Flash Marriage แต่งงานกับคน(ไม่)ธรรมดา - บทที่173 มีวาสนาคงกลับมาพบกัน
บทที่173 มีวาสนาคงกลับมาพบกัน
เซี่ยงหลินถูกย้ายไปที่โรงพยาบาลหนันหยูอย่างรวดเร็ว จิ๋นลี่ยวนแทบจะเป็นหมอเพียงคนเดียวที่ตระกูลเซี่ยงไว้ใจ หากไม่ได้รับการยืนยันของจิ๋นลี่ยวนที่เป็นแพทย์จิตเวชและสมอง เป็นได้เซ๊่ยงหลินในตอนนี้ก็คงยังไม่ได้การรักษาที่มีประสิทธิภาพ
คนของตระกูลเซี่ยงถูกทำให้หวาดกลัว ตอนนี้ไม่ว่าจะจิตแพทย์และแพทย์ทางสมองจะตรวจอะไรก็ล้วนโทรถามจิ๋นลี่ยวน แม้แต่เว่ยโถ้หยีตื่นขึ้นมาแล้วเธอก็ยังขออยู่ใกล้ ๆ ลูกสาวของเธอซ้ำ ๆ หมอทำอะไรไม่ถูกแต่ก็แสดงความเห็นใจไม่มีใครสบายใจกับเรื่องแบบนี้
จิ๋นลี่ยวนยุ่งวุ่นวายตลอดทั้งคืน ในที่สุดเมื่อเลิกงานก็กลับพบกับเฉิงชื่อชิงที่ประตูโรงพยาบาลโดยบังเอิญ
เฉิงชื่อชิงยืนอยู่ที่ประตูโรงพยาบาล ยิ้มด้วยรอยยิ้มที่ราวสายลมในฤดูใบไม้ผลิ
ดวงตาคมหรี่ลงเล็กน้อย จิ๋นลี่ยวนเดินเข้าไป ทั้งสองคนเลือกร้านกาแฟร้านหนึ่งใกล้กับโรงพยาบาลโดยไม่ต้องอธิบายอะไรมาก
จิ๋นลี่ยวนขยับดวงตาเล็กน้อย ชำเลืองมองสำรวจเฉิงชื่อชิงอย่างรวดเร็ว เขาไล่ตามคนร้ายทั้งสองเพียงลำพัง ไม่รู้ว่าได้รับบาดเจ็บรึเปล่า เขาไม่อยากกลับไปถูกพี่สาวตัวเองจัดการหรอก
“จิ๋นลี่ยวน กลางดึกนั้นนายไปที่นั่นได้ยังไง?”เฉิงชื่อชิงถามด้วยรอยยิ้มเล็ก ๆ ราวกับกำลังพูดคุยกับเพื่อนเก่า
จิ๋นลี่ยวนขมวดคิ้ว มองเขาอย่างนิ่งเงียบ
นี่มาสอบปากคำเขางั้นเหรอ?
เฉิงชื่อชิงเองก็ไม่ได้รีบ ยิ้มบาง ๆ ให้เขาอยู่อย่างนั้น แต่ความแน่วแน่ในแววตานั้นชัดเจนมาก
“เพื่อนของเสี้ยวเสี้ยวอยู่ที่โรงพยาบาล พวกเราไปรับคน”จิ๋นลี่ยวนตอบด้วยน้ำเสียงเนิบนาบ เขาไม่คิดจะถ่วงเวลา ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้เขาเองก็อยากกลับบ้านเร็ว ๆ “ถ้าอยากได้ข่าวอะไรก็ไปอ่านคำให้การของผมที่สถานีตำรวจได้เลย ผมไม่มีอะไรจะพูดแล้ว”
พูดจบ จิ๋นลี่ยวนก็ลุกขึ้นแล้วเตรียมจะจากไป
“จิ๋นลี่ยวน นายรู้รึเปล่า ตอนที่เซี่ยงหลินอยู่ในห้องผ่าตัดเตรียมจะทำการผ่าตัด….”คำพูดหนึ่ง หยุดชะงักฝีเท้าของจิ๋นลี่ยวนที่ต้องการจะไปได้สำเร็จ แล้วหันหน้ามามองเขาอย่างสงสัย “เหยื่ออีกสามคนนั้นถูกนำอวัยวะออกไปโดยตรง แต่กลับไม่พบร่องรอยของเตียงที่สองที่อยู่ข้าง ๆ เลย”
“การผ่าตัดปลูกถ่ายอวัยวะ?”ถามเสียงเบา จิ๋นลี่ยวนเดาได้แต่แบบนี้เท่านั้น
เฉิงชื่อชิงผายมือยักไหล่ สื่อว่าเขาไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญด้านนี้ แม้ว่าเขาจะอยากเรียนแพทย์ แต่ก็ไม่ได้คลุกคลีมาหลายปีแล้ว แค่มองเครื่องมือกับสถานที่เขาจะรู้ได้ยังไงว่าเป็นการผ่าตัดแบบไหน? ยิ่งไปกว่านั้นเครื่องมือในห้องผ่าตัดตอนนั้นยังครบครันมากจริง ๆ สว่านเจาะกะโหลกก็ยังมีเลย…..
