Flash Marriage เธอต้องแต่งงานกับฉัน - ตอนที่ 1002
บทที่ 1002 แอบทำอะไรบางอย่าง
เมื่อมาเห็นว่าฉินซียังอยู่ที่นี่ ลู่เหวยก็พอจะเข้าใจลูกชายตัวเองขึ้นมาบ้าง ว่าแล้วลู่เซิ่นต้องแอบทำอะไรบางอย่าง และไม่ได้ยอมหย่าแต่โดยดีเหมือนที่แสดงออกมาแน่ๆ
ส่วนเขาแอบทำอะไรงั้นเหรอ
ลู่เหวยส่ายหัวยิ้มๆ ไม่คิดจะไปสืบสาวราวเรื่องต่อหรอก
เขาไม่ได้เป็นผู้ปกครองประเภทที่ชอบควบคุมและบีบบังอย่างที่สูหยิงเป็น ขอแค่ลู่เซิ่นมีชีวิตที่ดี เขาก็ไม่คิดจะเข้าไประรานตัวเลือกของลู่เซิ่น
เพราะเขารู้ว่า ถึงยังไงลู่เซิ่นก็รู้ตัวเองดี ขอแค่เขาไม่ทำอะไรเกินไปก็พอแล้ว
และที่เขายิ้มอย่างมีเลศนัยเมื่อกี้ จริงๆแล้วแค่อยากแกล้งให้ฉินซีรู้สึกหวั่นๆเล่นเท่านั้น
คนเอื่อยๆอย่างลู่เหวย ถ้าหากคิดจะทำอะไร ไม่ว่าใครก็อย่าคิดที่จะถาม
ทานข้าวลงไปได้คำหนึ่ง ฉินซีก็ว่าจะถามอ้อมๆว่า”มาไม่เสียเที่ยว”ที่เขาพูดมาเมื่อสักครู่มันหมายความว่ายังไง แต่กลับถูกตอกกลับมาอย่างอ้อมๆเสียหลายครั้ง
จนสุดท้าย จึงทำได้แค่ปล่อยข้อสงสัยนี้ไปเพียงชั่วคราว
“ทานซุปอีกสักหน่อยสิ” ลู่เหวยยิ้มตาหยีพร้อมกับตักซุปให้ฉินซีอีกถ้วยหนึ่ง “หนูผอมเกินไปแล้ว ต้องกินเยอะๆนะ”
ฉินซีกำลังจะพูดปฏิเสธออกมา แต่เมื่อเห็นใบหน้าใจดีของลู่เหวย สุดท้ายก็ต้องกลืนอาหารเหล่านั้นลงไป จากนั้นก็ฝืนพยักหน้า แล้วรับเอาซุปถ้วยนั้นมา
ลู่เหวยตักซุปให้เธออยู่หลายถ้วย จากนั้นถึงได้ตบมือแล้วลุกขึ้น “มา ไปเดินเล่นกับฉันหน่อย”
ฉินซีรู้สึกเหมือนในท้องมีแต่น้ำ จึงอยากจะเดินย่อยอยู่พอดี เลยไม่ได้ปฏิเสธอะไร เดินตามหลังลู่เหวยไปติดๆ
ลู่เหวยไม่ค่อยสนใจตึกใหญ่เท่าไหร่นัก เมื่อเดินออกมาจากห้องอาหาร ก็เดินตรงออกไปข้างนอก
ทั้งสองค่อยๆเดินไปช้าๆ จู่ๆลู่เหวยก็ถามขึ้นมาว่า “นี่เป็นครั้งแรกเลยที่ฉันมาที่นี่”
ฉินซีมีใบหน้าแปลกใจ “คะ?”
