Flash Marriage แต่งงานกับคน(ไม่)ธรรมดา - บทที่177 หลินยีเย่า
บทที่177 หลินยีเย่า
“พวกคุณหนีไม่รอดหรอก!”หลังจากที่พูดคำนี้ออกไป ยินเสี้ยวเสี้ยวก็รู้สึกอยากจะกัดลิ้นของตัวเองทิ้ง การที่เธอพูดแบบนี้ก็เท่ากับว่าเป็นการเร่งให้เขารีบฆ่าตัวเองไม่ใช่หรอ?
เสียงวอรถตำรวจที่กำลังดังอยู่ข้างหลัง ทว่า ในนี้กลับสงบราวกับอยู่อีกโลกหนึ่ง
ชายคนนั้นหันศีรษะและเหลือบมองเธอเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา
ราวกับรู้สึกว่ายินเสี้ยวเสี้ยวไม่มีภัยคุกคามใดๆ แม้แต่การเคลื่อนไหวของเธอเขาก็ไม่ได้จำกัด และแน่นอนว่าปืนพกนั้น ยินเสี้ยวเสี้ยวไม่สามารถแตะต้องได้
เธอเม้มริมฝีปากแน่น สองตามองดูรถตำรวจด้านหลังที่ยิ่งอยู่ยิ่งห่างไกลจากพวกเธอ ยินเสี้ยวเสี้ยวจึงไม่พูดอะไรออกมาสักคำ
เวลาผ่านไปเนิ่นนาน หลังจากที่รถขับผ่านถนนที่แห้งแล้ง ในที่สุดรถก็มาจอดอยู่ตรงหน้าตึกที่ทรุดโทรม ตอนที่ยินเสี้ยวเสี้ยวลงจากรถ ก็เห็นพี่เสือและเจ้าชวดที่อยู่ด้านหลังกำลังพาตัวหลินยีเย่ามา
เด็กน้อยที่อายุน่าจะราวๆห้าขวบ ทว่าเข้มแข็งมาก จนถึงตอนนี้ก็ไม่มีน้ำตาไหลออกมาสักหยด
เดินเข้าไป ยินเสี้ยวเสี้ยวโอบกอดหลินยีเย่าไว้โดยไม่รู้ตัว ไม่สนใจความประหลาดใจในดวงตาของหลินยีเย่าเลยแม้แต่น้อย เบนสายตาไปมองชายห้าคนด้วยความตื่นตัว แค่รู้สึกว่าหายใจยังลำบากเล็กน้อยเลย
เธอถูกขังไว้ในห้องเล็กๆห้องหนึ่ง ยินเสี้ยวเสี้ยวยังสามารถได้ยินบทสนทนาของผู้ชายที่อยู่ด้านนอกได้ ในตอนนี้เธอถึงได้รู้ว่าผู้ชายที่สวมหน้ากากนั้นชื่อ“พญายม”คนที่ไล่ฆ่าพวกเธอคราวที่แล้วชื่อ “ตานิจจัง”ส่วนอีกคนหนึ่งชื่อ “ไอ้สิง”
“พญายม พวกเราควรหลีกเลี่ยงปัญหาในอนาคตใช่ไหม?”พี่เสือเอ่ยปากถาม เขานั้นยังไม่เคยเห็นตัวของยินเสี้ยวเสี้ยวตั้งแต่แรก
เพี๊ยะ!
เสียงดังคมชัด ไอ้สิงตบไปยังหัวของพี่เสือทีหนึ่ง แล้วไม่ได้พูดอะไรออกมา
พญายมพูดเสียงเบาให้พวกเขาออกไป ส่วนตัวเขานั้นเดินเข้ามาข้างใน ทันใดนั้น ทั้งตึกก็เหลือเพียงบุคคลสามคน และก่อนออกไป ในตอนที่พี่เสือและเจ้าชวดเห็นยินเสี้ยวเสี้ยวก็อ้าปากค้าง!
หลินยีเย่าฝังศีรษะของเขาไว้ในอ้อมกอดของยินเสี้ยวเสี้ยวแน่น ดวงตาที่ดื้อรั้นก็มองไปยังพญายมที่สวมหน้ากากไว้
“คุณคิดที่จะทำอะไร?”เธอถามขึ้นเสียงแข็ง นัยน์ตาของยินเสี้ยวเสี้ยวเต็มไปด้วยความไม่พอใจและการตื่นตัวเพื่อป้องกันตัว
พญายมนั่งลงข้างหน้าเธอ มองไปยังยินเสี้ยวเสี้ยวตรงๆ ยิ้มแล้วเอ่ยปากถามขึ้น “เธอชื่ออะไร?”
