Flash Marriage แต่งงานกับคน(ไม่)ธรรมดา - บทที่166 จิ๋นลี่ยวนผู้เย็นชา
บทที่166 จิ๋นลี่ยวนผู้เย็นชา
เธอเกลียดจริงๆ เกลียดจนใช้วิธีที่ไร้เยื่อใยที่สุดในโลกนี้มาเผชิญกับพวกเขา
เยียนหรานของเธอโดนซูเหนียงปองร้ายตั้งแต่อยู่ในท้อง ไม่ง่ายเลยที่จะหาเด็กคนนึงที่สามารถเปลี่ยนหัวใจกับมู่เยียนหรานได้ แต่กลับหายไปเพราะแผนของซูเหนียง
ถ้าจะบอกว่าซูเหนียงเป็นคนทำลายคนในตระกูลมู่ ก็คงไม่นับ
แต่ยังไงแล้ว ตั้งแต่ตอนนั้นซูเหนียงก็หายไปเลย ถึงพวกเขาจะลงแรงลงใจพยายามตามหาแค่ไหนก็ยังหาไม่เจออยู่ดี
โรงพยาบาลหนันหยู
จิ๋นลี่ยวนเริ่มกลับมาทำงานแล้ว ทุกคนเห็นได้ถึงการเปลี่ยนไปของจิ๋นลี่ยวน
อารมณ์ของเขาดีเป็นพิเศษ ถึงเมื่อก่อนท่าทางจะดูเป็นมิตรอยู่แล้ว แต่ครั้งนี้กลับเหมือนมีความตื่นเต้นที่ดูน่ากลัวอย่างหนึ่งอยู่ด้วย
เถียนหรงอยู่ข้างๆเขาอย่างระมัดระวัง ตื่นเต้นจนไม่กล้าทำอะไรผิด ถ้าผิดก็คงไม่รอดแน่ๆ
หลังจากเลิกงานวันนี้ จิ๋นลี่ยวนไปที่ห้องผู้ป่วยของมู่ซูวตามเคย แต่แค่ครั้งนี้นั้นไม่ได้เหมือนครั้งก่อนๆแล้ว ในที่สุดมู่ซูวก็ยอมลืมตาตื่นขึ้นจากฝันแล้ว
กลับมาสามวัน ทุกครั้งที่เช็กอาการในสามวันนี้นั้น มู่ซูวก็หลับตาอยู่ตลอด
ในห้องผู้ป่วยสีขาวอบอวลไปด้วยกลิ่นของน้ำยาฆ่าเชื้อ ในห้องของมู่ซูวนั้นมีแค่ผลไม้ไม่กี่อย่างแล้วก็ไม่มีของอะไรอีกเลย ผมยาวของเธอสยายอยู่บนหมอนบนเตียงผู้ป่วย ร่างกายซูบผอม ตั้งแต่ช่วงเข่าลงไปนั้นกลับว่างเปล่าไปหมด บางทีก็จะเห็นร่องลอยของลมพัดได้……
สุดท้ายแล้วมู่ซูวก็ไม่รอดพ้นจากการถูกตัดขาอยู่ดี
จิ๋นลี่ยวนเดินไป ล้วงปากกาออกมาแล้วก็จดบันทึกค่าต่างๆตรงหน้าเธอ พอผ่านไปสักพักค่อยถามว่า “ตอนนี้รู้สึกยังไงบ้าง รสชาติปากเป็นยังไงบ้าง”
มู่ซูวได้ยินเสียงที่คุ้นชิน ถึงจะค่อยๆหันหน้าไปมองเขา
จิ๋นลี่ยวน คือจิ๋นลี่ยวน
ชุดสีขาวที่เป็นสัญลักษณ์ว่าช่วยเหลือและรักษาชีวิตคนนั้นอยู่บนร่าง ร่างกายที่สูงยาวบวกกับใบหน้าที่หล่อสุขุม มองยังไงก็ทำให้คนรู้สึกกระปรี้กระเปร่า ทั้งๆที่ใจของคนๆนี้นั้นแข็งอย่างกับเหล็ก!
