Flash Marriage แต่งงานกับคน(ไม่)ธรรมดา - บทที่142 พูดจาคมคาย สำบัดสำนวน
บทที่142 พูดจาคมคาย สำบัดสำนวน
ครั้งหนึ่ง จิ๋นลี่ยวนก็ใช้พฤติกรรมแบบนี้ที่บ้านยินพูดให้เธอหลงใหล คิดว่าเขามาเพื่อช่วยเธอ แต่ตอนนี้ยินเสี้ยวเสี้ยวกลับรู้สึกว่าเต็มไปด้วยความเศร้า หันไปมองเขาเล็กน้อย
“จิ๋นลี่ยวน คุณคิดว่าฉันกับมู่เยียนหรานดีกันมากเหรอ?ตอนที่ฉันเผชิญหน้ากับนักข่าวมากมาย ข่าวลือมากมายที่เมืองTคนเดียว ฉันเห็นข่าวลือพวกคุณไปเที่ยวเล่นด้วยกันที่ฉันยังทำเฉยเมยได้?ความสัมพันธ์พวกเราแบบนี้ คุณมีสิทธิ์อะไรมาคิดว่าฉันกับเธอดีกันมากจนขนาดว่าล้อเล่นกันได้น่ะ?”ยินเสี้ยวเสี้ยวพูดเสียงเบา ตาสีขาวดำมองที่เขาตรงๆแต่ส่วนลึกนั้นเต็มไปด้วยความเศร้า“เอ้อฮันฟังฉัน แต่ตั้งหลายปีมานี้มันเคยทำร้ายคนที่บ้านจิ๋นเหรอ ทำไมตอนที่มีแค่ฉันกับมู่เยียนหรานอยู่สองคน เอ้อฮันก็โกรธล่ะ?คุณคิดว่าฉันโง่จริงๆเหรอ ถึงไม่พอใจก็จริงๆก็ทนไม่ไหวต้องให้เอ้อฮันไปทำร้ายเธอในสถานการณ์ที่ฉันโต้เถียงไม่ได้?”
คำถามหลายอย่าง ถามจนจิ๋นลี่ยวนพูดไม่ออก ได้แต่มองเธอ สายตาเต็มไปด้วยความตะลึง
สองสามีภรรยาสตระกูลมู่ยืนตรงหน้ายินเสี้ยวเสี้ยวได้แต่พูดออกมาหนึ่งประโยค:“ยินเสี้ยวเสี้ยว ในที่สุดฉันก็รู้ว่าทำไมคุณแต่งเข้าบ้านจิ๋นได้ จากปากของเธอนี่ ถึงตายก็ทำให้เธอพูดจนมีชีวิตอยู่ได้!”
ยินเสี้ยวเสี้ยวไม่พูดอะไร ได้แต่มองพวกเขาอย่างเยือกเย็น หมุนตัวออกไป ทิ้งไว้แค่ด้านหลังของเธอให้กลุ่มคนมองแผ่นหลังของเธอ ตอนที่จิ๋นลี่ยวนมองไปที่ร่างที่โดดเดี่ยวนั้น ในใจก็ตื่นตระหนกอย่างทนไม่ไหว
หลังจากผ่านไปนาน เขาจึงตกใจ การกระทำทุกอย่างของยินเสี้ยวเสี้ยวจากนี้ก็เริ่มจากตรงนี้
มู่เยียนหรานที่อยู่ในห้องคนไข้ หลับนิ่งอยู่นานจนเธอตื่นมา จื่อผู่หยางกับมู่หลงเฝ้าดูเธออยู๋ข้างๆด้วยความกังวลจนถึงตอนนี้
ในสายตาพวกเขา มู่เยียนหรานคือตระกูลมู่ ตระกูลมู่ก็คือมู่เยียนหราน แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยมีตำแหน่งของมู่ซูว
“เยียนหราน ทำแม่ตกใจหมด ……”มู่เยียนหรานฟื้นขึ้นมา จื่อผู่หยางก็เกือบจะร้องไห้ออกมา
หลังจากมู่เยียนหรานค่อยๆมองไปรอบๆห้อง ตอนที่มองเห็นคุณย่าจิ๋นกับจิ๋นลี่ยวนก็ส่งสายตาขอโทษออกมา ได้แต่พูดเบาๆ:“คุณย่า ลี่ยวน……”
คุณย่าจิ๋นรีบเดินมาทันที แต่จิ๋นลี่ยวนยังคงเอนไปที่หน้าต่างไม่พูดอะไร ได้แต่มองเธอ
“โอ๊ย เยียนหรานนี่ หลานแสนดีของย่า ตอนนี้ดีขึ้นยัง?”คุณย่าจิ๋นเป็นห่วงมาก ตอนนี้มองเห็นเธอตื่นมาหัวใจก็อ่อนลงราวกับละลายเป็นน้ำได้“ไม่สบายตรงไหนบอกย่านะ”
มู่เยียนหรานส่ายหัวเล็กน้อย มองจิ๋นลี่ยวนที่ยืนอยู่ข้างๆไม่พูดอะไรจึงพูดไปว่า:“ลี่ยวน เสี้ยวเสี้ยวเธอไม่เป็นไรใช่ไหม?”
