Flash Marriage แต่งงานกับคน(ไม่)ธรรมดา - บทที่162 จุดจบของมู่ซูว
บทที่162 จุดจบของมู่ซูว
ทั้งสามคนที่อยู่ในลิฟต์ ต่างก็มีท่าทางที่ต่างกันออกไป
มือของเซี่ยงเฉิงที่โอบเอวของยินรั่วอวิ๋นอยู่นั้นผ่อนแรงลงเล็กน้อย แต่ว่ายินรั่วอวิ๋นก็ไม่ทันได้สังเกตเห็นความผิดปกตินั้น ส่วนมู่เยียนหรานกลับแสดงท่าทาง‘ที่แท้ก็เป็นแบบนี้นี่เอง’ออกมา
ไส้ติ่งอักเสบเฉียบพลัน
คาดว่า หลังจากที่ยินเสี้ยวเสี้ยวเข้าโรงพยาบาล จิ๋นลี่ยวนก็คงถือโอกาสช่วยเธอตรวจร่างกายด้วยเลยสินะ
ทุกคนจากไปด้วยสีหน้าท่าทางคนละแบบ
จนตอนที่ยินเสี้ยวเสี้ยวออกจากโรงพยาบาลแล้ว จิ๋นลี่ยวนก็เริ่มเตรียมตัวที่จะออกไปเหมือนกัน หยูเจียห้วยเองก็ย้ายเข้ามาอยู่ที่เมืองไห่เมียวตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้ว
เพิ่งจะเดินเข้ามาในบ้าน ก็เห็นบนโต๊ะอาหารเต็มไปด้วยมื้อใหญ่ แต่ก็ยังเน้นอาหารเบาเป็นหลัก
ยินเสี้ยวเสี้ยวชะงักไปครู่หนึ่ง พอหันไปก็เห็นว่าคุณแม่เสิ่นกำลังเดินออกมาจากในห้องครัว แถมยังสวมผ้ากันเปื้อนอยู่บนตัวด้วย
เธอสะดุ้งตกใจ เธอคิดว่าหยูเจียห้วยลงมือเข้าครัวเองเสียอีก !
นี่คงเป็นข่าวใหญ่มาก คุณหนูใหญ่ตระกูลตระกูลหยูเข้าครัว เกรงว่ามื้อนี้เธอคงทานอย่างสงบใจไม่ได้……
“คุณแม่คะ” เธอขานเรียกทีหนึ่ง ยินเสี้ยวเสี้ยวแอบมองไปที่ห้องครัวด้วยความรู้สึกผิด พอเห็นการตกแต่งใหม่ทำให้เธออดหน้าแดงขึ้นมาไม่ได้
จิ๋นลี่ยวนเอื้อมมือโอบเธอแล้วตรงไปที่ห้องนอน และอธิบายเรื่องข้อควรระวังให้เธอฟังด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
พอเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ มือเล็กๆของยินเสี้ยวเสี้ยวก็ถูกกุมไว้ในมือของจิ๋นลี่ยวนและเตรียมจะออกไป แต่ยินเสี้ยวเสี้ยวกลับยื่นมือออกไปดึงเขาไว้ก่อน
ทั้งสองคนหยุดอยู่ริมประตูเงียบๆ
พอมองลงไปที่เธอ สายตาของจิ๋นลี่ยวนก็ปรากฏแววสังสัยเล็กน้อย
หลังจากเงียบอยู่สองวินาที ยินเสี้ยวเสี้ยวก็ถามออกไปว่า “จิ๋นลี่ยวน ฉันตามคุณไปด้วยได้ไหม”
เขากลืนน้ำลายเล็กน้อย จิ๋นลี่ยวนพูดเพียงว่า “เด็กดี ไปทานข้าวกันได้แล้ว”
หัวใจของเธอดิ่งลงทันที ยินเสี้ยวเสี้ยวไม่พูดอะไรอีกและตามเขาไปที่ห้องรับแขก
หลังทานข้าวเสร็จ ยินเสี้ยวเสี้ยวกลับไปพักผ่อนที่ห้องนอนก่อนแล้ว เลยไม่ได้สังเกตว่าหยูเจียห้วยเรียกตัวจิ๋นลี่ยวนเอาไว้