เธอมองไปยังเขาโดยตรง ผ่านไปสักพักยินเสี้ยวเสี้ยวถึงจะพูดตอบ “เสี้ยวเสี้ยว ยินเสี้ยวเสี้ยว”
ทันใดนั้น ยินเสี้ยวเสี้ยวดูเหมือนจะรู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยในอารมณ์ของผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าเธอ ไม่รู้ว่าเปลี่ยนไปในทางที่ดีหรือทางที่ร้าย ทำได้เพียงมองดูเขาและระมัดระวังตัว
เวลาผ่านไปสักพัก เขาไม่ได้พูดอะไรออกมา ในตอนที่ยินเสี้ยวเสี้ยวกำลังคิดว่าเวลาจะล่วงเลยไปแบบนี้เช่นเคย พญายมก็ลุกขึ้นยืนแล้วมองเธอ จากนั้นก็พูดขึ้นว่า “หาทางกลับเองเถอะ สำหรับเรายังคงได้พบกันอีก”
พูดเสร็จ พญายมก็หันหลังแล้วเดินจากไป เหลือไว้เพียงยินเสี้ยวเสี้ยวและหลินยีเย่าที่ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก
เพียงแค่เขาปล่อยพวกเธอไป เรื่องอื่นก็ไม่สำคัญแล้ว…….
สำหรับคำพูดของพญายมแล้ว ยินเสี้ยวเสี้ยวรับฟังแค่คำพูดที่ทำให้ตัวเองปลอดภัย นอกจากนั้นเธอก็ไม่ได้ใส่ใจอีกเลย…….
……
เมื่อจิ๋นลี่ยวนทราบข่าวก็ตกใจจนทำแก้วของตัวเองแตก เขาถอดเสื้อคลุมสีขาวแล้วรีบออกไปทันที ตระกูลหลินก็รีบไปที่สถานีตำรวจเพื่อสอบถามเหตุการณ์ คนทั้งสองตระกูลเหมือนจะถึงที่หมายในเวลาเดียวกัน
เมื่อตระกูลหลินท่านปู่เห็นจิ๋นลี่ยวน โกรธมากจนเคราของเขาม้วนงอ จิ๋นลี่ยวนพยักหน้าเล็กน้อยและรีบเดินตามเข้าไป เกิดเรื่องกับยินเสี้ยวเสี้ยวแบบนี้ เขานั้นเป็นกังวลใจกว่าใครๆเสียอีก
หลังจากที่มั่นใจว่าพญายมปล่อยตัวพวกเธอจริงๆ ยินเสี้ยวเสี้ยว จึงลุกขึ้นยืนเตรียมตัวที่จะพาหลินยีเย่าออกไป ทว่า หลินยีเย่าไม่ขยับเลยไม่ได้น้อย ทำเพียงนั่งอยู่บนพื้นแล้วมองดูยินเสี้ยวเสี้ยวด้วยดวงตาที่กลมโต
“รู้สึกเจ็บตรงไหนเหรอ?”ยินเสี้ยวเสี้ยวถามขึ้นเสียงเบา แล้วตรวจเช็คร่างกายของเขา
หลินยีเย่า ไม่ได้ห้ามการกระทำของเธอ แต่เขาพูดขึ้นหลังจากที่เธอตรวจเสร็จ “เราควรรอทีมกู้ภัยที่นี่ ไม่ต้องออกไปมั่ว เพราะเดี๋ยวจะคลาดกันนะครับ”
คำพูดประโยคหนึ่ง ดูเป็นผู้ใหญ่และดูเหมือน………มีประสบการณ์เป็นพิเศษ
เธอมองเขาด้วยความสงสัย ยินเสี้ยวเสี้ยวเกิดความสงสัยแล้วว่าเขานั้นถูกจับเป็นประจำหรือเปล่า?