มุมปากยกขึ้นแล้วหัวเราะเยาะ มู่ซูวถึงกับยิ้มเจื่อน
“จิ๋นลี่ยวน จิ๋นลี่ยวน……”เรียกเสียงเบาๆ เสียงของเธอนั้นแหบและมีลมอยู่ด้วย ฟังแล้วรู้สึกได้ถึงเส้นเสียงที่ผิดปกติ คิดว่าน่าจะเป็นเพราะก่อนหน้านี้ที่ดิ้นรนหนักแล้วกรีดร้องเสียงดังเกินไปจนทำให้ได้รับบาดเจ็บ “ฉันไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าคุณจะเป็นคนโหดร้ายแบบนี้!”
น้ำเสียงที่แหบไม่น่าฟัง จนทำให้เถียนหรงอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วนิดๆ
มองดูมู่ซูวที่อยู่บนเตียง เหมือนตอนแรกที่เพิ่งกลับประเทศมาแล้วทำให้ทั้งประเทศนั้นสั่นสะเทือนที่ไหนกัน แล้วเหมือนตอนอยู่บนเวทีที่ผู้ชายต่างพากันหลงใหลที่ไหนกัน
มู่ซูวในตอนนี้นั้น เป็นคนพิการที่พยายามเพื่อมีชีวิตอยู่รอดคนนึง
“จิ๋นลี่ยวน ฉันขอถามคุณด้วยตัวเองว่าตลอดเวลาสองปีที่ผ่านมาฉันไม่เคยทำอะไรที่ต้องขอโทษคุณเลย แต่ทำไมคุณถึงทนดูฉันมาถึงตรงนี้ทีละก้าวได้ล่ะ”น้ำเสียงของมู่ซูวเฉยชามาก แทบจะไม่รู้ว่าอารมณ์ตอนนั้นเลย รู้สึกเหมือนเศร้ามากกว่าอกหักซะอีก “ฉันยอมรับว่าฉันโกหกคุณ แต่คุณทำลายการงานของฉัน ทำลายชื่อเสียงของฉันยังไม่พออีกหรอ ทำไม ทำไม……”
มู่ซูวยิ่งพูดยิ่งร้องไห้อย่างเจ็บปวดมากขึ้น แล้วพูดแค่คำเดียวว่า “ทำไมต้องทำลายขาสองข้างของฉันด้วย……”
จิตวิญญาณของจิ๋นลี่ยวนไม่รู้สึกตัว เถียนหรงที่สูดหายใจก็ต้องกลั้นหายใจแล้วได้ยินเขาพูดว่า “สองสามวันนี้แผลของคุณยังโดนน้ำไม่ได้นะครับ ถ้าต้องการอะไรก็กดกริ่งนะ จะมีพยาบาลเข้ามา แล้วเดี๋ยวแผลของคุณจะมีอาการคัน นั่นเป็นการที่แผลกำลังสมานกันไม่ต้องตกใจนะครับ……”
ทีละตัวทีละประโยค จิ๋นลี่ยวนนั้นเป็นหมอเต็มตัว ไม่ได้พูดอะไรไร้สาระ แล้วก็ไม่ได้ตอบคำถามด้วย
เถียนหรงกลืนน้ำลายด้วยความแค้น ไม่เข้าใจคุณชายของตระกูลใหญ่โตเลยจริงๆ……
จิ๋นลี่ยวนมองดูระเบียนคนไข้ในมือ พูดเกี่ยวกับอาการป่วยของมู่ซูว สายตานั้นไม่มีอารมณ์ผันผวนใดๆ
มู่ซูวที่ได้ยินแบบนี้แล้วก็ยิ่งเสียใจเข้าไปอีก แต่กลับไม่ได้ถามคำถามเพิ่มอีก
ทำไมต้องตัดขาด้วย
เพราะต้องไว้ชีวิต……
เธอรู้อย่างชัดเจนมาก เธอต้องมีชีวิตอยู่เท่านั้นถึงจะมีโอกาส ถึงจะเป็นไปได้……