แต่เซี่ยงหลินดันไม่ได้ผ่าตัดสมอง
จิ๋นลี่ยวนกลับไปที่ที่ของตัวเองใหม่อีกครั้ง เขาขมวดคิ้วมองไปยังเฉิงชื่อชิงแล้วถาม “รู้ไหมว่าเป็นใครกัน?”
เฉิงชื่อชิงก้มหัวลงดื่มกาแฟเงียบ ๆ โดยไม่ได้ตอบกลับ แต่การกระทำแบบนี้กลับเป็นการให้คำตอบกับจิ๋นลี่ยวนไปแล้ว นี่คือจุดประสงค์ที่เฉิงชื่อชิงลอบเข้าไปในมหาวิทยาลัยT เขาต้องการจับกุมคนชักใย แม้แต่คน ๆ นั้นหรือคนที่เกี่ยวข้องด้วยก็อยู่ในมหาวิทยาลัยT!
เมื่อนึกขึ้นว่ายินเสี้ยวเสี้ยวยังเรียนปริญญาโทอยู่ที่มหาวิทยาลัยTแล้ว จิ๋นลี่ยวนก็คิ้วขมวดเป็นปม
คงไม่เกิดเรื่องอะไรกับเสี้ยวเสี้ยวใช่มั้ย?
เมื่อคืนคนร้ายสองคนนั้นได้เห็นเธอรึเปล่า?
สมองของจิ๋นลี่ยวนเต็มไปด้วยคำถามมากมายในทันที เขาเริ่มหงุดหงิดเล็กน้อย
“ถ้าเป็นคน ๆ นั้นที่ฉันจะตามหา นายวางใจได้ ถ้าไม่ไปยั่วโมโหเขา เขาก็ไม่ทำอะไรหรอก”เฉิงชื่อชิงพูดสบาย ๆ อธิบายให้จิ๋นลี่ยวนเข้าใจ
‘พญายม’ฆ่าคนในยามสาม ไม่มีใครอยู่รอดได้ถึงยามห้าสักคน
ผู้ชายคนนั้น เป็นคนแบบนั้นแหละ
ชั่วเวลานั้น จิตใจของจิ๋นลี่ยวนผ่อนคลายลงเล็กน้อย หลังจากเอ่ยขอบคุณแล้วก็หมุนตัวจากไปอย่างรวดเร็ว
เขาจำได้ว่า คุณย่าของถาวหยีเสียไปเมื่อคืน และจำได้ว่า ถาวหยีท้องอยู่ด้วย
เมืองไห่เมียว
ช่วงนี้หยูเจียห้วยยุ่งมากจนมาไม่ได้ ยินเสี้ยวเสี้ยวเองก็ผ่อนคลายลงแล้ว หลังจากเกลี้ยกล่อมให้ถาวหยีไปนอนพักที่ห้องแล้วก็มานั่งดูโทรทัศน์ที่ห้องนั่งเล่น เงยหน้ามองเวลาบ้างมองโทรทัศน์ของตัวเองบ้างเป็นครั้งคราว
บนโทรทัศน์ราวกับถูกกลบไปด้วยข่าวเมื่อเช้าและเมื่อคืนวานนี้ มีข่าวการค้าอวัยวะและข่าวของเซี่ยงหลินอยู่ทุกหนแห่ง นี้เป็นเรื่องที่ผู้คนไม่ได้สนใจกันมากนักจนกระทั่งมันถูกจุดประเด็นขึ้นมา
ตอนที่จิ๋นลี่ยวนกลับมาถึง ยินเสี้ยวเสี้ยวก็หลับไปบนโซฟาด้วยความเหนื่อยล้าแล้ว แต่เมื่อเขาเข้ามาเธอก็ตื่นขึ้นมาอย่างรวดเร็ว เธอทิ้งหมอนแล้ววิ่งเข้าไปหา แม้แต่รองเท้าก็ใส่ไม่ทัน
“จิ๋นลี่ยวน…..”เสียงแผ่วเบาดังขึ้น แต่ก็ไม่มีอะไรที่อยากจะพูดเธอแค่อยากจะเรียกเขา