แน่นอนว่าเธอรู้เหตุผลนี้ แต่จำได้ว่าพญายมปล่อยพวกเธอแล้ว ทว่า คนที่อยู่ด้านล่างเป็นคนที่อยากฆ่าพวกเธอ เธอไม่รู้ตำแหน่งและนิสัยของพญายม แต่ตราบใดที่ยังมีความสงสัยเล็กน้อยเธอจะไม่อยู่และปล่อยให้คนอื่นฆ่าตัวเอง
“งั้นถ้าก่อนที่ทีมกู้ภัยจะมาถึง มีคนมาชิงฆ่าพวกเราก่อนล่ะ?”ยินเสี้ยวเสี้ยวถามขึ้นเบาๆด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง
ชื่อเสียงของหลินยีเย่านั้นเธอเคยได้ยินมาบ้าง ไม่มีอะไรมากไปกว่า ‘ทายาทรุ่นที่2’ของตระกูลหลิน ทว่า การพบกันในวันนี้ทำให้เธอรู้สึกว่าหูฟังไม่เท่าตาเห็น ท้ายที่สุดแล้วข่าวลือนั้นมีความน่าเชื่อถือน้อยมาก
ถึงแม้หลินยีเย่าเป็นเด็กที่อายุยังไม่ถึงห้าขวบ ทว่า ความคิดนั้นเป็นผู้ใหญ่แล้ว
หลินยีเย่าเม้มปาก ไม่พูดอะไรออกมา เวลาผ่านไปสักพัก ถึงจะยื่นมือเล็กๆของตัวเองไปจับมือของยินเสี้ยวเสี้ยวแต่โดยดี ในตอนนี้ทั้งสองคนถึงจะเริ่มออกเดินทางไปจากสถานที่แปลกๆนี้
สถานที่ๆพญายมพาพวกเขามานั้นห่างไกลมาก มันห่างไกลมากจนพื้นที่โดยรอบเต็มไปด้วยดินสีเทาเหลือง ต้นไม้เล็กๆที่นี่ก็มีกิ่งก้านและใบไม้ที่ตายแล้ว แต่ยังเห็นใบไม้สีเขียวผ่านตาเป็นครั้งคราว แถมยินเสี้ยวเสี้ยวยังใส่รองเท้าส้นสูงอีก มันทำให้ไม่สะดวกสบายตลอดทาง ส่วนหลินยีเย่านั้นใส่รองเท้าผ้าใบ ทว่า ยังไงก็เดินไม่ไหวเพราะเขายังเป็นเด็ก
“เธอมีเพื่อนเยอะไหม? ที่บ้านมีเพื่อนมาเล่นเป็นประจำหรือเปล่า?”ยินเสี้ยวเสี้ยวเริ่มบทสนทนากับหลินยีเย่าด้วยเสียงที่เบา การกระทำดังกล่าวเป็นเหมือนการเห็นหลินยีเย่าเท่าเทียมกับตน ไม่มีการดูถูกใดๆเพียงเพราะว่าเขาเด็กกว่า “ฉันเคยได้ยินว่าตระกูลหลิน เป็นตระกูลที่ยิ่งใหญ่มากในเมืองที”
หลินยีเย่าเงยหน้าขึ้นไปมองยินเสี้ยวเสี้ยว สิ่งที่น่าประทับใจที่สุดคือลักยิ้มที่ใกล้ๆมุมปากของเธอ ทั้งสวยและอบอุ่นมาก มือเล็กที่จับมือของเธอไว้ก็จับแน่นขึ้นโดยไม่รู้ตัว จากนั้นก็ตอบกลับเสียงเบา “ผมไม่มีเพื่อน ไม่มีสักคนเลย”
ยินเสี้ยวเสี้ยวแปลกใจเล็กน้อย แต่เธอก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป ทำเพียงหันหน้าไปหาเขา จากนั้นก็ยิ้มแล้วพูดขึ้นว่า “งั้นฉันจะเป็นเพื่อนกับเธอเอง โอเคไหม?”
