลับมา มองดูหญิงสาวตรงหน้าที่อยู่ภายใต้แสงสลัว
ชุดเดรสสีดำขับกับผิวขาวของเธอ ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยท่าทีหยอกเย้า จิ๋นลี่ยวนคลายยิ้มในชั่วพริบตา ผู้หญิงคนนี้ต่างหากที่เป็นภรรยาของเขา…..
จิ๋นลี่ยวนไม่ได้พูดอะไรเพียงแค่ลุกขึ้นยืนเท่านั้น ยื่นมือไปจับมือของยินเสี้ยวเสี้ยวเอาไว้ จากนั้นจู่ๆก็พูดกับเธอเสียงเบา :“ยินเสี้ยวเสี้ยว ขอบคุณนะครับ”
ยินเสี้ยวเสี้ยวไม่เข้าใจ ดังนั้นจึงตอบกลับ:“ไม่ต้องขอบคุณหรอกค่ะ”
ตั้งแต่เดินออกมาจากห้องจัดแสดงนั้น ยินเสี้ยวเสี้ยวก้มหน้ามองดูมือที่ถูกจิ๋นลี่ยวนจับเอาไว้จากนั้นก็คลายยิ้ม พวกเขาออกมาช้า ในห้องจัดแสดงจึงเหลือคนไม่มาก ถึงนั้นที่ว่ายินเสี้ยวเสี้ยวยังได้เห็นนักบัลเล่ต์เดินไปเดินมาเป็นครั้งคราว…..
ออกมาจากห้องจัดแสดง ยินเสี้ยวเสี้ยวเดินตามจิ๋นลี่ยวนขึ้นไปนั่งบนรถ ไม่ทันได้สังเกตแม้แต่น้อยว่าห้องจัดแสดงที่หรูหราด้านหลังของตนนั้นมีผู้หญิงที่ใส่ชุดเต้นรำแสนจะคุ้นตาวิ่งมาทางพวกเขา ใบหน้าที่เช็ดคราบเครื่องสำอางค์แล้วนั้นเต็มไปด้วยความคิดถึงและความกังวล…..
ด้านหลังของเธอมีคนวิ่งตามมาเป็นกลุ่ม แต่ดวงตาเปล่งประกายคู่นั้นกลับมีเพียงชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาที่เดินผ่านไปเมื่อครู่……
จิ๋นลี่ยวน คือคุณใช่ไหมคะ? ฉันกลับมาแล้ว คุณจะยังรอฉันอยู่ไหม?