จิ๋นลี่ยวนขมวดคิ้วมองเท้าเล็กของเธอที่เหยียบอยู่บนพรมโดยที่ไม่ใส่รองเท้า เขาวางกุญแจลงก่อนอุ้มเธอขึ้นมาแล้วเดินไปยังห้องนอน เขาเดินไปพลางพูด “มันเย็นนะ อย่าทำตัวตามอำเภอใจสิ”
มุมปากของยินเสี้ยวเสี้ยวยกขึ้นเล็กน้อย เธอรู้ว่าถาวหยีคงตื่นมาไม่ไหวไปอีกสักพักจึงไม่ได้กังวล มือเล็กโอบคอของเขา รู้สึกว่าหัวใจที่โหวงเหวงมาตั้งแต่เมื่อคืนถึงได้ค่อยเบาลงหน่อย
ดวงตาคมฉายความอาลัยรัก จิ๋นลี่ยวนวางเธอลงบนเตียงอย่างนุ่มนวล จูบหน้าผากเธออย่างแผ่วเบาก่อนหมุนตัวเข้าห้องน้ำไป
มีบางเรื่องเร่งด่วนมาก แต่ถึงจะด่วนแค่ไหนก็จำเป็นต้องพักผ่อนบ้าง ถึงยังไงคนเราก็ไม่ใช่แท่งเหล็ก
เมื่ออาบน้ำเสร็จออกมา ยินเสี้ยวเสี้ยวยังคงลืมตามองมาทางเขา จิ๋นลี่ยวนทิ้งตัวลงบนเตียงมองเธอแล้วพูด “นอนกับฉันสักพัก ตื่นแล้วค่อยไปทำเรื่องอื่นกันนะ”
ยินเสี้ยวเสี้ยวพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง ในใจของเธอหดหู่เล็กน้อย แต่ผ่านไปคืนหนึ่งตอนนี้เธอก็ดีขึ้นมากแล้ว
คนทั้งสองที่อ่อนล้าหลับไปอย่างรวดเร็ว หลับไปจนถึงเวลาสี่โมงเย็น เซี่ยงเฉิงก็โทรศัพท์มา
ยินเสี้ยวเสี้ยวตื่นไปดูถาวหยี หล่อนยังหลับอยู่ ดูเหมือนว่าสีหน้าจะดีขึ้นมากแล้ว เธอจึงหันเดินต่อไปยังห้องครัวเตรียมทำมื้อเย็น ก่อนจะจัดการเรื่องของคุณย่า พวกเธอเองก็ต้องรักษาสุขภาพของตัวเองด้วย อย่างน้อยเธอก็รู้ดีว่าด้วยนิสัยของคุณย่าท่านต้องไม่ชอบใจที่เห็นถาวหยีไม่ใส่ใจร่างกายตัวเองแน่ โดยเฉพาะในตอนนี้ที่ตั้งครรภ์อยู่ด้วย
จิ๋นลี่ยวนรับโทรศัพท์อยู่ที่ห้องนอน หลังจากเกลี้ยกล่อมคนตระกูลเซี่ยงอย่างยากลำบากแล้วจึงออกมา
ถาวหยีนั้นตื่นขึ้นมาด้วยความหิวพอดี ทั้งสองพบกันที่ทางเดิน พยักหน้าให้กันเล็กน้อยก่อนเดินออกไป
“ตื่นแล้วเหรอ ทำความสะอาดสักหน่อยก็กินข้าวได้แล้วล่ะ”ยินเสี้ยวเสี้ยวพยายามให้ตัวเองดูร่าเริง เพื่อไม่ให้ถาวหยีรู้สึกแย่ไปมากกว่านี้ “ฉันทำบรอกโคลีที่เธอชอบที่สุดด้วยนะ”
