Flash Marriage เธอต้องแต่งงานกับฉัน - ตอนที่ 1004
บทที่ 1004 ไม่ต้องมีข้อตกลง
เวลาตอนนี้ก็สายมากแล้ว ทั้งสองคุยกันอยู่สองสามประโยค ลู่เหวยก็ลุกขึ้นยืนเตรียมที่จะกลับ
ฉินซีลุกตาม จากนั้นก็เดินไปส่งเขาที่หน้าประตู
“เรื่องนี้ ฉันจะจัดการให้เร็วที่สุด ถ้าเรียบร้อยแล้ว ฉันจะบอกหนูนะ” เมื่ออยู่ต่อหน้าคนอื่น ลู่เหวยก็ไม่ได้พูดออกไปให้ชัดเจน เพียงแค่ชูมือข้างซ้ายที่กำเป็นกำปั้นโบกไปโบกมาให้ฉินซี
และฉินซีรู้ ว่ามีแฟลชไดรฟ์ของตัวเองอยู่ในกำปั้นนั้น
เธอพยักหน้า แล้วพูดกำชับเสียงเบาอีกรอบว่า “คุณลุงก็ต้องระวังนะคะ”
ลู่เหวยยิ้ม ทำหน้ารับรู้ จากนั้นก็ขึ้นรถไป
รถขับออกไปจากรีสอร์ทชิงหยวนนานแล้ว แต่ฉินซีก็ยังคงใจลอย
เธอยังจำวันที่ตัวเองสิ้นหวังจนอยากกระโดดลงแม่น้ำได้ว่าตัวเองอยู่ในอารมณ์แบบไหน
ตอนนั้นเธอรู้สึกว่าเธอไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆกับโลกใบนี้แล้ว เธอก็เป็นแค่ใบไม้ที่ร่วงหล่น สามารถสลายหายไปได้ตลอดเวลา
แต่วันนี้ ทนายจ้าวและลู่เหวย ทำให้เธอได้เข้าใจ
ถึงแม้เหยาหมิ่นจะจากโลกนี้ไปแล้ว แต่ความรักของเธอที่ยังหลงเหลืออยู่ ยังคงปกป้องคุ้มครองฉินซีต่อไป
ฉินซีเม้มริมฝีปาก เตรียมจะกลับไปนอนสักตื่นที่ห้อง ทว่าโทรศัพท์กลับสั่นขึ้นมาเสียก่อน
เมื่อก้มหน้าดู ก็พบว่าไม่ใช้ใครคนอื่น แต่เป็นคนที่ลู่เหวยเพิ่งพูดถึงอ้อมๆไปเมื่อสักครู่——ลู่เซิ่น
เมื่อมองหน้าจอจนแน่ใจ ฉินซีก็เลิกคิ้วขึ้นอย่างแปลกใจ
น้อยครั้งมากที่ลู่เซิ่นจะโทรมา และวิดีโอคอลมาอย่างนี้…..ก็เหมือนจะเป็นครั้งแรกด้วย
ฉินซีงุนงง แต่กระนั้นก็กดรับสาย
คลื่นสัญญาณดีมาก เมื่อกดรับสายทั้งสองฝ่ายก็พากันเงียบ ไม่มีใครเป็นฝ่ายเริ่มเอ่ยปากพูด
เมื่อเป็นวิดีโอคอล ทั้งสองฝ่ายจึงต้องคุยกันผ่านกล้อง และเมื่อมองอีกฝ่ายจากหน้าจอ ฉินซีก็แทบจะไม่สงสัยเลยว่าลู่เซิ่นอาจจะเผลอกดโทรผิดหรือเปล่า เพราะเขาไม่ได้นำโทรศัพท์มาไว้ข้างกาย แต่กลับถือไว้ข้างหน้าแทน
สุดท้ายก็เป็นลู่เซิ่นที่ทำลายความเงียบ
“พ่อบ้านบอกผมว่า เมื่อกี้พ่อผมมา?”
เสียงของลู่เซิ่นผ่านสายโทรศัพท์ ทุ้มลึกกว่าปกติ
ฉินซีพยักหน้า “ใช่ แต่คุณช้าไปหน่อย เขาเพิ่งกลับไปเมื่อกี้เลย”
ลู่เซิ่นเบ้ปาก “ผมก็ไม่ได้อยากคุยกับเขาสักหน่อย”
เมื่อเขาพูดประโยคนี้ออกมา ทั้งสองก็ต่างเงียบ
ฉินซีอดพึมพำขึ้นมาในใจไม่ได้ว่า
ไม่ได้อยากคุยกับเขา….แล้วอยากคุยกับฉันเหรอ?
ฉันก็อยู่นี่แล้วนี่ไง ทำไมยังไม่พูดล่ะ?
