Flash Marriage เธอต้องแต่งงานกับฉัน - ตอนที่ 1009
บทที่ 1009 เก็บบรรยากาศ
“ทนายทั้งทีม…….” ฉินซีพูดทวนอีกรอบ
จ้าวจิ้งรู้ว่าเธออยากถามอะไร จึงรีบตอบว่า “ใช่ค่ะ ฉันก็ได้ไป”
“เรื่องที่ท่านประธานลู่กำลังจะทำ เวลาคือพรุ่งนี้” จ้าวจิ้งพูดต่อว่า “ให้ฉันเดา ที่คุณรีบร้อนขนาดนี้ คงหนีไม่พ้นเรื่องที่ท่านประธานลู่กำลังจะทำสินะคะ”
ในสายโทรศัพท์ เธอไม่ได้พูดออกมาให้ชัดเจน แต่ฉินซีเข้าใจความหมายของเธอ
ฉินซีเงียบ ไม่ได้ตอบอะไรกลับไป
ถึงแม้อีกฝ่ายจะมีความสัมพันธ์เป็นพ่อลูกกับทนายจ้าว แต่สำหรับเธอแล้ว จ้าวจิ้งแทบจะคือคนไม่คุ้นเคยกันโดยสมบูรณ์
เธอไม่คิดจะพูดทุกเรื่องออกมาให้คนที่ไม่สนิทกันฟังหรอกนะ
จ้าวจิ้งไม่ได้แปลกใจกับการเงียบไปของเธอ พูดต่อว่า “เอาเป็นว่า แม้ว่าฉันจะได้ยินมาบ้าง ว่าคุณหย่ากับประธานลู่แล้ว แต่ถ้าดูจากเรื่องที่ท่านลู่กำลังจะทำแล้ว ดูเหมือนจะยังรักและปกป้องคุณเป็นอย่างดี ดังนั้นการที่ฉันช่วยคุณ ก็เป็นเรื่องของเหตุผล คุณอย่าคิดมากเลยค่ะ”
พูดมาถึงตรงนี้ ฉินซีก็เข้าใจในที่สุด ที่จ้าวจิ้งร่ายออกมาซะยาวขนาดนี้ ไม่ได้กำลังพูดอะไรไปเรื่อยเปื่อย
เธอก็แค่อยากทำให้ฉินซีวางใจ ว่าที่เธอตอบตกลงฉินซี เพราะเธอมีเหตุผลของตัวเอง
ฉินซียิ้มออกมาบางๆ “ค่ะ”
ทั้งสองบอกลากันเสร็จ ก็กดวางสาย
ฉินซีส่งข้อความกลับไปหาทนายจ้าว หลังจากที่บอกเขาว่าพวกเธอคุยกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็คิดอะไรอยู่สักพัก จากนั้นก็โทรหาลู่เหวย
รอสายไม่ทันไร ลู่เหวยก็กดรับ “ฉินซี?”
“ลุงลู่” ฉินซีพูดขึ้น “เรื่องไปอยู่ที่อื่นสักพัก ฉันจัดการเรียบร้อยแล้วนะคะ”
ลู่เหวยถอนหายใจออกมาเบาๆ “งั้นก็ดีแล้ว”
เขารู้ว่าอะไรควรไม่ควร จึงไม่ได้ถามฉินซีว่าจัดการยังไง เพียงแค่ถามว่า “ต้องการบอดี้การ์ดไหม?”
ตอนแรกฉินซีว่าจะปฏิเสธ ถ้าเธอไปคนเดียว เธอคงไม่มีทางรบกวนลู่เหวยให้ส่งบอดี้การ์ดมาให้แน่
แต่เธอต้องเปลี่ยนความคิดเมื่อนึกถึงจ้าวจิ้ง
เท่าที่เธอรู้ จ้าวจิ้งเป็นลูกคนเดียวของทนายจ้าว
ในเมื่อทนายจ้าวส่งเธอมาช่วย ฉินซีก็ต้องรับรองความปลอดภัยให้เธอ
ไปหาบอดี้การ์ดตามบริษัทรักษาความปลอดภัยก็ไม่ใช่ว่าจะทำไม่ได้ แต่ว่าหนึ่งเลยคือเธอค่อนข้างรีบ สองคือ….คนที่จะมาดูแลต้องไว้ใจได้เท่าบอดี้การ์ดของตระกูลลู่
ฉินซีครุ่นคิดอยู่สักครู่ ก็พยักหน้าแล้วพูดว่า “คุณลุง…..ส่งมาให้สักสองคนก็ได้ค่ะ ส่วนค่าจ้างฉันจะเป็นคนออกเอง”
ลู่เหวยไม่ได้คัดค้านเธอเรื่องเงินค่าจ้าง เขารู้ว่าถ้าตัวเองไม่เห็นด้วย ฉินซีก็จะไม่ให้เขาส่งบอดี้การ์ดของเขาไปให้ ดังนั้นจึงพยักหน้าตอบตกลง “ได้สิ”
เมื่อพูดคุยกับลู่เหวยแล้วว่าพรุ่งนี้ตอนเที่ยงให้ส่งบอดี้การ์ดมา ฉินซีก็ไม่พูดอะไรให้เสียเวลา เตรียมจะกดวางสาย
แต่วินาทีที่กำลังจะวาง ฉินซีก็ได้ยินเสียงพูดเบาๆของลู่เหวยว่า
“ต้องดูแลตัวเองดีๆนะ “
ฉินซีขานรับไปทีหนึ่ง ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะได้ยินไหม
เมื่อวางสาย และมั่นใจว่าทุกอย่างจัดการเสร็จแล้วเรียบร้อย ฉินซีถึงได้มีเวลาพักผ่อนในที่สุด
