Flash Marriage เธอต้องแต่งงานกับฉัน - ตอนที่ 1008
บทที่ 1008 เริ่มตรวจสอบ
ฉินซีไม่รู้ว่าควรอธิบายยังไงดี
เบื้องหน้าถึงเธอกับลู่เซิ่นจะหย่ากันแล้ว แต่ทนายจ้าวไม่รู้ว่าเบื้องหลัง…….ความสัมพันธ์ยังยุ่งเหยิงอยู่เลย
แต่เรื่องแบบนี้…..เธอก็ไม่กล้าบอกทนายจ้าวหรอก
ฉินซีลังเลอยู่สักพัก ก็ส่ายหน้า “คุณไม่ต้องกังวลหรอกค่ะ ฉันติดต่อกับจ้าวจิ้งเองก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร
ทนายจ้าวยังไม่วางใจ “เอาแบบนี้แล้วกัน ฉันจะเกริ่นๆกับเธอก่อน เพื่อดูว่าเธอมีปฏิกิริยายังไง ถ้าจ้าวจิ้งไม่สะดวก ฉันจะหาคนอื่นให้หนูนะ”
ฉินซีขานรับ ทนายจ้าวถึงได้วางสายไป
ฉินซีเปิดคอมพิวเตอร์ เพื่อจัดตารางงานในช่วงสองสามวันนี้ของตัวเองใหม่อีกครั้ง
ตั้งแต่ถ่ายทำหนังสั้นให้บริษัทลู่ซื่อในครั้งนั้น เธอก็ถือได้ว่าเป็นดาวดวงใหม่ที่เจิดจรัสในแวดวงการถ่ายภาพ นิตยสารหลายๆแห่งติดต่อขอทำสัญญากับเธอ ถึงขนาดมีดารามากมาย ชื่นชอบรูปภาพที่เธอถ่ายให้หซู่เป่ย อยากติดต่อเธอให้ไปถ่ายรูปให้
แต่ถึงแม้ฉินซีจะรักการถ่ายรูป ทว่าในช่วงที่ผ่านมามักจะมีเรื่องต่างๆมารบกวนเวลาของเธอเสมอ ดังนั้นถึงแม้จะมีคำเชื้อเชิญส่งมามากมายขนาดไหน เธอก็ทำได้แค่ต้องเลือกถ่ายให้แค่บางคนเท่านั้น
เวลานี้ จึงจำเป็นต้องจัดเวลางานใหม่ ส่วนเรื่องพูดคุยกับคนทำสัญญานั้น จะสำเร็จหรือไม่ ก็ยังไม่อาจทราบได้
ถ้าพูดแบบไม่เสียดายก็คือไม่น่าจะได้ แต่เธอเองก็รู้ดี ว่าเรื่องของเหยาหมิ่นสำคัญที่สุดสำหรับเธอแล้ว
ถ้าไม่สามารถกอบกู้ความบริสุทธิ์ของเหยาหมิ่นกลับมาได้ หรือถ้าไม่สามารถเอาคืนโดยแย่งชิงทุกอย่างของฉินซึ่งเทียนกับหลี่เหวยกลับมาได้อย่างสาสม ในใจของฉินซี ก็คงรู้สึกเหมือนมีอุปสรรคที่ก้าวข้ามผ่านไปไม่ได้สักที
คนที่ปล่อยวางอดีตไม่ได้ ก็ไม่สามารถเดินไปไหนได้ไกลหรอก
เธอต้องจัดการแก้ไขอดีตของเธอให้หมดสิ้นไป ถึงจะสามารถโอบกอดตัวเองในอนาคตได้อย่างแท้จริง
……
ทางด้านทนายจ้าวเมื่อวางสายกับฉินซี ก็รู้สึกลังเลขึ้นมาชั่วขณะ
ความกังวลของเขาโดยรวมก็เหมือนที่ฉินซีคาดเดาเอาไว้ ดังนั้นจึงใคร่ครวญอยู่นาน ถึงได้คิดออกว่าควรโทรไปยังไง
จ้าวจิ้งกับทนายจ้าวเป็นพวกบ้างานที่ติดต่อกันทางสายเลือด เพราะในตอนที่กดรับสาย ก็เห็นได้ชัดว่าอีกคนกำลังทำงานอยู่ คิดว่าคงกดรับโดยไม่แม้แต่จะอ่านรายชื่อคนโทรเข้าเลยด้วยซ้ำ น้ำเสียงถึงได้ดูสุภาพอ่อนช้อย “ท่านใดถือสายคะ?”
ความสุภาพของเธอกลับทำให้ทนายจ้าวรู้สึกผ่อนคลายลง “ฉันเอง พ่อแก”
ทางจ้าวจิ้งชะงักกึก จากนั้นก็หัวเราะออกมา “พ่อ? ทำไมจู่ๆโทรมาล่ะ?”