ครั้งนี้ทั้งสองเงียบกว่าครั้งแรกนานนิดหน่อย มาคราวนี้ถึงตาฉินซีทนไม่ไหวบ้าง จึงเป็นฝ่ายเอ่ยปากพูดออกไปก่อนว่า “คุณอยู่เมืองหนานเหรอ? เเครื่องเพิ่งแลนดิ้ง? ถ้าคำนวณเวลาจากที่นั่นแล้ว…..ตอนนี้คงดึกมากแล้วสินะ?”
ลู่เซิ่นรู้สึกแปลกๆ “คุณรู้ได้ไงว่าผมอยู่เมืองหนาน?”
ฉินซีกระแอมไอออกมาเบาๆ “พ่อบ้านบอก”
เธอไม่ได้โกหกสักหน่อย เธอถามพ่อบ้านตั้งหลายครั้ง เขาถึงบอก
ไม่รู้ว่าลู่เซิ่นก็นึกถึงภาพนี้เหมือนกันหรือเปล่า น้ำเสียงของเขาถึงได้ร่าเริงขึ้นเยอะ “ใช่ครับ ทางนี้ดึกแล้ว แต่ว่าผมเจ็ตแล็กนิดหน่อย นอนไม่ค่อยพอเลย”
เมื่อฉินซีได้ยิน ก็ขมวดคิ้วเบาๆ “เจ็ตแล็ก? งั้นตอนนี้คุณก็รีบไปนอนสิ คุณยุ่งมาทั้งวัน นอนก็ไม่พอ แล้วทำไมตอนกลางคืนจะไม่หลับล่ะ?”
เมื่อลู่เซิ่นเห็นความเป็นห่วงในสายตาของเธอ มุมปากก็คลี่ยิ้มออกมา พูดเสียงเบาว่า “ไม่แน่อาจจะเป็นเพราะว่า…..ผมต้องนอนคนเดียว เลยนอนไม่หลับมั้ง?”
ประโยคนี้ของเขาจริงครึ่งไม่จริงครึ่ง และก็มีหยั่งเชิงดูบ้าง ในตอนที่อยากเห็นว่าฉินซีจะมีปฏิกิริยายังไงนั้น——
หน้าจอฝั่งตรงข้ามก็พลันมืดสนิท
ต่อมาหน้าจอก็แสดงผลว่า “ปลายสายวางสายไปแล้ว” จากนั้นหน้าจอก็เด้งออกอัตโนมัติ
สีหน้าของลู่เซิ่นเจื่อนลง
ฉินซี……รับไม่ได้เหรอ?
ทำไมจู่ๆกดวางไปอย่างนั้น?
เธอหมายความว่ายังไง?
ในขณะที่เขากำลังคิดไปต่างๆนานา ก็มีข้อความใหม่ส่งเข้ามาในโทรศัพท์
ลู่เซิ่นเปิดดูด้วยความรีบร้อนเล็กน้อย จึงพบว่าเป็นข้อความจากพ่อบ้าน
“คุณนายฝากมาบอกว่า โทรศัพท์ของเธอแบตหมด ถ้ามีเรื่องอะไร รอให้เธอชาร์จแบตก่อนแล้วค่อยพูดกันอีกที”
เมื่อลู่เซิ่นอ่านข้อความนี้ มุมปากก็ค่อยๆยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม
ที่แท้ก็แบบนี้นี่เอง………..
เมื่อเขาอ่านข้อความที่พ่อบ้านส่งมา ก็พอจะนึกภาพทางนั้นออกว่า ฉินซีต้องถือโทรศัพท์ด้วยสีหน้าที่พูดอะไรไม่ออกแน่ๆ
เมื่อเครื่องบินลงจอด หลินหยังกับหลินยี่ก็เดินออกมาจากห้องโดยสารของตัวเอง
เมื่อเห็นลู่เซิ่นถือโทรศัพท์ พร้อมทั้งใบหน้าที่มีรอยยิ้มจางๆ หลินยี่ก็อดเดินเข้าไปถามอย่างนึกสนใจไม่ได้ว่า “เป็นอะไรไป? ใครให้ยาวิเศษอะไรมาเหรอ?”