จิ๋นลี่ยวนมองเธออย่างแปลกใจหน่อยๆ สายตาที่ลึกซึ้งนั้นไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่
“หนูนี่นะจิตใจดีขนาดนี้ ฟื้นมาก็ไม่สนอะไรถามถึงยัยนั่นที่ไม่คิดไม่เป็นก่อนทันที”คุณย่าจิ๋นทนมองมู่เยียนหรานที่แสนจิตใจดีคนนี้ไม่ได้อีกแล้ว ในใจก็ปวดใจ“เธอจะเป็นอะไรได้ล่ะ แข็งแรงจะตาย”
โล่งอกหน่อยๆ มู่เยียนหรานจึงพูด:“งั้นก็ดี ฉันกลัวคุณย่าจะว่าเธอจริงๆ เสี้ยวเสี้ยวบอกฉันว่าตอนที่เอ้อฮันกินข้าวจะชอบให้คนลูบมันที่สุด แต่ฉันน่าจะลูบมันผิดไป ดังนั้นเลยเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นมาค่ะ คุณย่าอย่าโกรธเธอเลยนะคะ ……”
ท่าทางออดอ้อนของสาวน้อยที่อ่อนแอ ท่าทางแบบนั้นไม่ว่าใครเห็นต่างทนไม่ไหวที่จะตำหนิ เธอทำตัวออดอ้อนเพื่อ‘อธิบาย’ให้ยินเสี้ยวเสี้ยวชัดๆ แต่ทำไมดูแล้สกลับทำให้คิดว่าเธอจิตใจดีเหลือเกิน ……
“เยียนหราน แม่รู้ว่าลูกใจอ่อน แต่ยินเสี้ยวเสี้ยวนั่นทำให้ลูกเป็นแบบนี้ได้ไงกัน?ถ้าตอนนั้นไม่ได้อยู่ที่บ้านจิ๋น ไม่มีลี่ยวนที่เป็นหมออยู่ ลูกจะเป็นไงลูกรู้ไหม?”จื่อผู่หยางยังโมโหเล็กน้อย ในสายตาเธอ อะไรก็เทียบลูกสาวคนนี้ไม่ได้“ลูกรู้ไหม ตอนนี้แม่กำลังหาสาเหตุที่เหมาะสม ถึงตอนนั้นทำการผ่าตัดเสร็จลูกก็จะได้อยู่ข้างกายแม่อย่างแข็งแรงแล้ว ……”
พูดไป จื่อผู่หยางก็ร้องไห้อย่างทนไม่ไหว ส่วนมู่หลงก็มองจิ๋นลี่ยวนด้วยสายตาไม่พอใจ
พวกเขาไม่รู้ว่าเอ้อฮันของบ้านจิ๋นไม่ชอบที่สุดก็คือตอนที่กินข้าวมีคนไปรบกวนมัน ตอนนี้แม้แต่เป็นคุณย่าจิ๋นก็ไม่กล้าที่จะไปยั่วยุมัน แต่ยินเสี้ยวเสี้ยวกลับพูดตรงกันข้าม
พอพูดจบ สีหน้าของคุณย่าจิ๋นกับจิ๋นลี่ยวนก็หน้าตึงขึ้นมาทันที คุณย่าหมุนตัวไปมองจิ๋นลี่ยวนแวบหนึ่ง ด้วยสายตาไม่เข้าใจ
มู่เยียนหรานแอบสังเกตการณ์แสดงออกของพวกเขาเสร็จก็ทำเป็นปลอบโยนแม่ตัวเองเบาๆอย่างไม่เป็นอะไรแล้วก็หันไปมองจิ๋นลี่ยวนพร้อมพูดว่า:“ลี่ยวน ฉันว่าเสี้ยวเสี้ยวไม่มา คุณไปดูเถอะ อย่าให้เธอต้องหาทางออกไม่ได้แล้วพยายามดิ้นรนต่อไปมันจะไม่ดี เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเธอเลย ฉันเองที่ไม่ดี คุณรีบไปดูเถอะ ……”