ทันใดนั้น หลินยีเย่าก็ยิ้มออกมาสดใสเป็นพิเศษ ในเวลานี้ยินเสี้ยวเสี้ยวถึงจะมองเห็นธรรมชาติของเด็กจากตัวเขา
ไร้เดียงสา น่ารัก และไม่มีเล่ห์เหลี่ยม
“พี่สาว เราจะเดินต่อไปแบบนี้จริงๆเหรอ? ถ้าคลาดกันกับคนที่มาช่วยเราจะทำยังไงครับ?”เดินไปสักพัก หลินยีเย่าก็ถามขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ ด้วยดวงตาสีเขียวเข้มเล็กน้อยมันดูมีเสน่ห์เป็นพิเศษในคืนที่มืดมิด
ยินเสี้ยวเสี้ยวนั่งลง แล้วจ้องไปยังดวงตาของหลินยีเย่าโดยตรง เมื่อดวงตาคู่นี้มองในเวลากลางวัน เว้นเสียแต่ว่าจะมองใกล้ๆ ก็จะมองไม่เห็นเสน่ห์แบบนี้ ทว่า ในเวลากลางคืนนั้นมองเห็นได้ง่ายมาก จนรู้สึกว่ามันทำให้เด็กที่ชื่อหลินยีเย่าคนนี้มีเสน่ห์มากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
ใบหน้ารูปทรงไข่เล็กๆมีความกลมนิดๆ ดวงตาสีเขียวเข้มกะพริบอย่างไร้เดียงสา เมื่อยินเสี้ยวเสี้ยวจ้องมองเขาเช่นนี้ เขาจึงเม้มริมฝีปากของตัวเองอย่างเขินอาย สีหน้าของเขาก็แดงเล็กน้อย
“พระเจ้า ดวงตาของเธอเป็นสีเขียวเข้ม…….”คำพูดหนึ่งประโยคนี้ ทำให้ตัวของหลินยีเย่าแข็งทื่อ จนกระทั่งใบหน้าที่ขึ้นเป็นสีแดงในเมื่อสักครู่ก็หายไป ทว่า ประโยคต่อไปของยินเสี้ยวเสี้ยวทำให้เขาตะลึง “หลินยีเย่า ตาของเธอสวยมากเลย………”
ดวงตากลมโตจ้องไปยังนัยน์ตาของยินเสี้ยวเสี้ยว หลังจากที่แน่ใจว่านัยน์ตาของเธอเต็มไปด้วยความประหลาดใจและคำชื่นชม หลินยีเย่าจึงยิ้มออกมาอย่างเขินอาย ดวงตาสีเขียวเข้มหรี่ลงเป็นเส้นตรง ดูแล้วสวยงามเป็นพิเศษ จากนั้นเขาก็พูดขึ้นว่า “ดวงตาของพี่สาวก็สวย ลักยิ้มก็สวยด้วยครับ…….”
ยินเสี้ยวเสี้ยวอึ้งไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็หัวเราะออกมาอย่างอดไม่ได้
เด็กคนนี้โตขึ้นมาแล้วต้องเป็นภัยพิบัติของสาวๆทั้งประเทศแน่เลย
รูปร่างหน้าตานั้นไม่ต้องพูดถึง แถมปากเล็กๆนั้นก็หวานเป็นพิเศษ……..
คืนฤดูใบไม้ร่วงตอนปลายอากาศเย็นเป็นพิเศษ แถมที่นี่ยังเป็นสถานที่รกร้างอีก ยินเสี้ยวเสี้ยวยื่นมือออกไปติดกระดุมเสื้อของหลินยีเย่าให้หมด จากนั้นก็ยิ้มแล้วพูดขึ้นว่า “จริงเหรอ? งั้นถ้าในอนาคตพี่มีลูกสาว ก็จะให้แต่งงานกับเธอ ดีไหม?”
หลินยีเย่าตกตะลึง สีหน้าแดงระเรื่อไม่พูดอะไรออกมา
มองดูท่าทางที่เขินอายของหลินยีเย่าแล้ว ยินเสี้ยวเสี้ยวก็หัวเราะออกมาอย่างอดไม่ได้
ถ้าในอนาคตมีคนอย่างหลินยีเย่ามาเป็นเขยในบ้านเธอ ก็คงไม่ต้องพูดถึงรุ่นต่อไปว่าจะหล่อสวยแค่ไหน…..
แสงจันทร์นั้นไม่ได้สว่างมาก แต่แสงยังคงส่องสว่างถึงพื้นเป็นลางๆ ราวกับว่ายินเสี้ยวเสี้ยวกำลังจูงมือลูกของตัวเอง แล้วเดินเข้าไปที่ถนนในหมู่บ้าน ตั้งแต่พระอาทิตย์ตกในช่วงเย็นจนถึงแสงจันทร์สลัวในตอนกลางคืน พวกเขายังไม่เจอใครสักคนเลย……..