ถาวหยีฝืนยกมุมปากตัวเองขึ้น แล้วกลับไปทำความสะอาดในห้องรับแขก เมื่อเดินออกมาอีกครั้งจิ๋นลี่ยวนก็นั่งอยู่ที่โต๊ะอาหารแล้ว แม้แต่ยินเสี้ยวเสี้ยวก็เปลี่ยนเสื้อผ้ารอเธออยู่
เดินเข้าไป ถาวหยีมองอาหารที่ตัวเองชอบตั้งเต็มโต้ะ เบ้าตาก็เห่อร้อนขึ้นมาเล็กน้อย
ญาติพี่น้องของเธอไม่ได้มีอยู่แค่เด็กน้อยในท้องเท่านั้น ยังมียินเสี้ยวเสี้ยว มีจิ๋นลี่ยวน พวกเขาไม่พูดไม่ถามอะไรเพียงแค่ปล่อยให้เธอทำตามอารมณ์ แต่กลับดูแลเธออย่างดี
ขณะก้มหน้าก้มตากินอาหาร น้ำตาของถาวหยีก็ไหลตกลงบนข้าว จิ๋นลี่ยวนขมวดคิ้วเล็กน้อยโดยไม่ได้พูดอะไร
หลังมื้ออาหาร ยินเสี้ยวเสี้ยวก็ทำความสะอาดนิดหน่อยก่อนตามถาวหยีขึ้นรถเรนจ์โรเวอร์ของจิ๋นลี่ยวนไป ตอนนี้พวกเขาจะไปรับคุณย่ากลับบ้านจริง ๆ แล้ว…..
ถนนจากเมืองTไปยังชนบทนั้นค่อนข้างขรุขระ ยินเสี้ยวเสี้ยวกลัวว่าจะกระเทือนถาวหยีจึงเอาหมอนมารองให้เธอจำนวนมาก ทำให้ถาวหยีรู้สึกอบอุ่นใจ แล้วจับมือเธออย่างเงียบ ๆ ตลอดทางจนถึงจุดหมาย
เมื่อคืนนี้โรงพยาบาลหวู่เฉิงเกิดเรื่องใหญ่เกินไป ใหญ่กระทั่งกลบข่าวการก่อกวนของรถสีดำที่ทำให้หลายชีวิตต้องตกหน้าผา ในเวลานี้นอกจากญาติแล้วผู้คนก็ล้วนให้ความสนใจกับข่าวของโรงพยาบาลหวู่เฉิง
ตอนที่ยินเสี้ยวเสี้ยวและถาวหยีลงจากรถถึงกับไม่เห็นร่องรอยของผู้สื่อข่าวรอบ ๆ เลย เจ้าหน้าที่ตำรวจก็มีเพียงไม่กี่คน เหมือนกับจะทำเคสนี้แบบขอไปที ใครให้รถสีดำมากมายขนาดนั้นออกอาละวาดกัน แล้วใครให้คนพวกนั้นคิดอยากมาฉวยโอกาสกันล่ะ….
บางคนโชคดีบางทีเคยนั่งรถสีดำมาสิบครั้งแล้วก็ไม่มีอุบัติเหตุ แต่ก็มีบางคนที่โชคไม่ดี นั่งแค่ครั้งเดียวก็เกิดเรื่อง คุณย่าของถาวหยีก็คงจะเป็นประเภทนี้
ถาวหยียืนอยู่ริมผา เธอมองความขึ้นลงไม่เสมอกันของหน้าผา ความลึกของมันก็ไม่ขนาดนั้น เพราะเธอยังมองเห็นซากของรถสีดำและรอยเลือดที่กระจายอยู่รอบ ๆ ที่ก้นเหวนั้นได้
น้ำตาไหลอาบแก้มของเธอโดยไม่รู้ตัว ยินเสี้ยวเสี้ยวกัดริมฝีปากของตัวเองแน่น แล้วยื่นมือไปพยุง
คุณย่าเลี้ยงเธอมาจนโตขนาดนี้ แต่เธอกลับโกรธที่คุณย่านั่งรถสีดำแล้วยังตกหน้าผา….