สีหน้าของจิ๋นลี่ยวนไม่ค่อยดี ได้แต่มองมู่เยียนหรานแวบหนึ่งแล้วพูด:“ไม่ต้อง เธอสบายดีมาก”
เวลานี้ จิ๋นลี่ยวนก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะโกรธขึ้นมา
เสี้ยวเสี้ยวจงใจทำแบบนี้ นี่มันเกินไปแล้ว!
จิ๋นลี่ยวนในเวลานี้จู่ๆก็คิดถึงประโยคนั้นที่มู่หลงวิจารณ์ยินเสี้ยวเสี้ยว‘พูดจาคมคายมาก’
มู่เยียนหรานมองจิ๋นลี่ยวนอย่างลำบากใจเล็กน้อย หลังจากคุณย่าพูดให้สบายใจไม่กี่คำก็ไม่ได้โน้มน้าวอะไรต่อ คนทั้งห้องต่างพูดคุยกับเธอ จนดึกมากแล้วจิ๋นลี่ยวนจึงตามคุณย่าจิ๋นออกไปจากโรงพยาบาลด้วยกัน
ระหว่างทางที่กลับบ้าน คุณย่าจิ๋นนั่งด้านหลังก็พูดขึ้นมา:“ลี่ยวน ภรรยาคุณคนนี้ควรสั่งสอนดีๆหน่อยหรือเปล่า วันนี้ทำเรื่องแบบนี้กับเยียนหรานได้ ครั้งต่อไปไม่รู้ว่าจะทำอะไรนะ ตัวเองเป็นตัวปัญหาตอนนี้ยังหาเรื่องทำให้เป็นปัญหามากยิ่งขึ้นอีก!”
จิ๋นลี่ยวนขับรถเงียบๆไม่พูดอะไร คำถามของยินเสี้ยวเสี้ยวกับท่าทางอ่อนแอของมู่เยียนหรานกำลังตีกันไปมาในหัว
“ยินเสี้ยวเสี้ยวคนนี้เดิมทีก็เป็นเด็กที่บ้านยินไม่เอาใจเท่าไหร่ ตอนนั้นแต่งเข้ามาก็ถือเป็นโชคดีของเธอแล้วจริงๆ เยียนหรานไม่ได้กลับมา ข้างกายคุณก็ไม่มีคนที่เหมาะสม ถ้าไม่ใช่ว่าย่าอยากอุ้มเหลนเฮจะมีสิทธิ์อะไรมาที่นี่?ผลลัพธ์กลับดี ข่าวก็ผสมปนเปไปหมดไม่มีไม่พูดถึงเลย อีกทั้งยังเกิดเรื่องมากมาย ช่วงนี้บ้านจิ๋นที่เมืองTของพวกเราก็น่าชมมากพอแล้ว!”คุณย่าจิ๋นตอนนี้คือไม่พอใจยินเสี้ยวเสี้ยวเป็นอย่างมาก ทุกคำพูดต่างน่ารังเกียจอย่างเปิดเผย
“ย่าครับ เรื่องนี้ผมจะคุยกับเธอเอง”ผ่านไปนาน จิ๋นลี่ยวนได้แต่พูดประโยคนั้น
คุณย่าจิ๋นมองเขา แล้วก็ไม่ได้พูดต่ออีก
หลายๆเรื่องถ้าหากเป็นน้ำมาคลองก็เกิดได้ล่ะก็ เธอก็ยินดีที่จะเห็น
……
เมืองไห่เมียว ยินเสี้ยวเสี้ยวกำลังดูโทรทัศน์ในห้องรับแขก เห็นจิ๋นลี่ยวนกลับมา ยินเสี้ยวเสี้ยวไม่หันหน้ามาสักนิดแต่ยังเคลื่อนไหวในส่วนของตัวเองต่อไป จิ๋นลี่ยวนได้แต่เหลือบมองเล็กน้อย แล้วเข้าห้องน้ำไป