“ลี่ยวน……” พอมองดูจิ๋นลี่ยวน คอของหยูเจียห้วยก็ตีบตัน ผ่านไปครู่ใหญ่ถึงได้พูดว่า “อากาศทางนั้นไม่ค่อยดี ตอนลูกไปก็เอาเสื้อผ้าไปเยอะๆหน่อยนะ”
พยักหน้ารับ ตอนนี้จิ๋นลี่ยวนไม่แม้แต่จะหันกลับไปมองแล้วเดินเข้าไปในห้องนอนทันที
ไม่ว่าจะเป็นการผ่าตัดที่เล็กน้อยแค่ไหนก็สร้างความเจ็บปวดได้เหมือนกัน หลังจากทานข้าวแล้วยินเสี้ยวเสี้ยวก็ขึ้นไปนอนพักบนเตียง เพียงแต่สายตายังคงจับจ้องไปที่จิ๋นลี่ยวนอย่างคาดหวัง น่าเสียดายที่จิ๋นลี่ยวนกลับทำเป็นไม่สนใจราวกับไม่เข้าใจความนัยนั้น
คนหนึ่ง ผ่านพ้นไปกับนิทรา
เช้าวันต่อมา ตอนที่ยินเสี้ยวเสี้ยวตื่นขึ้นมา พื้นที่ข้างๆบนเตียงก็ว่างเปล่าแล้ว แม้จะเป็นช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วงแบบนี้ก็ยังสัมผัสถึงอุณหภูมิไม่ได้เลยแม้แต่นิดเดียว เธอสะดุ้งเล็กน้อย ยินเสี้ยวเสี้ยวแน่นิ่งไม่ไหวติงอยู่เนิ่นนาน
ท้ายที่สุด จิ๋นลี่ยวนก็ยังจากไปคนเดียวแบบนั้นอยู่ดี
และไม่มีใครรู้เลยว่าเขาไปไหน……
วันเวลาที่ไม่มีจิ๋นลี่ยวน ยินเสี้ยวเสี้ยวผ่านพ้นมันไปอย่างเชื่องช้า ถึงแม้หลักสูตรระดับบัณฑิตศึกษาและบริษัทจื่อยินจะทำให้เธอยุ่งจนหัวหมุน แต่เธอก็ยังรู้สึกเหมือนเวลาถูกทำให้ช้าลง
คอยเฝ้านับวันเพื่อให้มันผ่านพ้นไป
วันที่สาม ในที่สุดยินเสี้ยวเสี้ยวก็พบว่าบรรยากาศในบ้านจิ๋นไม่ค่อยปกติ
จิ๋นลี่ยวนไม่อยู่สามวัน ตั้งแต่วันแรกที่เขาออกไป ภายในบ้านจิ๋นก็เริ่มเข้าสู่บรรยากาศที่เงียบงัน แถมยังมีความรู้สึกกดดันบางอย่าง จิ๋นลี่โป๋กับจิ๋นลี่หยาวกลับบ้านทุกวัน หยูเจียห้วยเองก็พาเธอกลับมาบ่อยๆ อาทิตย์นี้คนในบ้านจิ๋นรวมตัวกันบ่อยกว่าช่วงหนึ่งเดือนที่ผ่านมาเสียอีก
คุณย่าจิ๋นยิ่งเงียบงันกว่าเดิม ขนาดมู่เยียนหรานมาถึงสองครั้งก็ยังโดนเรียกกลับไป
ทั้งบ้านจิ๋น ราวกับกำลังเข้าสู่สภาวะอันน่าประหลาด
ยังไม่ทันได้คิดอะไรมาก ยินเสี้ยวเสี้ยวที่เพิ่งจะได้รับการผ่าตัดมาหมาดๆจู่ๆก็เกิดปวดแผลขึ้นมา สุดท้ายก็ต้องให้คุณย่าจิ๋นเรียกคนพาเธอไปส่งที่โรงพยาบาลหนันหยู ด้านหลังยังมีจิ๋นลี่โป๋กับจิ๋นลี่หยาวตามมาด้วย
ก่อนขึ้นรถ ยินเสี้ยวเสี้ยวเห็นคุณแม่เสิ่นถือถุงสีดำถุงหนึ่งออกมา และมีกระดาษสีเหลืองเผยออกมาเล็กน้อย
ณ โรงพยาบาลหนันหยู เถียนหรงช่วยยินเสี้ยวเสี้ยวตรวจสอบแผลจากการผ่าตัด อาจจะเป็นเพราะไปโดนเข้าโดยไม่ได้ตั้งใจ เลยส่งผลให้เป็นแบบนี้ แค่พักผ่อนและคอยระวังก็ไม่เป็นไรมากแล้ว