ลู่เหวยก้มหน้าแล้วยิ้มขมขื่นออกมา “ลู่เซิ่นซื้อที่นี่ได้ไม่นาน ก็ย้ายออกจากตระกูล พร้อมทั้งพูดย้ำอีกว่าที่นี่เป็นที่พักส่วนตัวของเขา ห้ามไม่ให้พวกฉันเข้ามาตามอำเภอใจ”
ฉินซีขมวดคิ้วนิดๆ
ถึงยังไง ลู่เหวยกับสูหยิงก็เป็นพ่อแม่ของลู่เซิ่น ถึงที่นี่เขาจะเป็นคนซื้อมาเอง แต่การที่ไม่ให้พ่อแม่มาหาเลย มันก็ออกจะเกินไปหน่อย
เมื่อลู่เหวยเห็นสีหน้าของเธอ ก็หัวเราะออกมาเบาๆ “ในเมื่อเขาย้ำมาขนาดนี้ ฉันเลยไม่คิดจะเสนอหน้ามาที่นี่เหมือนกัน แต่แม่ของเขาไม่เชื่อ เลยมาหาเขาที่นี่อยู่ไม่กี่ครั้ง แม้ว่าพ่อบ้านจะต้อนรับเธอเป็นอย่างดี แต่ก็ให้เธออยู่แค่ในบริเวณตึกใหญ่ ไม่เคยพาเธอเดินรอบๆบริเวณนอกบ้านเลย เธอจึงโกรธมาก คิดว่าคนใช้ที่นี่ไม่เคารพเธอ เลยไม่คิดกลับมาที่นี่อีก”
เมื่อลู่เหวยพูดออกมาอย่างนี้ ในหัวของฉินซีก็พอจะนึกภาพตอนที่สูหยิงโกรธจนกระหืดกระหอบออก จึงรู้สึกขำขึ้นมาทันที
“ที่ฉันไม่มา จริงๆแล้วก็เพราะว่าฉันพอจะเดาออก ว่าที่ลู่เซิ่นคัดค้านไม่อยากให้พวกฉันมาขนาดนี้ คงเพราะซ่อนอะไรเอาไว้ที่นี่” ลู่เหวยพูดเนิบๆออกมา
ฉินซีครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่
ซ่อนอะไรเอาไว้?
เท่าที่เธอรู้ ของสำคัญของลู่เซิ่น จะฝากเอาไว้กับธนาคารที่รับฝากทรัพย์สิน เขาไม่น่าจะซ่อนอะไรไว้ที่บ้านหรอก
แต่พอคิดดีๆ
ของที่ย้ายเข้ามาได้ไม่นาน และถูกซ่อนเอาไว้ไม่อยากให้คนรับรู้มาก ก็มีอยู่แค่อย่างเดียวไม่ใช่เหรอ?
——ก็ตัวของฉินซีนี่ไง
ในที่สุดฉินซีก็รู้แล้วว่าสีหน้าล้อๆแบบนั้นบนหน้าของลู่เหวยมาจากไหน
เขากำลังแซวเธอกับลู่เซิ่นอย่างไม่ต้องสงสัย
“เห็นเขาซ่อนเอาไว้มิดซะขนาดนี้ ฉันก็เลยรู้ว่าเขาคงหวงแหนเป็นอย่างมาก ดังนั้นจึงไม่คิดจะมาที่นี่ให้เขารำคาญใจหรอก”
ลู่เหวยเอ่ยปากพูดออกมาอยู่คนเดียว ราวกับมองไม่เห็นสีหน้าของฉินซี
ฉินซีนิ่งไป ทันใดนั้นก็ค้นพบเรื่องหนึ่ง
ตามที่ลู่เหวยพูดมา แสดงว่าหนึ่งปีก่อนหน้านี้เขารับรู้ถึงการมีอยู่ของเธอมาตลอด?
แต่ว่าหนึ่งปีก่อน สถานะของเธอ เป็นอะไรที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกมากๆ…..
ลู่เหวยหันกลับมา ก็สังเกตเห็นท่าทางของเธอ จึงยิ้มออกมาบางๆ “หนูไม่ได้ฟังผิดหรอก ฉันรู้จักหนูตั้งแต่ปีก่อนแล้ว ไม่สิ ต้องพูดว่า ฉันรู้จักหนู มากกว่าที่หนูจินตนาการเอาไว้เยอะ”
สีหน้าของฉินซีเปลี่ยนไปนิดหน่อย
ถ้าลู่เหวยรู้เรื่องข้อตกลงของเธอกับลู่เซิ่นแล้ว……เขายังใจดีกับเธอได้ขนาดนี้เลยเหรอ?
แต่ว่าคำถามนี้มันอันตรายมากเกินไป ฉินซีไม่อยากเสี่ยงลองหยั่งเชิงถามออกไปหรอก และเธอก็ไม่คิดจะถามอะไรต่อด้วย
ลู่เหวยเองก็คงอยากพูดถึงแค่นี้ ผ่านไปสักพักถึงได้ถอนหายใจออกมาเบาๆ แล้วพูดขึ้นมาช้าๆว่า “ลูกชายของฉันคนนี้น่ะ มีข้อดีมากมาย แต่ก็มีข้อเสียเยอะอยู่เหมือนกัน แต่ตอนที่เขาอยู่กับหนู ฉันรู้สึกได้ ว่าข้อดีของเขาถูกขยายกว้างขึ้น และข้อเสียของเขาก็ค่อยๆหายไป หนู….ให้เวลาเขาสักหน่อยได้ไหม?”
