Flash Marriage เธอต้องแต่งงานกับฉัน - ตอนที่ 1003
บทที่ 1003 เธอยังมีบ้าน
ลู่เหวยคิดไม่ถึงว่าฉินซีจะไม่พูดออกมาตรงๆ จึงมองประเมินเธอขึ้นๆลงๆ มุมปากก็เผยรอยยิ้มเจื่อนๆออกมา “ฉินซี หนูยังไม่สามารถมองฉันเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ของหนูได้เลยใช่ไหม?”
ฉินซีไม่สามารถต้านทานสายตาแบบนี้ของเขาได้เลย แต่เธอก็ไม่อยากดึงลู่เหวยลงน้ำมาด้วย เธอจึงเงียบ แล้วส่ายหน้า
เมื่อลู่เหวยเห็นว่าเธอไม่ยอมเอ่ยปากพูด ก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ จากนั้นก็พูดขึ้นมาเองว่า
“ที่หนูโอนสิทธิ์ถือหุ้นออกไป จริงๆแล้วกำลังแลกออกมาเป็นเงินสด พอแลกเสร็จแล้ว หนูต้องทำอะไรสักอย่าง เพื่อให้ราคาหุ้นของบริษัทฉินซื่อกรุ๊ปทรุดฮวบลง จนทำให้หุ้นในมือของฉินซึ่งเทียนไม่คุ้มค่าพอที่จะใช้เงินแลก ถึงจะสามารถเอาคืนเขาได้ ฉันพูดถูกไหม?”
ฉินซีตกใจ แต่ก็ยังคงรักษาสีหน้าให้นิ่งสงบ “กำลังพูดอะไรคะ…….”
สีหน้าของลู่เหวยเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม “ฉันมองแค่ปราดเดียวก็ดูออกแล้ว หนูคิดว่าจะปิดฉินซึ่งเทียนได้นานแค่ไหน? วันนั้นหนูโกหกเขาเรื่องบอร์ดบริหาร แล้วถ้าเขารู้ตัว หนูคิดว่า แผนที่วางไว้มันจะยังสำเร็จไหม?”
แววตาของฉินซีวาวโรจน์ สุดท้ายก็ล้มเลิกการต่อต้าน พูดอธิบายเสียงต่ำว่า “ฉินซึ่งเทียนจะนำหุ้นส่วนนี้ให้หลี่เหวยและฉินหว่าน เขาไม่มีทางขายทิ้งได้ตามใจแน่”
ลู่เหวยไม่ค่อยรู้เรื่องสถานการณ์ของตระกูลฉินสักเท่าไหร่ เมื่อฉินซีพูดออกมาแบบนี้ ก็เลิกคิ้วขึ้น “แบบนี้นี่เอง….งั้นที่ฉันพูดมา ก็ตรงตามแผนที่หนูวางไว้ใช่ไหม?”
ฉินซีก้มหน้า พร้อมกับพยักหน้าเบาๆ
บนหน้าของลู่เหวยฉายแววจนปัญญาออกมา “หนูนี่นะ…..อย่าคิดจะแบกทุกเรื่องไว้กับตัวเองเลย พูดออกมาเถอะ หนูวางแผนจะทำลายหุ้นของบริษัทฉินซื่อกรุ๊ปยังไง”
เมื่อมาถึงขั้นนี้แล้ว ฉินซีก็ไม่มีอะไรให้ปิดบังอีกต่อไป จึงพูดอธิบายออกไปว่า เธอมีหลักฐานการปลอมแปลงเอกสารการเงินของบริษัทฉินซื่อกรุ๊ปอยู่ในมือ และวางแผนว่าจะให้สื่อเล่นข่าว เพื่อโจมตีหุ้นของบริษัทฉินซื่อกรุ๊ป
แต่เมื่อเธอพูดจบ ลู่เหวยก็ใช่ว่าจะมีสีหน้าอ่อนลง
“หนูคิดจะอาศัยสื่อเหรอ?” แววตาใจดีของเขาที่มีมาตลอด บัดนี้ก็พลันเปลี่ยนเป็นแววตาจับผิด
ฉินซีหลบสายตาของเขา ลังเลอยู่นาน สุดท้ายก็พูดออกไปตรงๆว่า “ตอนแรกฉันว่าจะไปที่สำนักงานกำกับหลักทรัพย์เพื่อเปิดโปงบริษัทฉินซื่อกรุ๊ปด้วยซ้ำ”
“หนูจะไปเอง?” ลู่เหวยเบิกตาเล็กน้อย ดูท่าทางไม่อยากจะเชื่อ “เรื่องแบบนี้ ทำไมต้องเอาตัวเองไปเสี่ยงด้วยล่ะ?”