จิ๋นลี่โป๋กับจิ๋นลี่หยาวที่ยืนอยู่ข้างๆก็โล่งอก แต่ยินเสี้ยวเสี้ยวกลับรู้สึกว่าจิ๋นลี่โป๋มีเรื่องอยากจะพูดกับเธอ ดูท่าทางไม่พอใจตั้งแต่หัวจรดเท้า
“พี่คะ พี่มีเรื่องอะไรอยากจะพูดกับฉันหรือเปล่าคะ” ยินเสี้ยวเสี้ยวเอ่ยถามเสียงเบา แต่กลับได้ยินเสียงรบกวนดังมาจากนอกห้องผู้ป่วย ทั้งสามคนในห้องผู้ป่วยเลยพากันออกไปดู
ทางเดินในโรงพยาบาล มู่ซูวสีหน้าซีดเผือด นอนอยู่บนพื้นทั้งตัวเหงื่อโชก และขยับเขยื้อนอย่างช้าๆ
“ไม่เอา ฉันไม่เอา……ฉันไม่ตัดขา……” แววตาของมู่ซูวสูญเสียสีสันเดิมไปแล้ว และถูกแทนที่ด้วยความหวาดกลัว คลานอยู่บนพื้นพร้อมกับพูดไปด้วยว่า “ฉันไม่เอา ฉันไม่ตัดขา……ฉันยังต้องเต้นอยู่……ต้องเต้น……”
ยินเสี้ยวเสี้ยวยื่นนิ่งอยู่กับที่ไม่ไหวติง
หลายเดือนก่อนหน้านี้ ตอนที่เธอเห็นมู่ซูว เธอยังเป็นหงส์ขาวที่กำลังเต้นรำอยู่บนเวทีอยู่เลย แต่วันนี้กลับเหมือนมดแมลงชั้นต่ำที่คลานอยู่กับพื้น ลากขาที่อ่อนแรงถูไปกับพื้นอย่างยากเย็น
ขาเรียวงามคู่นั้นตอนนี้ถูกพันด้วยผ้าพันแผลหนาๆซึ่งไม่มีประโยชน์แถมยังมีกลิ่นเหม็นบางอย่างโชยออกมาเล็กน้อย
จิ๋นลี่หยาวขมวดคิ้วเล็กน้อยและพูดเบาๆว่า “ไหนตอนเข้ามาบอกว่ารักษาแบบไม่ต้องตัดขาก็ได้ไม่ใช่เหรอ”
พี่หลิงยืนอยู่อีกด้านและสั่งให้พวกพยาบาลพยายามพาเธอกลับไปที่เตียงผู้ป่วย พอเห็นจิ๋นลี่หยาวก็เริ่มเปิดปากอธิบาย “เดิมทีก็ควบคุมได้แล้ว แต่ช่วงที่มู่ซูวอยู่ในโรงพยาบาลเธอหักโหมมากเกินไป หักโหมจนขาของเธอฟื้นฟูไม่ได้แล้ว”
พอสิ้นเสียง ทั้งสามคนก็นิ่งอึ้งไปทันที
ตอนที่เพิ่งประสบอุบัติเหตุ อาการของมู่ซูวนั้นสาหัสมากจริงๆ ตอนนั้นก็ได้คำตอบที่แน่นอนแล้ว ว่าชีวิตนี้มู่ซูวจะไม่สามารถลุกขึ้นมาเต้นได้อีก ชีวิตนี้เธอทำได้แค่นั่งอยู่บนรถเข็นตลอดไป แต่ไม่รู้ว่าใครกันที่ไปพูดกรอกหูเธอเรื่องหมั่นขยันซ้อมและประวัติบัลเล่ต์ของเธอ กระตุ้นให้เธอมักจะแอบฝืนลองลับหลังเวลาที่พยาบาลไม่ทันสังเกตครั้งแล้วครั้งเล่า……
ตระกูลมู่ไม่มีคนสนใจเธอ แม้แต่ผู้จัดการในคณะเดิมของเธอก็ไม่ไยดีเธอ
นักเต้นที่สูญเสียขาไปทั้งสองข้างไป สำหรับพวกเขาแล้วก็ไม่หลงเหลือประโยชน์อะไรแล้ว
หลังจากที่มู่ซูวถูกส่งตัวมาที่โรงพยาบาลและได้รับคำยืนยันแล้วว่าจะไม่สามารถกลับไปเต้นได้อีกก็ไม่มีใครมาเยี่ยมอีกเลย คนเดียวที่ยังคอยมาเยี่ยมก็เหลือแค่เซี่ยงหลินคนเดียว……
มู่ซูวที่เอาขาของตัวเองมาล้อเล่นครั้งแล้วครั้งเล่าแบบนี้ สุดท้ายก็ถูกคนพบเข้า บาดแผลติดเชื้อลุกลาม หากไม่ตัดทิ้งแม้แต่ชีวิตก็คงรักษาไว้อีกไม่ได้