ในที่สุดฉินซีก็เข้าใจแล้ว ที่ลู่เหวยลากเธอออกมาคุย ก็เพราะอยากเกลี้ยกล่อมเธอ
แต่พอนึกถึงความสัมพันธ์คลุมเครือของทั้งสองคนในตอนนี้ ฉินซีก็ไม่รู้จะอธิบายออกไปยังไง จึงทำได้แค่พยักหน้าพอเป็นพิธี
เมื่อลู่เหวยเห็นเธอรับปาก ก็รู้สึกเบาใจลงบ้าง จากนั้นก็เดินเอามือไขว้หลังนำหน้าไป
รีสอร์ทชิงหยวนใหญ่มาก แต่ก็เป็นสถานที่ที่ควรมาเดินเล่นเป็นอย่างยิ่ง ฉินซีพาลู่เหวยเดินไปรอบหนึ่ง ก็พอจะเดาได้ว่าเขาคงเหนื่อยบ้างแล้ว จึงคิดจะพาเขากลับ
แต่จู่ๆลู่เหวยกลับเอ่ยพูดขึ้นมาว่า “ได้ยินว่าที่ตรงนี่ แต่ก่อนเคยเป็นบ้านเก่าของตระกูลฉินเหรอ?”
เรื่องนี้เคยเป็นข่าว มันไม่ใช่ความลับอะไร ฉินซีจึงพยักหน้าตอบกลับไปว่า “ใช่ค่ะ เป็นที่ที่คุณปู่ของฉันเคยอยู่”
ลู่เหวยพยักหน้า ตอนแรกฉินซีคิดว่าเขาแค่ถามไปเรื่อย แต่ไม่คิดเลยว่าพอเดินมาถึงมุมเลี้ยวถัดมา จู่ๆเขาก็หยุดเดิน แล้วพูดเสียงต่ำขึ้นมาว่า “ต่อไป หนูคิดจะทำยังไงกับบริษัทฉินซื่อกรุ๊ป?”
ฉินซีแปลกใจนิดๆ เงยหน้าขึ้นไปมองเขา “หมายความว่ายังไงคะ?”
ลู่เหวยโบกมือ “คนที่แถลงแทนหนูตอนที่ประชุมในครั้งนั้นน่ะ เป็นเพื่อนเก่าของฉันเอง เขาบอกฉันแล้วว่าเกิดอะไรขึ้นกับบอร์ดบริหารของบริษัทฉินซื่อกรุ๊ปบ้าง ที่หนูต้องการให้ฉินซึ่งเทียนชำระเป็นเงินสดให้กับคุณ เพราะมีแผนอะไรหรือเปล่า?”
ฉินซีเพิ่งจะนึกได้ ว่าเมื่อวานเธอถามลู่เซิ่นว่าคนที่แถลงแทนเธอเป็นใคร
………เป็นเพื่อนของลู่เหวยจริงๆด้วยสินะ
ฉินซีไม่รู้ว่าตอนนี้ในใจรู้สึกยังไง จึงพยายามตั้งสมาธิเพื่อตอบคำถามของลู่เหวย
สิทธิ์ถือครองหุ้นของบริษัทฉินซื่อกรุ๊ปมีการเปลี่ยนแปลง ไม่นานก็คงประกาศสู่สาธารณะ ดังนั้นจึงไม่ใช่ความลับอะไร
แต่ทำไมลู่เหวยรู้เรื่องชำระด้วยเงินสดล่ะ เหมือนจะมีอะไรแปลกๆนะ?
ฉินซีเกิดความไม่เข้าใจในทันที
เธอไว้ใจลู่เหวยอยู่แล้ว จากการที่ลู่เหวยทุ่มเทแรงกายและแรงใจช่วยเหยาหมิ่นหาพยาน มันก็เพียงพอที่จะทำให้เธอรู้แล้วว่าลู่เหวยไม่มีทางเอาเปรียบเธอแน่นอน
แต่เรื่องจัดการบริษัทฉินซื่อกรุ๊ป เธอไม่เคยบอกให้ใครหลายคนรู้
เพราะมันเปรียบเสมือนหลุมเลน ยิ่งมีคนรู้เยอะมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งไม่ปลอดภัยมากเท่านั้น
ดังนั้นเธอจึงพยายามแกล้งทำทีว่าไม่มีอะไร “ไม่ได้มีแผนอะไรหรอกค่ะ ฉันก็แค่คิดว่า ได้หุ้นจากฉินซึ่งเทียนคงไม่สบายใจเท่าได้เงินมาสดๆ ก็เลยไม่ค่อยอยากได้พวกหุ้นสักเท่าไหร่