ออกมาจากห้องผู้ป่วยของมู่ซูวแล้ว จิ๋นลี่ยวนก็เตรียมที่จะไป้องผู้ป่วยห้องต่อไป แต่นึกไม่ถึงว่าจะเจอกับจื่อผู่หยางและมู่หลงพอดี เถียนหรงรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย คุณหนูคนรองของบ้านมู่เข้าโรงพยาบาลด้วยตัวเอง นอกจากคุณหนูคนรองของบ้านเซี่ยงแล้วก็ไม่มีใครมาเยี่ยมเธอเลย ตอนนี้คนที่เป็นพ่อเป็นแม่คู่นึงปรากฏตัวแล้ว ทำให้คนรู้สึกอึ้งจริงๆ……
“ลี่ยวน……” จื่อผู่หยางเรียกเขาเสียงเขา ท่าทางดูไม่เป็นธรรมชาติ ตั้งแต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยเป็นห่วงมู่ซูว ตอนนี้จะมาถามคำถามที่ดูใส่ใจพวกนั้น เธอรู้สึกไม่ค่อยชิน “ซูวซูวเป็นยังไงบ้าง”
‘ซูวซูว’สองคำนี้ถูกพูดออกมา จื่อผู่หยางเองก็ยังรู้สึกแปลกๆ
เหมือนว่าเธอจะไม่เจอเรียกเขาแบบนั้นมาก่อน เคยได้ยินแค่แฟนคลับของเธอเคยเรียกแบบนี้
จริงๆแล้ว ถ้าหนันหยูโรงพยาบาลไม่มีข้อห้ามเกี่ยวกับการเข้าออกของบุคคลภายนอก มู่ซูวก็คงจะไม่ต้องทรหดขนาดนั้น แฟนคลับนั้นเธอก็ยังมีอยู่ แต่ก็คิดว่าต่อไปคงจะไม่มีแล้ว ยังเหลือเซี่ยงหลินอยู่คนนึงก็ถือว่าดีมากแล้ว
จิ๋นลี่ยวนมองดูจื่อผู่หยาง สายตานั้นมองไปที่มู่หลงที่อยู่อีกฝั่ง แล้วพูดขึ้นว่า “แผลของคุณหนูมู่นั้นได้ถูกควบคุมแล้ว แผลหลังการตัดขาก็สมานขึ้นมากแล้ว พวกคุณไม่ต้องห่วงนะครับ”
จื่อผู่หยางรู้สึกว่ามีอะไรมาติดอยู่ที่ลำคอสักพัก แล้วค่อยถามว่า “งั้นต่อไปเธอ……”
จิ๋นลี่ยวนตอบอย่างเชี่ยวชาญว่า “ทั้งชีวิตนี้ถ้าคุณหนูมู่อยากจะยืนขึ้นได้ใหม่อีกครั้ง ก็คงทำได้แค่พึ่งขาเทียม แล้วก็ต้องใช้เวลายาวนานที่จะฟื้นฟูอีกด้วย แล้วถ้าขาเทียมนั้นไม่เหมาะก็คงต้องนั่งอยู่วิวแชร์ อยากที่จะขึ้นเต้นบนเวทีนั้นคงเป็นไปไม่ได้ครับ”
ตั้งแต่ต้นจนจบ เขาก็เป็นแค่หมอคนนึง
เถียนหรงยืนอยู่ข้างหลังก็อดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลาย ครั้งแรกเขารู้สึกว่าจิ๋นลี่ยวนนั้นเป็นคนที่ไร้มนุษยธรรม….. บริษัทจื่อยิน
ในที่สุดยินเสี้ยวเสี้ยวก็เริ่มกลับมาทำงานอีกครั้ง หน้าที่งานเดิมนั้นง่ายมาก เห็นอะไรก็ทำอันนั้น ในบริษัทนึงนั้นมีงานมากมายที่จะต้องจัดการ แล้วยินเสี้ยวเสี้ยวก็เหมือนแรงงานต่างด้าวคนนึง ที่ทำทุกอย่าง ก่อนที่จะได้รับอนุญาตจากบริษัท เธอไม่สามารถที่จะเข้าไปอยู่ในการออกแบบโฆษณาได้
ตอนที่เฉิงกังปรากฏตัวขึ้นที่ฝ่ายออกแบบของบริษัทจื่อยิน คนส่วนใหญ่ก็อดไม่ได้ที่จะแปลกใจเล็กน้อย