หลินยีเย่าก็มีสติสัมปชัญญะเป็นพิเศษ ถึงแม้จะหิวและคอแห้งก็ไม่งอแงหรือโวยวาย ทำเพียงพูดคุยกับยินเสี้ยวเสี้ยว โดยธรรมชาติของเด็กทำให้เขาติดยินเสี้ยวเสี้ยวเป็นพิเศษ
สักพักเสียงหัวเราะก็เต็มไปตามตลอดทางเดินป่า
หลังจากที่เดินไปประมาณสามชั่วโมง ในที่สุดหลินยีเย่าก็เดินต่อไม่ไหว เขาขมวดคิ้วอย่างน่าสงสารแล้วมองไปยังยินเสี้ยวเสี้ยว ยินเสี้ยวเสี้ยวยื่นมือออกไปเช็ดหยาดเหงื่อบนหน้าผากของเขา รอบๆนี้ไม่มีหมู่บ้านหรือร้านค้าใดๆ ท้ายที่สุดยินเสี้ยวเสี้ยวจึงต้องให้หลินยีเย่าขี่หลังแล้วเดินต่อไป
“ขอโทษนะครับพี่สาว…..”หลินยีเย่าที่อยู่บนหลังของยินเสี้ยวเสี้ยวก็พูดคำขอโทษออกมา ในดวงตาเขียวเข้มเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด
“เด็กโง่ หลับตาแล้วนอนซะ ถ้าเธอตื่นขึ้นมา เราก็ถึงบ้านแล้ว”ยินเสี้ยวเสี้ยวตอบกลับเสียงเบา บนใบหน้านั้นยังคงมีท่าทีที่ผ่อนคลาย ทว่า ในตอนที่หลินยีเย่าหลับไปจริงๆ คิ้วของเธอก็ขมวดขึ้นมา
เป็นความท้าทายในการเดินบนถนนสายนี้ด้วยรองเท้าส้นสูง ยิ่งไปกว่านั้นคือเธอแบกเด็กไว้บนหลัง เธอในตอนนี้ก็ทนไม่ค่อยไหวแล้ว ทว่า หลินยีเย่ายังอยู่กับเธอ เธอรู้ดีว่าเธอไม่สามารถล้มลงในตอนนี้ได้ เพราะว่าเธอคือเสาหลักของหลินยีเย่า ถ้าเธอล้มลงไป ทั้งสองคนอาจจะได้นอนในป่าสักคืนแน่………
เดินไปทีละก้าวอย่างช้าๆ แม้แต่ลมหายใจของยินเสี้ยวเสี้ยวนั้นก็ไม่เสถียรเล็กน้อย ทว่า ตลอดทางที่พวกเขาเดินมานั้น ไม่พบผู้คนเลยแม้แต่คนเดียว!
ทันใดนั้น ในตอนที่ด้านหน้าของพวกเขามีแสงไฟจากรถปรากฏขึ้น ยินเสี้ยวเสี้ยวรู้สึกได้ถึงอุณหภูมิอุ่นๆที่ดวงตาของเขา
“ยีเย่า ยีเย่า ตื่นเร็ว…….”ยินเสี้ยวเสี้ยวยืนอยู่ข้างๆถนนแล้วเรียกหลินยีเย่า แต่เด็กที่อยู่บนหลังนั้นปลุกยังไงก็ไม่ตื่น ทำเพียงกำเสื้อของเธอแน่นไม่ยอมปล่อย “ยีเย่า ยีเย่า ตื่นเร็ว…….”
ยินเสี้ยวเสี้ยวหยุดเรียก เธอสังเกตและสัมผัสอย่างละเอียดอ่อน กับการเปลี่ยนแปลงของเด็กที่ขี่หลังเธออยู่ ทันใดนั้น เธอถึงรู้ว่าตัวของเด็กนั้นร้อนมาก
หลินยีเย่าไข้ขึ้น ไม่รู้ว่ามีไข้ตั้งแต่เมื่อไหร่!
สีหน้าของยินเสี้ยวเสี้ยวซีดขาวลง มองดูรถจี๊ปที่ขับมาทางพวกเขาและกำลังจะขับผ่านไป เธอที่แบกหลินยีเย่าอยู่ ก็เดินเข้าไปยืนขวางอยู่กลางถนนอย่างไม่คิดกลัวอะไร……..
ถนนทางชนบทที่เต็มไปด้วยดินและฝุ่น ทำให้ฝุ่นตลบอบอวลไปทั่ว มีเสียงเบรกรถอย่างรุนแรงดังขึ้นในยามค่ำคืนที่เงียบงัน……….