พยาบาลวิ่งเข้าไปหมายจะพยุงเธอขึ้นมา แต่ว่ามู่ซูวกลับผลักพวกเขาออกอย่างแรงราวกับสัตว์ร้าย จากนั้นตัวเองก็คลานไปริมกำแพง แล้วใช้มือทุบขาทั้งสองข้างของตัวเองอย่างโหดร้าย
“ทำไม ทำไมแกถึงไม่ยอมลุกขึ้นมา ทำไมแกถึงไม่เต้นต่อ ทำไมแกถึงไร้ประโยชน์ !” ทั้งร้องตะโกนทั้งร้องไห้ ท่าทางแบบนั้นทำให้คนรอบของอดไม่ได้ที่จะขยับออกห่าง “บัลเล่ต์เอลฟ์” ร่วงหล่นในชั่วข้ามคืนเป็นข่าวที่ผู้คนทั่วทั้งเมืองTต่างก็รู้ “ทำไม ทำไมคนที่เป็นแบบนี้ถึงเป็นฉัน ! ทำไม……”
มู่ซูวหน้าซีดมาก แต่แก้มกลับแดงมาก นั่นเป็นผลจากอาการป่วย แต่บนตัวกลับมีเหงื่อออกตลอดเวลาจนเสื้อผ้าของเธอเปียกชุ่ม
พี่หลิงออกคำสั่ง สุดท้ายก็ให้คนอุ้มเธอกลับไปที่เตียงผู้ป่วย แต่เธอกลับเหมือนคนที่สูญเสียความต้องการที่จะมีชีวิตไปแล้วและพึมพำออกมาว่า “ทำไม ทำไมคนที่พิการต้องเป็นฉัน ?”
พวกยินเสี้ยวเสี้ยวทั้งสามคนที่เห็นทุกอย่างกับตา ต่างก็ไม่มีใครพูดอะไรออกมา
มู่ซูวกลับประเทศมาได้เพียงครึ่งปีเท่านั้น ก็ต้องประสบกับเหตุการณ์แบบนี้ หากต่อไปไม่เกิดความเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ก็คงถือว่าดีมากแล้ว
ผ่านไปสักพัก ผู้คนตรงทางเดินก็น้อยลงไปบ้างแล้ว พอยินเสี้ยวเสี้ยวหันกลับไปก็เห็นจิ๋นลี่โป๋ยืนพิงขอบหน้าต่างและมองออกไปนอกหน้าต่างพูดกับเธอว่า “เสี้ยวเสี้ยว ฉันว่าเธอควรไปหาลี่ยวน”
แววตาสั่นไหว แต่ยินเสี้ยวเสี้ยวไม่ได้พูดอะไรออกมา
เธอไม่รู้ว่าจิ๋นลี่ยวนไปไหน และขณะเดียวกันก็ไม่รู้ด้วยว่าควรหรือไม่ควรตามไป
หลังจากที่จิ๋นลี่โป๋เปิดปากพูดออกไปแล้วจิ๋นลี่หยาวเองก็เงียบไปเลย ผ่านไปครู่ใหญ่ถึงได้เอ่ยขึ้นว่า “เสี้ยวเสี้ยว เดี๋ยวฉันจองตั๋วเครื่องบินให้เธอแล้วกัน”
เพียงประโยคเดียว ก็ตัดสินเรื่องโปรแกรมอีกสี่วันหลังจากนี้ของยินเสี้ยวเสี้ยวเรียบร้อยแล้ว เธอต้องก้าวสู่เส้นทางตามหาสามีของตัวเอง
มองดูท่าทางเปี่ยมสุขปนตื่นเต้นของยินเสี้ยวเสี้ยวแล้ว จิ๋นลี่โป๋ก็ได้แต่หวังว่าตัวเองคงไม่ได้ตัดสินใจผิด
พวกเขาต่างก็ไม่ทันได้สังเกต ว่าหน้าประตูห้องผ่าตัดมีเงาผอมบางร่างหนึ่งยืนอยู่
มู่เยียนหรานยิ้มมุมปาก มองเข้าไปในห้องผ่าตัดและยิ้มอย่างดีใจ
มู่ซูวคิดว่าแค่พิการแล้วจะเป็นจุดจบของเธออย่างนั้นหรือ
ตลกแล้ว ถ้าเธอปล่อยมู่ซูวไปแค่นั้น เธอก็คงไม่ใช่มู่เยียนหราน !