ฉินซีส่ายหน้า “ในเมื่อมันเสี่ยง ฉันเลยไม่อยากดึงคนอื่นมาเดือดร้อนด้วย อีกอย่าง……มันเป็นเรื่องที่ฉินซึ่งเทียนติดค้างแม่ของฉันเอาไว้ มันก็สมเหตุสมผลแล้วที่ฉันเป็นคนจัดการ”
“แล้วหลักฐานล่ะ?” จู่ๆลู่เหวยก็ยื่นมือออกมา
ฉินซีงุนงง “คะ?”
“ฉันอยากดู” น้ำเสียงของลู่เหวยเรียบนิ่ง
“อ่อ……..” ฉินซีล้วงหยิบแฟลชไดรฟ์ออกมาจากกระเป๋า แต่ในตอนที่นำไปวางไว้บนฝ่ามือที่แบออกมาของลู่เหวย ทันใดนั้นฉินซีก็รู้สึกทะแม่งๆ
เมื่อสักครู่ลู่เหวยยังบอกไม่ให้เธอไปเปิดโปงด้วยตัวเอง แต่ตอนนี้เขากลับอยากได้หลักฐาน อย่าบอกนะว่า……เขาจะไปแทน?
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ ฉินซีก็คิดจะเก็บมือกลับทันที
แต่ก็ช้าเกินไป เพราะแฟลชไดรฟ์ตกไปอยู่ในมือของลู่เหวยเสียแล้ว
“ถ้าอยากเปิดโปงเรื่องนี้ คุณไม่ต้องเปลืองแรงหรอก” ลู่เหวยเอ่ยพูดออกมาอย่างเรียบนิ่ง
ฉินซีนิ่งค้าง
จริงๆด้วย! ลู่เหวยคิดจะทำอย่างนั้นจริงๆด้วย!
“ประธานลู่คะ!” ฉินซีรีบพูดออกมา “เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็กๆนะคะ ถ้าเปิดโปงสำเร็จ มีความเป็นไปได้สูงมากที่จะส่งผลกระทบต่อบริษัทฉินซื่อกรุ๊ปอย่างหนัก และฉันรู้จักนิสัยของคนในตระกูลฉินดี พวกเขาต้องหาทางเอาคืนแน่ๆ เรื่องอันตรายขนาดนี้ อย่าเข้ามามีส่วนร่วมเลยค่ะ!”
แต่ลู่เหวยกลับไม่ฟังที่เธอพูดเลยสักนิด เขากำของที่ถืออยู่ในมือแน่น “เรื่องอันตรายขนาดนี้ ถ้าฉันปล่อยให้หนูไปจัดการเอง แล้วหลังจากนี้ฉันจะกล้าเผชิญหน้าแม่ของหนูได้ยังไง? ถ้าวิญญาณของเธอรู้เรื่องแล้วเธอจะมองฉันยังไง?”
เหยาหมิ่นคือจุดอ่อนของฉินซี เมื่อลู่เหวยเอาเธอมาอ้างอย่างนี้ ฉินซีก็ไม่รู้ว่าควรโต้แย้งอย่างไรดี
แต่ท่าทางที่ฉินซีแสดงออก ก็ยังมีแต่ความไม่เห็นด้วย
“ฉันรู้ ว่าหนูจะพูดว่า หนูคือเป้านิ่ง ไม่ว่าคนที่เปิดโปงจะเป็นหนูหรือเป็นคนอื่น ยังไงคนตระกูลฉินก็ไม่มีทางปล่อยหนูไปแน่ แต่ถ้าฉันเบี่ยงเบนเป้าหมายของพวกเขามาที่ตระกูลลู่ คิดว่าตระกูลฉินยังจะสนใจหนูอยู่ไหม?” ลู่เหวยมีท่าทีสงบนิ่ง แต่คำที่พูดออกมากลับชวนตกใจ
“คุณลุง……..” ฉินซีกัดฟัน “แค่ดึงคุณลุงมาเดือดร้อนด้วย ฉันก็รู้สึกผิดมากแล้ว ถ้ายังต้องดึงทั้งตระกูลลู่มาเกี่ยวข้องอีก ฉันก็ไม่รู้เลยจริงๆว่าต้องทำยังไงดี”
ลู่เหวยหัวเราะออกมาเบาๆ “เด็กโง่ ถ้าหนูเป็นอะไรไปจริงๆ ต่อให้ไม่มีฉัน ยังไงลู่เซิ่นก็ต้องดึงทั้งตระกูลลู่มาใช้โจมตีบริษัทฉินซื่อกรุ๊ปให้แหลกละเอียดอยู่ดี ไม่ว่าหนูจะอยู่ในฐานะไหน ยังไงหนูก็เป็นส่วนหนึ่งของตระกูลลู่นะ อย่าเอาแต่คิดว่าต้องจัดการเรื่องทุกอย่างด้วยตัวเองเพื่อไม่ให้พัวพันกับคนอื่นสิ ไม่ว่าหนูจะมีเรื่องอะไร มันก็พัวพันกับตระกูลลู่ทั้งนั้นแหละ”
คำพูดของเขา ราวกับเสียงฟ้าผ่าสะท้านเข้ามาในหูของฉินซี
เธอเป็นส่วนหนึ่งของตระกูลลู่
เธอยังมีบ้าน ใช่ไหม?