สงครามเย็นของทั้งสองก็เริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ
ไม่กี่วันถัดมา ยินเสี้ยวเสี้ยวกับจิ๋นลี่ยวนก็ไม่ได้พูดกัน ถึงแม้ทั้งสองจะจเอกันโดยไม่ตั้งใจที่บ้านแต่ก็ไม่พูดกันสักคำ และเพราะว่าจิ๋นลี่ยวนทำงานเช้าแล้วกลับบ้านดึกทุกวัน ทุกวันเลยเหลือแค่ยินเสี้ยวเสี้ยวคนเดียวที่อยู่บ้านอย่างเบื่อๆเป็นพิเศษ
วันนี้ ยินเสี้ยวเสี้ยวตื่นมาแต่เช้ามองเห็นบนโต๊ะอาหารไม่มีการแตะต้องอาหารเช้า ในใจเธอก็รู้สึกหวิวหน่อยๆ
พอเก็บของของตัวเอง ยินเสี้ยวเสี้ยวก็เอากระเป๋าตัวเองแล้วออกไป วันนี้เธอกับพี่ชายนัดเรียบร้อยว่าจะไปกินข้าวกัน
ใน‘ร้านอาหารซื่อฟาง’ ยินจื่อเจิ้นก็รออยู่ข้างในนานแล้ว มุมปากยกขึ้นมาอย่างทนไม่ไหว
นี่คือหลังแต่งงาน เป็นครั้งแรกที่ยินเสี้ยวเสี้ยวนัดเจอเขา และก็ตั้งแต่ครั้งนั้นที่จิ๋นลี่ยวนดื่มหนักบอกชอบเธอ ก็เป็นครั้งแรกที่สองพี่น้องเจอกัน กังวลหน่อยๆ กระวนกระวาย เป็นวันแรกที่คุณชายบ้านยินที่ทำตัวแน่วแน่ให้คนเห็นมาโดยตลอดเป็นครั้งแรกที่มองยินเสี้ยวเสี้ยวอย่างเหนียมอาย……
ตอนที่พนักงานพายินเสี้ยวเสี้ยวมา ยังไม่เข้ามาเขาก็ได้ยินเธอเรียกอย่างมีความสุขว่า:“พี่คะ”
ยินจื่อเจิ้นมองเธอแล้วยิ้มเล็กน้อย อยากจะสังเกตให้ออกว่าเธอมีอะไรตรงไหนที่อึดอัดหรือไม่ แต่ว่าเขามองยังไงก็มองไม่ออก
ในใจผิดหวังหน่อยๆและก็ดีใจเล็กน้อย
ผิดหวังที่เธอไม่ได้เห็นเขาเป็นผู้ชายที่สามารถแข่งขันได้ ดีใจที่เขายังปกป้องอยู่ข้างกายเธอแบบนี้ได้อีก
เขาชอบเธอ ตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็นเธอ
ตอนที่หลี่หมึ้งพาเขามาที่บ้านยิน เขายี่สิบแล้ว ยินเสี้ยวเสี้ยวในปีนั้นเพิ่งจะห้าขวบ เด็กเล็กๆที่ร่างกายผอมแห้งหน่อยๆ ก็จ้องเขม็งไปที่เธอด้วยดวงตาคมเข้มคู่นั้น ปีนั้น เขากับน้องสาวเขา น้องชายตามแม่ของเขาที่เด็ดเดี่ยวเข้าไปในชีวิตของยินเสี้ยวเสี้ยว ทั้งเมืองTเริ่มโกลาหลอีกครั้ง แต่ตั้งแต่เขาก็เห็นผู้ชายคนนั้นที่เรียก‘พ่อ’เขาเริ่มจำได้จากตอนนั้น……