ลู่เซิ่นหันหลังให้เขา แต่ใครๆก็ฟังออกว่าน้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความอารมณ์ดี “ยาวิเศษอะไร”
หลินยี่หัวเราะพร้อมกับยกมือทั้งสองข้างขึ้นมา “โอเคๆ ฉันรู้แล้ว ว่าเป็นภรรยานาย”
เขาเดินถอยหลัง จากนั้นก็โบกมือให้ลู่เซิ่น “งั้นฉันไปก่อนนะ”
ลู่เซิ่นโบกมือไล่เขา โดยที่ไม่แม้แต่จะหันหน้าไปมอง
ดังนั้นวินาทีต่อมาที่ประตูเครื่องบินเปิดออก หลินยี่ก็หายเข้าออกไปนอกตัวเครื่อง
ส่วนหลินหยังที่ยืนมองอยู่ข้างๆตลอด ก็อ้าปากค้าง
ในฐานะที่เขาเป็นผู้ช่วยเต็มสปิริต ดังนั้นในระหว่างการบินสิบชั่วโมงกว่าๆนี้ จึงพยายามสืบค้นข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับหลินยี่ให้ได้มากที่สุด เพื่อกันไม่ให้เกิดบรรยากาศอึดอัดตอนต้องเผชิญหน้ากัน
แต่เหมือนเครือข่ายเก็บรวบรวมข้อมูลของเขาจะเกิดการขัดข้อง เขาทำการสืบค้นอยู่ตั้งนาน กลับไม่ได้ข้อมูลสำคัญอะไรเลย
หลินหยังจึงทำได้เพียงพยายามหวนนึกสุดความสามารถ แต่ก็ยังไม่ได้อะไรกลับมา
ราวกับว่าผู้ชายที่ชื่อหลินยี่ ก่อนหน้านี้ไม่เคยมีตัวตนบนโลกนี้มาก่อนอย่างไรอย่างนั้น
หลินหยังระแวงกับปืนในมือของเขา ดังนั้นในตอนที่เดินออกมาจากห้องโดยสารของตัวเอง ถึงได้เดินห่างจากเขาพอสมควร
แต่คิดไม่ถึงเลยว่าเพียงแค่พริบตาเดียว หลินยี่จะหายวับไปกับตา
“หยุดมองได้แล้ว” เหมือนลู่เซิ่นสังเกตเห็นว่าเขากำลังงงงวย จึงเอ่ยพูดนิ่งๆโดยที่ไม่ได้หันมามองว่า “เขาลงจากเครื่องไปแล้ว”
หลินหยังเบิกตากว้าง “แต่ว่าบันไดเครื่องยังไม่แตะพื้นเลยนะครับ…….”
ลู่เซิ่นหัวเราะเบาๆ “แล้วนายคิดว่าเขาขึ้นมายังไงล่ะ?”
หลินหยังสะอึก ตอนนี้ถึงเพิ่งนึกขึ้นได้ ว่าตอนที่พวกเขาขึ้นเครื่องมาเมื่อกี้ จู่ๆหลินยี่ก็ปรากฏตัวขึ้นมาอย่างกะทันหันเช่นเดียวกัน
“ประธานลู่ หลินยี่คนนี้ ตกลงแล้ว…..เป็นใครมาจากไหนเหรอครับ?” หลินหยังยังคงสงสัย จึงเอ่ยปากถามออกไปอย่างอดไม่ได้
ลู่เซิ่นเก็บโทรศัพท์ เหลือบมองหลินหยังที่มองมาอย่างรอคอยคำตอบ
เขาไม่มีทางพูดเรื่องที่หลินยี่เคยเป็นทหารกองกำลังพิเศษออกมาอยู่แล้ว ดังนั้นจึงตอบคำถามของหลินหยังออกไปอย่างรวบรัดว่า “จำเอาไว้ก็พอว่า เขาเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของฉัน”
แม้หลินหยังจะได้รับคำตอบที่ไม่ค่อยตรงคำถามเท่าไหร่ แต่เขาก็ไม่กล้าถามต่อแล้ว จึงเหยียดกายลุกขึ้นแล้วไปติดต่อรถยนต์ให้มารับ
ในที่สุดภายในห้องผู้โดยสารเครื่องบินก็เหลือแค่ลู่เซิ่นคนเดียว
ทั้งๆที่เป็นเหตุการณ์เดียวกันกับตอนขึ้นเครื่อง แต่ตอนนี้ลู่เซิ่นกลับไม่รู้สึกว่างเปล่าเท่าไหร่แล้ว
ตลอดทางเขานอนไม่เต็มอิ่มเลยสักนิด เพราะในฝันมีแต่ประโยคนั้นของฉินซีฉายเข้ามาซ้ำๆ
“ระหว่างเราไม่ต้องมีข้อตกลงก็ได้”
แต่ทุกครั้งที่เขากำลังจะเอ่ยปากถามให้ชัดเจน ฉินซีก็หายไปจากความฝันเสียแล้ว
ดังนั้นเมื่อเครื่องบินลงจอด เขาก็ไม่สามารถทนรอได้อีกต่อไป ถึงได้วิดีโอคอลไปหาฉินซี