เพราะสองพ่อลูกบ้างานพอๆกันจำนวนครั้งในการโทรคุยกันในเวลาปกติจึงน้อยจนแทบจะนับครั้งได้ จึงไม่แปลกที่เธอจะรู้สึกแปลกใจ
เมื่อโดนขัดกลับมาแบบนี้ น้ำเสียงของทนายจ้าวก็อ่อนลง “มีเรื่องอยากถามความคิดเห็นแกหน่อย”หลังจากที่เขาพูดเรื่องทุกอย่างออกไป ปลายสายก็ตกอยู่ในความเงียบทันที
ทนายจ้าวเองก็พอจะเข้าใจ ว่าจ้าวจิ้งก็คงจะลำบากใจ ในตอนที่กำลังจะบอกเธอว่าถ้ามีปัญหาก็พูดออกมาได้เลย จู่ๆจ้าวจิ้งก็เอ่ยปากรับคำ “พ่อเอาช่องทางการติดต่อของเธอมาให้ฉันสิ ฉันจะพูดกับเธอเอง”
ทนายจ้าวค่อนข้างสงสัยว่าทำไมเธอถึงตอบตกลงอย่างง่ายดายขนาดนี้ แต่เขามั่นใจที่ตัวเองเลือกจ้าวจิ้งมาช่วย ไม่ได้ถามอะไรให้มากความ ทำแค่ส่งช่องทางการติดต่อของฉินซีไปให้ จากนั้นก็เอ่ยย้ำว่า “ถ้ามีปัญหาอะไร พูดออกมาตรงๆได้เลยนะ ฉินซีจะได้ไม่ต้องทำให้แกลำบากใจ”
น้ำเสียงของจ้าวจิ้งดูสบายๆ “ไม่เป็นไรหรอกน่า พ่อวางใจเถอะ”
……
เมื่อฉินซีจัดการงานทั้งหมดเสร็จ ก็เห็นว่าทนายจ้าวส่งข้อความมาหา
“จ้าวจิ้งตกลงแล้ว และจะติดต่อไปหาหนูเอง”
ฉินซีรู้สึกแปลกใจ กำลังจะโทรกลับไปถาม เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นมาเสียก่อน
เมื่อเห็นเป็นเบอร์แปลก ฉินซีรับรู้ในทันที ว่าเป็นจ้าวจิ้งโทรมา
“สวัสดีค่ะ” เมื่อกดรับสาย ก็พบว่าเป็นเสียงของหญิงสาววัยรุ่นอย่างที่คิดไว้ “คุณฉินซีใช่ไหมคะ? ฉันคือลูกสาวของทนายจ้าว จ้าวจิ้งค่ะ”
“สวัสดีค่ะ” เมื่อได้ฉินซีได้ยินเสียงของเธอ ก็รู้สึกคุ้นๆอย่างแปลกประหลาด
“”ฉันเป็นหนึ่งในทีมทนายที่ปรึกษาของบริษัทลู่ซื่อ ก่อนหน้านี้คุณอาจจะเคยเจอฉันมาก่อนแล้ว” ราวกับจ้าวจิ้งสัมผัสได้ถึงความสงสัยของเธอ ถึงได้เอ่ยแนะนำตัวก่อน
ฉินซีพอจำได้รางๆ
ในช่วงที่ถ่ายหนังสั้นให้บริษัทลู่ซื่อ เหมือนเธอจะเคยเจอทนายคนนี้มาก่อน
เพียงแต่ว่าเธอไม่ใช่ทนายส่วนตัวของลู่เซิ่น ดังนั้นฉินซีเลยจำเธอไม่ค่อยได้เท่าไหร่นัก
แต่ทั้งสองก็ไม่ได้คิดจะทักทายกันนานอยู่แล้ว หลังจากทักทายกันพอหอมปากหอมคอ ก็เข้าประเด็นในทันที
“พ่อของคุณบอกเรื่องของฉันไปมากเท่าไหร่แล้ว?” ฉินซีถาม
จ้าวจิ้งตอบกลับอย่างรวดเร็ว “เขาไม่ได้พูดละเอียดเท่าไหร่ บอกแค่ว่าคุณอยากไปเจอนักโทษคนหนึ่ง และต้องการพาทนายไปด้วย”
ฉินซีพยักหน้า “คร่าวๆก็ประมาณนี้แหละ นักโทษคนนั้นชื่อว่า เห้อเสียง ติดคุกด้วยการก่ออาชญากรรมทางธุรกิจ ฉันมีเรื่องอยากถามเขานิดหน่อย และก็อยากรู้ว่า เขาอยากได้อะไรเป็นข้อแลกเปลี่ยน”
ฉินซีนิ่งไปชั่วครู่ จากนั้นก็พูดเสริมว่า “ไม่รู้ว่าทนายจ้าวได้บอกคุณหรือเปล่า ว่าเรื่องนี้ค่อนข้างเร่งรีบ”
เสียงของจ้าวจิ้งสูงขึ้นนิดหน่อย พูดแสดงความสงสัยออกมาว่า “รีบ?”