บริษัทจื่อยินไม่ใช่บริษัทออกแบบ ยิ่งไปกว่านั้นคือขอบเขตงานบริษัทจื่อยินไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับการออกแบบโฆษณาเลยสักนิด แต่หลังจากที่ยินจื่อเจิ้นขึ้นตำแหน่งก็ก่อตั้งฝ่ายออกแบบโฆษณาขึ้น ให้ฝ่ายออกแบบโฆษณาออกแบบโฆษณาของบริษัทตัวเอง แล้วก็ออกแบบโฆษณาของคนอื่นด้วย เป็นการมีขึ้นที่กะทันหันมาก แต่ก็ไม่มีใครกล้าพูดอะไร
พวกนักถือหุ้นแค่อยากหาเงิน และโยนให้ยินจื่อเจิ้น ส่วนยินไป่ฝันก็ไม่ได้มาบริษัทจื่อยินนานมาก
ฝ่ายออกแบบโฆษณาก็คือฝ่ายที่ยินจื่อเจิ้นชอบที่สุด
“ยินเสี้ยวเสี้ยว คุณชายยินให้คุณไปหาหน่อย” เฉิงกังพูดสั่งเบาๆ ท่าทางแบบนั้นดูเหมือนว่าจะมองยินเสี้ยวเสี้ยวเหมือนเด็กฝึกงานจริงๆ ไม่ได้ทำให้คนอื่นคิดเป็นอย่างอื่น
ยินเสี้ยวเสี้ยวไม่เคยมาที่บริษัทจื่อยินเลย คนที่นี่รู้จักเธอน้อยมากๆ
วางแก้วน้ำในมือลง ยินเสี้ยวเสี้ยวตามหลังเฉิงกังแล้วก็รีบออกไป ท่าทางแบบนั้นประจบสอพลอทำให้คนรำคาญ เพื่อนร่วมงานต่างพากันนินทาลับหลังไม่น้อย
“ยินเสี้ยวเสี้ยวนั้นมีเสน่ห์จริงๆ เพิ่งมาฝึกงานแค่ไม่กี่วัน ก็กล้าจะลาหยุดยาวขนาดนั้นแล้ว ทำตามอำเภอใจจริงๆ”นักออกแบบคนนึงพูด สายตามีเงื่อนงำอยู่
“ใช่ คุณชายยินเอ็นดูขนาดนั้น ถ้าไม่รู้ล่ะก็ ยังคิดว่าเป็นภรรยาของเขาด้วยซ้ำ”
“ยินเสี้ยวเสี้ยวคงไม่ใช่คนใหญ่คนโตที่ว่าหรอกนะ”มีคนเดา บางทีก็รู้สึกว่าคุ้นหน้ายินเสี้ยวเสี้ยว แต่นึกยังไงก็นึกไม่ออก
นักออกแบบหลายคนที่อยู่รอบๆอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา
ยินเสี้ยวเสี้ยวเป็นคนที่มีเสน่ห์มากจริงๆ เสียดายที่เรียบร้อยใจดีไปหน่อย จะมีเล่ห์เหลี่ยมได้ยังไง แค่พูดประโยคเดียวก็รู้แล้ว แต่ตอนนี้ก็รู้แล้วว่าเธอจบปริญญาโทมาไม่ใช่รึไง
……
ในห้องทำงานของยินจื่อเจิ้น ยินเสี้ยวเสี้ยวยืนอยู่ที่หน้าโต๊ะทำงานอย่างเชื่อฟัง
คิ้วค่อยๆยกขึ้น มุมปากของยินจื่อเจิ้นมีรอยยิ้มเล็กน้อย
น้องสาวของเขาน่ารักจริงๆ
มองไปที่เอกสารที่อยู่ตรงหน้าแล้ว ยินจื่อเจิ้นเอ่ยปากพูดเบาๆ “ตั้งแต่วันนี้ไปแกต้องอยู่ข้างฉัน ตั้งใจฝึกด้วยล่ะ”ดวงตาโตขึ้นทันที นี่คือจังหวะของการจะเป็นเลขาหรอ
“ฉันมาแย่งงานของเฉิงกังแบบนี้คงไม่ดีหรอกมั้ง”พอเอ่ยปากแก้ว ใบหน้าของเฉิงกังที่อยู่อีกฝั่งก็สะดุ้งเล็กน้อย
เขาอยู่ข้างยินจื่อเจิ้นมาตั้งแต่เขาเดินทางไปต่างประเทศแล้ว คงไม่ง่ายที่จะเตะเขาออกไปง่ายๆแบบนี้หรอก…..
คุณหนูตระกูลยิน น่ารักจริงๆด้วย…….