ตอนนั้นยินเสี้ยวเสี้ยวสวมกระโปรงเจ้าหญิงสีชมพูสวยงามมากยืนอยู่ตรงหน้าเขา เรียกเขาอย่างเขินอายว่า‘พี่’
เริ่มตั้งแต่ตอนนั้น เขาก็สาบานว่าต่อไปจะต้องปกป้องน้องสาวคนนี้ดีๆ โดยไม่ทันสังเกตว่าตั้งแต่นั้นมา ทุกอย่างก็เริ่มเปลี่ยนไป
ยินเสี้ยวเสี้ยวนั่งตรงหน้ายินจื่อเจิ้น รอยยิ้มเหมือนดอกไม้ ยื่นมือไปเหมือนถือของมีค่าออกมาจากกระเป๋า หยิบกล่องของขวัญที่เป็นผ้ากำมะหยี่วางตรงหน้าเขา ดวงตาคู่นั้นเหมือนพูดอย่างเป็นประกาย:“พี่คะ พี่รีบดูสิว่าชอบไหม”
แค่เป็นเธอที่ให้ ถึงแม้จะเป็นแค่วัชพืชเขาก็ชอบ
รับกล่องของขวัญมา ตอนนั้นที่ยินจื่อเจิ้นเปิดออกในใจก็สั่นเล็กน้อยอย่างช่วยไม่ได้
ตอนยินเสี้ยวเสี้ยวสิบเอ็ดขวบ ยินจื่อเจิ้นสิบแปด ปีนั้นเขาล้อเล่นให้เธอให้ของขวัญวันบรรลุนิติภาวะ ตอนนั้นยินเสี้ยวเสี้ยวยังเป็นเด็กสาวที่ยังขี้เกียจและชอบอยู่ในอ้อมกอดเขา เอื้อมไปที่แก้วเขาแล้วจูบลงไปพูดว่าต่อไปจะให้นาฬิกาเขาเรือนหนึ่ง เรื่องนี้เขาคิดว่าเขาจำได้แค่คนเดียว กลับไม่คิดว่ายินเสี้ยวเสี้ยวก็จำได้เหมือนกัน
วันฉลองบรรลุนิติภาวะสิบแปดขวบนั้น เขาได้รับจูบของยินเสี้ยวเสี้ยวที่สิบเอ็ดขวบ และก็ได้คำสัญญาแรกของยินเสี้ยวเสี้ยว
วันนี้สามสิบ เขาได้รับนาฬิกาจากยินเสี้ยวเสี้ยว แต่กลับไม่มีทางได้รับจูบของยินเสี้ยวเสี้ยวที่ยี่สิบสามในตอนนี้ได้อีก
ยินเสี้ยวเสี้ยวยื่นมือไปหยิบนาฬิกาของข้อมือยินจื่อเจิ้น ดึงมือเขา ไม่ได้สนใจว่าตอนที่มือเล็กๆของตัวเองกุมมือใหญ่เขานั้น เขาสั่นมากแค่ไหน เธอสวมนาฬิกาให้ยินจื่อเจิ้นเองกับมือ พูด:“จากนี้ไป บนมือของพี่ฉันก็จะไม่ว่างเปล่าอีกต่อไป”
ตั้งแต่สิบแปด บนข้อมือของยินจื่อเจิ้นก็ว่างเปล่าตลอดมา ถึงยินไป่ฝันกับหลี่หมึ้งจะเคยให้นาฬิกาเขา แต่เขาไม่เคยสวมสักครั้ง ยินเสี้ยวเสี้ยวรู้ว่าเขาจำคำสัญญาปีนั้นได้
ยินจื่อเจิ้นเงยหน้ามองยินเสี้ยวเสี้ยวที่ยิ้มอย่างร่าเริง ความอบอุ่นในใจ มองบนมือที่จู่ๆก็มีนาฬิกาแต่ก็ไม่รู้สึกผิดปกติใดๆเหมือนว่าเดิมทีมันก็ควรจะวางไว้ตรงนั้นอยู่แล้ว