จิ๋นลี่ยวนกำลังสอบถามข้อมูลจากเจ้าหน้าที่อยู่อีกด้าน ความจริงแล้วร่างของคุณย่าไม่ได้รับความเสียหายมากนัก ไม่เหมือนกับบางคนที่ร่างกายเสียหายมากจนไม่สามารถจดจำได้ แม้ตอนแรกจิ๋นลี่ยวนไม่ได้คิดจะพาพวกเธอมาที่นี่แต่ก็สั่งให้คนนำร่างคุณย่าไปยังสถานที่จัดงานศพก่อนแล้ว ตอนนี้เพียงแค่ถาวหยีที่อยากจะมาเห็นสักครั้งเท่านั้น…..
“ย่าคะ….”เสียงแผ่วเอ่ยขึ้น ถาวหยีคุกเข่าลงบนขอบหน้าผา ใบหน้าเต็มไปด้วยน้ำตา “คุณย่า หนูผิดเอง…..”
ยินเสี้ยวเสี้ยวไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่ลูบหลังถาวหยีเงียบ ๆ
“คุณย่าคะ อย่าโกรธหนูเลยนะ จากนี้ไปหนูไม่กล้าอีกแล้ว หนูสาบานว่าจะดูแลตัวเองให้ดี…..”ถาวหยีพูดไปร้องไป ในหัวราวกับฉายภาพที่คุณย่าเล่าชีวิตของเธอให้ฟังบ่อย ๆ “คุณย่า ไปดีนะคะ….”
พูดจบ ถาวหยีและยินเสี้ยวเสี้ยวพนมมือไหว้สามครั้ง จากนั้นจึงลุกขึ้นแล้วไปงานศพกับจิ๋นลี่ยวน
ได้ยินมาว่า คนที่ตายแล้วจะอยู่ในที่ที่ตัวเองเสียชีวิตสักพัก พวกเธอกลัวว่าคุณย่าจะตัวคนเดียวแล้วอยากจะเจอพวกเธอ ดังนั้นถาวหยีและยินเสี้ยวเสี้ยวถึงได้มาที่นี่แม้จะต้องอ้อมก็ตาม
คนตายตั้งมากมาย จะมามัวทะนุถนอมย่าของพวกเธอตลอดได้ยังไง
……
ภายในงานศพ ยังไม่ทันเข้าไปยินเสี้ยวเสี้ยวและถาวหยีก็ได้ยินเสียงร้องไห้ พวกเขาส่วนใหญ่เป็นสมาชิกในครอบครัวของเหยื่ออุบัติเหตุครั้งนี้ คน ๆ หนึ่งอยู่ ๆ ก็หายไป ใครก็รับไม่ไหวหรอก
แน่นอนว่าคำสั่งของจิ๋นลี่ยวนนั้นต้องดีที่สุด เหยื่อรายอื่นล้วนนอนอยู่ที่ห้องโถง มีเพียงคุณย่าเท่านั้นที่ถูกวางไว้ในห้องเล็ก ๆ ห้องหนึ่ง ภายในห้องนั้นเย็นมากแต่กับไม่ทำให้รู้สึกว่าน่ากลัว
ยินเสี้ยวเสี้ยวตามถาวหยีเข้าไปข้างใน จิ๋นลี่ยวนยืนรออยู่ข้างนอกอย่างเงียบ ๆ
พวกเขาไม่มีใครสนใจเลยว่า ตั้งแต่ที่พวกเขาออกจากเมืองไห่เมียวมานั้นได้มีคนตามหลังพวกเขามาโดยตลอด
ผู้มาเยือนยืนอยู่อีกด้านหนึ่งจุดบุหรี่แต่กลับไม่ได้สูบ เพียงแค่ปล่อยให้มันไหม้ไปอย่างนั้น ไม่นานชายอีกคนก็เดินเข้ามา ปรายตามองจิ๋นลี่ยวนที่ปากทางก่อนพูดขึ้น “พญายม เราควรไปได้แล้ว”
ชายคนนั้นเงยหน้าขึ้นและชำเลืองมองเขา ทิ้งบุหรี่ในมือแล้วกระทืบมัน ก่อนหันไปโดยไม่ลังเล
ผู้หญิงที่อยู่ในความทรงจำไม่ใช่เธอหรอกเหรอ เห็นแก่หน้านั้นเขาจะปล่อยเธอไปสักครั้งก็แล้วกัน…..
ยินเสี้ยวเสี้ยวเหรอ?
หวังว่าคงมีวาสนากลับมาพบกันใหม่