เมื่อลู่เหวยเห็นว่าฉินซีเริ่มหวั่นไหว ก็พูดใส่ไฟต่อว่า “เรื่องนี้ให้ฉันจัดการเถอะ ฉันรับประกันได้ ว่าฉันและคนในตระกูลลู่ทุกคนจะไม่เป็นอะไร ฉินซี ฉันรับปากแม่หนูไว้แล้วว่าจะดูแลหนูให้ดีๆ หนูอย่าทำให้ฉันลำบากใจเลยนะ”
ลู่เหวยจับทางถูกว่าฉินซีไม่อาจปฏิเสธทุกเรื่องที่เกี่ยวกับเหยาหมิ่นได้ จึงนำเอาชื่อของเธอมาอ้างอีกครั้ง
สุดท้ายป้อมปราการในหัวใจของฉินซีก็พังทลาย
เธอล้มเลิกความคิดที่จะแย่งแฟลชไดรฟ์ในมือของเขาคืนมา แล้วพูดเสียงอู้อี้ว่า “งั้น…..คุณลุงต้องระวังตัวดีๆนะคะ”
“ไม่ต้องห่วง” ลู่เหวยพยักหน้าให้อย่างจริงจัง
ในที่สุดทั้งสองก็ตกลงกันได้ จึงเดินกลับเข้าไปข้างในบ้าน
เมื่อเห็นว่าฉินซีเริ่มเหม่อลอย ลู่เหวยจึงพูดเรื่องใหม่ได้ทันท่วงที “พูดถึงแม่หนู เรื่องนั้น หนูสืบได้ว่ายังไงบ้าง?”
เขาเปลี่ยนเรื่องพูดทื่อๆ แต่กลับพูดตรงกับเรื่องในใจของฉินซีเข้าพอดี
เมื่อฉินซีนึกถึงข้อมูลที่ทนายจ้าวส่งมาให้เธอเมื่อเช้านี้ ก็พูดเสียงเบาว่า “จริงๆแล้วก็คืบหน้านิดหน่อยค่ะ”
“หือ?” ลู่เหวยแปลกใจ “คืบหน้ายังไง?”
ทั้งสองเดินกลับมาถึงทางเข้าตึกใหญ่พอดี ฉินซีก้าวเดินเข้าไปสองสามก้าว จากนั้นก็ล้วงหยิบเอาเอกสารของทนายจ้าวออกมาจากกระเป๋า แล้วส่งให้ลู่เหวย “ตอนนี้ก็ประมาณนี้ค่ะ”
หลังจากลู่เหวยเปิดดูเสร็จ ก็ยกมือขึ้นมาลูบปลายคาง แล้วพึมพำว่า “งั้นก็แปลว่า คนนี้เข้าคุกไปแล้ว และหนูก็กำลังหาทางสืบว่าประวัติการก่ออาชญากรรมของเขามีอะไรบ้าง และคิดจะใช้วิธีนี้ ล้วงลับข้อมูลจากเขาว่างั้น?”
ฉินซีพยักหน้า “ใช่ค่ะ ฉันคิดไว้อย่างนี้”
ลู่เหวยหันมามองเธอ “แต่ฉันคิดว่า หนูควรลองไปหยั่งเชิงดูเขาก่อนจะดีกว่านะ ไปดูว่าเขาเป็นคนยังไง แล้วค่อยตัดสินใจว่าควรใช้สิ่งหลอกล่อมากเท่าไหร่”
ฉินซีเลิกคิ้วขึ้น “ที่คุณพูด…….มีเหตุผลจริงๆด้วยค่ะ”
ก่อนหน้านี้เธอคิดแค่ว่าต้องสืบให้รู้เรื่องแล้วค่อยไปหาเขา แต่ไม่เคยคิดเลยว่าถ้าหากอีกฝ่ายเป็นไม่ได้ร้ายแรงอะไร อาจจะไม่ต้องยุ่งยากขนาดนี้ก็ได้
ลู่เหวยโบกมือ “เดี๋ยวทางนี้ฉันจะส่งคนไปตรวจสอบเอง ถ้าได้เรื่องอะไร จะบอกหนูทันที”
“รบกวนด้วยนะคะ” ฉินซีผงกหัว
ลู่เหวยยิ้ม “ไม่ต้องเกรงใจหรอกน่า”