เงยหน้าขึ้นช้าๆ ยินจื่อเจิ้นสบตากับยินเสี้ยวเสี้ยว พูดอย่างไม่เกรงใจว่า “ยินเสี้ยวเสี้ยว ถ่อมตนหน่อยล่ะ แกคิดว่าแกมีปัญญาที่จะแทนที่เฉิงกังได้รึไง เล่นเป็นเด็กไปได้”
เฉิงกังอดไม่ได้ที่จะเม้มปาก สีหน้าของยินเสี้ยวเสี้ยวเริ่มแดงแล้วก็จ้องมองยินจื่อเจิ้นด้วยความไม่พอใจ
“พี่ ทำไมต้องแกล้งน้องแบบนี้ด้วยล่ะ”ดูออกได้ว่าเธอไม่พอใจ
มุมปากยกขึ้น ยินจื่อเจิ้นไม่พูดไม่จา แค่ก้มหน้ายุ่งกับงานของตัวเองต่อ
ยินเสี้ยวเสี้ยวนั้นก็เชื่อฟังไม่ดื้อไม่ซน แล้วก็เริ่มเรียนรู้งานเบื้องต้นกับเฉิงกัง เช่นกำหนดการเดินทางของยินจื่อเจิ้น คนที่อยู่ในแวดวงของยินจื่อเจิ้น ความชอบของยินจื่อเจิ้น……
ของหลายอย่างนั้นเป็นของส่วนตัวของยินจื่อเจิ้น
มองดูน่าทางที่ตั้งใจจดจำของยินเสี้ยวเสี้ยวแล้ว เฉิงกังก็อดไม่ได้ที่จะมองไปทางต้องทำงาน
เป้าหมายที่คุณชายยินทำแบบนี้คืออะไรกัน
เวลาสี่โมงเย็น ยินเสี้ยวเสี้ยวยังคงดีใจที่อีกเดี๋ยวจะได้เลิกงานแล้ว แต่จู่ๆก็รู้ว่ายินจื่อเจิ้นมีกำหนดการเดินทางเพิ่มขึ้นมาอีก บอกว่าได้นัดทานข้าวกันกับคู่ค้าที่เพิ่งคุยกันเมื่อกี้ แน่นอนว่าเธอกับเฉิงกังที่เป็นผู้ติดตามนั้นก็ต้องไปด้วยอยู่แล้ว
ปากค่อยๆบึ้ง ยินเสี้ยวเสี้ยวไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากส่งข้อความสั้นๆให้จิ๋นลี่ยวน บอกเขาว่าวันนี้ไม่ต้องมารับเธอแล้ว สำหรับงานแล้วเธอก็ตั้งใจอยู่เหมือนกัน……
ตอนที่จิ๋นลี่ยวนได้รับข้อความนั้นกำลังตรวจคนไข้คนสุดท้ายอยู่ แล้วอีกแป้ปเดียวก็ออกมาได้แล้ว
คิ้วขมวดนิดหน่อย สายตาค่อยๆหันไป จิ๋นลี่ยวนไม่ได้ตอบข้อความ
……
เวลาห้าโมง ยินจื่อเจิ้นพาเฉิงกังและยินเสี้ยวเสี้ยวมาจาก‘บริษัทจื่อยิน’แล้วไปที่ ‘ร้านอาหารเทาถี้’อย่างตรงเวลา เรียกได้ว่าเป็นเวลาหลังเลิกงานมี่รถติด ชั่วโมงนึงน่าจะไปถึงได้ แต่แค่ดูถูกรถติดยาวเป็นมังกรยาวของเมืองT รอจนตอนที่พวกเขามาถึง ‘ร้านอาหารเทาถี้’ ก็หกโมงยี่สิบเจ็ดแล้ว
สายไปเกือบครึ่งชั่วโมง
ยินจื่อเจิ้นยิ้มแล้วขอโทษ เพิ่งจะเลือกที่นั่งได้ ผู้จัดการหวงก็เดินเข้ามา คนทั้งห้องต่างพากันมองไปที่เขาด้วยความแปลกใจ
ค่อยๆคำนับ ผู้จัดการหวงพูดเบาๆว่า “ขอโทษที่มารบกวนการทานอาหารของทุกท่านนะครับ ผมจะมาบอกพวกคุณว่ามื้อนี้นั้นเช็คบิลที่ซานซ่าว ซานซ่าวบอกว่าอยากจะขอบคุณพวกคุณที่ดูแลคุณหญิงซานซ่าว”
แค่ประโยคเดียว ทำเอาคนทั้งโต๊ะอาหารพากันเหวอไปหมด
คุณหญิงซานซ่าว อยู่ไหนกัน