“เราต้องเดินทางพรุ่งนี้ หรือช้าสุดก็มะรืนนี้” ฉินซีตอบกลับ
ทางจ้าวจิ้งเงียบไปชั่วครู่ แล้วเอ่ยทวนอีกรอบว่า “ช้าสุดมะรืนนี้? ช้ากว่านี้ไม่ได้แล้วเหรอคะ?”
ฉินซียืนกราน “ช้ากว่านี้ไม่ได้แล้ว อีกอย่างอาจจะต้องไปอยู่ที่นั่นสักพัก ไม่ใช่ว่าไปกลับภายในวันเดียว”
ทางจ้าวจิ้งเงียบลงไปอีกครั้ง
ตามที่ลู่เหวยพูดมา พรุ่งนี้ช่วงบ่ายก็จะเริ่มขั้นตอนการตรวจสอบ ถ้าเริ่มดำเนินการสืบค้นบริษัทฉินซื่อกรุ๊ป คนในตระกูลฉินต้องโยงมาถึงตัวฉินซีแน่ๆ และมะรืนนี้หลังจากที่อานหยันรายงานข่าวการปลอมแปลงเอกสารออกไป พวกเขาคงปักใจเชื่อว่าเรื่องนี้คงไม่พ้นมีส่วนเกี่ยวข้องกับฉินซีแน่ๆ
ถึงตอนนั้นพวกเขาจะใช้วิธีไหนเอาคืนฉินซี เธอเองก็คาดเดาไม่ได้เช่นเดียวกัน
เพื่อความปลอดภัยของตัวเอง และเพื่อเป็นการไม่สร้างปัญหาเพิ่มให้คนอื่น ฉินซีต้องรีบไปจากที่นี่ให้เร็ว ก่อนที่พวกเขาจะลงมือ
ทนายจ้าวเป็นเพื่อนเก่าเพื่อนแก่ของเหยาหมิ่น การที่เขาคอยช่วยเหลือซ้ำแล้วซ้ำเล่า ก็ไม่ใช่ว่าไม่มีสาเหตุ แต่จ้าวจิ้งเพิ่งเคยได้ติดต่อกับตัวเองเป็นครั้งแรก พอต้องมาเจอข้อเสนอที่เร่งด่วนขนาดนี้ ฉินซีจึงคิดเอาไว้แล้วว่าจ้าวจิ้งอาจจะปฏิเสธ
แต่ไม่คิดเลยว่าไม่กี่วินาทีต่อมา จ้าวจิ้งจะตอบตกลง
“ได้ค่ะ พรุ่งนี้ตอนกลางวันฉันจะพยายามเคลียร์งานให้เสร็จ พรุ่งนี้ก่อนอาหารเย็น ฉันจะติดต่อไปนัดหมายเวลาอีกทีนะคะ”
ฉินซีเลิกคิ้วขึ้นนิดหน่อย “คุณตกลง?”
จ้าวจิ้งพยักหน้า “ใช่ค่ะ”
ฉินซีถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกเบาๆ “ขอบคุณมากนะ ค่าทนายฉันจะจ่ายให้ตามชั่วโมงการทำงานของคุณ ส่วนเรื่องรายละเอียด พรุ่งนี้เจอกันแล้วค่อยพูดกันอีกที”
จ้าวจิ้งไม่ได้คัดค้านอะไร จึงตอบตกลง
ทั้งสองเงียบไปสักพัก ในตอนที่ฉินซีกำลังจะวางสาย จู่ๆจ้าวจิ้งก็เอ่ยพูดออกมา
“เหมือนว่าพ่อฉันจะไม่ค่อยมั่นใจว่าฉันจะช่วยคุณได้” ในเสียงของจ้าวจิ้งเต็มไปด้วยแววขี้เล่น เหมือนไม่ได้กำลังพูดเรื่องงาน “เป็นเพราะเขาไม่รู้ ว่าบริษัทลู่ซื่อเกิดอะไรขึ้นบ้าง”
ฉินซีขมวดคิ้วเบาๆ ไม่ได้พูดอะไรออกไป
จ้าวจิ้งพูดต่อว่า “วันนี้ช่วงบ่าย ท่านประธานลู่เรียกทีมทนายที่ปรึกษาของบริษัทไปประชุมทั้งทีมเลย”
ฉินซีนิ่งอึ้ง