เธอจะทำลายความหวังทั้งหมดของหล่อนทิ้ง
ส่วนยินเสี้ยวเสี้ยว ตอนนี้เธอยังไม่รีบร้อน สักวันหนึ่งเธอจะทำให้ยินเสี้ยวเสี้ยวสูญเสียทุกสิ่งทุกอย่าง เช่นเดียวกับมู่ซูวในตอนนี้ ! ไม่เหลือแม้แต่อย่างเดียว!
เมืองQที่อยู่ห่างไกลจากเมืองTนั้นเป็นเพียงเมืองเล็กๆเมืองหนึ่ง เล็กขนาดที่เดินเท้าไม่กี่ชั่วโมงก็สามารถเดินทั่วเมืองได้แล้ว ที่นี่มีฝนฤดูใบไม้ร่วงโปรยปราย แทบจะมีฝนตกทั่วทั้งฤดูใบไม้ร่วง แฝงไปด้วยกลิ่นอายแห่งความคะนึงหาอยู่ทั่วทุกขณะ
ตอนที่ยินเสี้ยวเสี้ยวมาถึงที่นี่ ท้องฟ้าก็มีฝนตก บรรยากาศมืดครึ้มและกดดัน
ส่วนจิ๋นลี่ยวน มาถึงที่เมืองนี้ตั้งแต่เมื่อหลายวันก่อนแล้ว
ในมือกำแผนที่เมืองเอาไว้ ยินเสี้ยวเสี้ยวแบกเป้แล้วเริ่มออกตามหาในเมือง
ในซอกซอยถนนเก่าๆ ยินเสี้ยวเสี้ยวเคาะประตูถามไปทีละบ้าน จนในที่สุดก็ถามจุดหมายบนแผนที่ได้
——เมืองQ ถนนเถาซี ซอยเถาซี หมายเลข162
สถานที่ที่จิ๋นลี่ยวนจะต้องมาพักเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์เป็นประจำทุกปีก็คือที่นี่
ยืนอยู่หน้าประตู ยินเสี้ยวเสี้ยวมองไปที่ประตูที่มีสภาพทรุดโทรม ก็สูดหายใจเข้าลึกและในที่สุดก็เคาะประตู
หลังจากที่เขาเห็นเธอแล้ว จะแสดงท่าทีแบบไหนออกมากันนะ
ระหว่างนั้น ยินเสี้ยวเสี้ยวก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาเล็กน้อย
แต่รออยู่ครู่ใหญ่ ก็ไม่มีคนมาเปิดประตู ยินเสี้ยวเสี้ยวเคาะประตูอีกครั้งแต่ก็ยังไม่มีคนมาเปิดประตูเหมือนเดิม……
ไม่อยู่บ้านอย่างนั้นหรือ
ถอนหายใจออกมาเบาๆ ยินเสี้ยวเสี้ยวยืนรออยู่ภายในซอยเงียบๆ
ตอนที่จิ๋นลี่ยวนกลับมาก็เห็นว่ามีเด็กผู้หญิงยืนอยู่หน้าประตูโทรมๆบานนั้น ยืนอยู่บนถนนหินและมองขึ้นไปที่เม็ดฝนด้านนอกร่มที่ถืออยู่ สีหน้าเงียบสงบและอึมครึมเล็กน้อย
วันฝนพรำ หากยืนอยู่ด้านนอกคนเดียวเป็นเวลาก็จะเกิดอารมณ์แบบนี้ขึ้น
“เสี้ยวเสี้ยว” เขาขานเรียกแผ่วเบาออกไปทีหนึ่ง แล้วจิ๋นลี่ยวนก็ได้เห็นเด็กสาวที่เดิมทียืนทำหน้าอึมครึมอยู่นั้นหลังจากเห็นเขาแล้วก็คลี่ยิ้มออกมาราวกับดอกไม้บาน เสี้ยววินาทีนั้น จิ๋นลี่ยวนก็รู้สึกเหมือนดอกไม้เบ่งบาน สายฝนนี้ก็ไม่ได้อึมครึมขนาดนั้นอีกต่อไป
ยินเสี้ยวเสี้ยวเหมือนเป็นแสงสว่าง ที่จู่ๆก็โผล่เข้ามาในโลกอันแสนมืดครึ้มในช่วงเวลานี้ในทุกๆปีของเขา กระชากให้มีช่องว่าง จากนั้นก็เชิญชวนให้แสงสว่างส่องผ่านเข้ามา