เธอยื่นแขนออกไป ย้ายคอมพิวเตอร์ที่วางอยู่บนหน้าตักไปไว้ข้างๆ จากนั้นก็เอนกายลงนอน ในขณะที่หลับตา ก็คลำหาหมอนของลู่เซิ่นมากอดเอาไว้โดยไม่รู้ตัว
ไม่กี่นาทีต่อมา เมื่อสมองเริ่มประมวลผล ปลายจมูกของเธอก็เต็มไปด้วยกลิ่นที่คุ้นเคยของลู่เซิ่น ฉินซีลืมตาโพลงขึ้นมาทันที รู้ตัวในที่สุดว่าตัวเองทำอะไรลงไป
ร่างกายของเธอแข็งทื่อ จากนั้นก็ยอมรับตัวเอง แล้วกอดหมอนของเขาแน่นยิ่งกว่าเดิม
ถึงยังไงเขาก็ไม่อยู่สักหน่อย ไม่มีใครเห็นหรอก
ฉินซีรู้สึกราวกับตัวเองขาดการเชื่อมต่ออะไรบางอย่าง แต่ตอนนี้เธอรู้สึกเหนื่อยนิดหน่อย จึงไม่สามารถคิดออกว่ามันคือเรื่องอะไร เลยทิ้งมันไว้ข้างหลัง พรุ่งนี้เช้าค่อยตื่นมาคิดใหม่
……
แต่พอวันรุ่งขึ้น เธอก็อลหม่านอยู่ทั้งวัน เพราะถูกงานเร่งทำให้ตารางงานยุ่งเหยิงไปหมด เธอจึงต้องจัดการงานให้เสร็จตั้งแต่เนิ่นๆในวันนี้
ฉินซีไม่มีเวลาไปสนใจเรื่องที่ถูกลืมไปเมื่อคืน
เมื่อกำชับให้พ่อบ้านเก็บกระเป๋าเดินทางให้เธอเสร็จ ก็เป็นเลยเวลาหกโมงพอดี เธอกินข้าวเช้าเข้าไปแค่ไม่กี่คำก็ออกจากบ้านไป
จุดหมายปลายทางในการร่วมงานกันครั้งนี้คือเขตชมวิวแถบชานเมืองใกล้ๆนี้ เพราะถูกใจผลงานที่ฉินซีถ่ายให้บริษัทลู่ซื่อในครั้งนั้น อีกฝ่ายจึงส่งอีเมลมาเพื่อเชิญเธอ
เดิมทีฉินซีก็ไม่ได้สนใจการถ่ายภาพในครั้งนี้เท่าไหร่
แต่เมื่อเห็นชื่อของสถานที่ เธอก็สั่นไหว
……….เพราะเป็นหนึ่งในสถานที่ชมที่เหยาหมิ่นชอบไปมากที่สุด
เหยาหมิ่นคือจุดอ่อนของเธอเสมอมา
สถานที่ตั้งของจุดชมวิวค่อนข้างที่จะห่างไกลตัวเมือง ฉินซีจึงขับรถไปเอง และเธอก็ถึงที่หมายเกือบๆแปดโมง
อีกฝ่ายดูกระตือรือร้นมาก เพราะมายืนรออยู่หน้าทางเข้าตั้งนานแล้ว เมื่อเห็นเธอก็เดินเข้ามาหา “คุณฉิน มาถึงสักทีนะ ! เหนื่อยไหม? อยากพักก่อนหรือเปล่า?”
ฉินซีโบกมือ “ไม่เป็นไรค่ะ เริ่มกันเลยดีกว่า”
อีกฝ่ายเองก็ไม่เสียเวลา ผายมือเชิญเธอเข้าไปข้างใน
ตอนที่ฉินซียังเด็ก เคยมาที่นี่อยู่ไม่กี่ครั้ง นั่นถือเป็นความทรงจำอันอบอุ่นที่เกี่ยวกับครอบครัวที่แทบจะนับครั้งได้ หรือแม้แต่รูปภาพครอบครัวที่ถูกเธอทิ้งเอาไว้ที่ตระกูลฉิน หนึ่งในนั้นมีรูปที่ถ่ายกันอยู่ที่นี่ด้วย
ตอนนั้นคุณปู่ยังอยู่ ฉินซึ่งเทียนจึงยังเก็บอาการอยู่ จำต้องมาที่นี่กับพวกเธอสองแม่ลูกอยู่ครั้งสองครั้ง
ความทรงจำของฉินซีในช่วงเวลานั้นเลือนรางมาก แต่เธอกลับจำได้ขึ้นใจว่าทุกครั้งที่เหยาหมิ่นได้อยู่กับฉินซึ่งเทียน มักจะมีความสุขมากเป็นพิเศษ
แต่ต่อมาเมื่อคุณปู่จากไป ฉินซึ่งเทียนก็เริ่มกำเริบเสิบสาน การที่เขาไม่กลับบ้านเลยเป็นเดือน ก็เป็นเรื่องปกติไปเสียแล้ว
หลังจากนั้นพวกเขาทั้งสามคนก็ไม่ได้ไปเที่ยวที่ไหนด้วยกันอีก
ฉินซีก็มีชีวิตของตัวเอง แทบจะไม่ได้กลับมาที่นี่อีกเลย
ตรงกันข้ามกับเหยาหมิ่นที่มาที่นี่เป็นระยะๆ พร้อมพูดอธิบายกับฉินซีด้วยรอยยิ้มหยีว่าเธอมาเก็บบรรยากาศ
เธอถือภาพฉบับร่างที่วาดเสร็จแล้วอยู่ในมือ บางอันก็ลงสีแล้วเรียบร้อย
แต่ฉินซีก็ยังรู้สึกว่า ที่เธอมั่นคงกับที่นี่ขนาดนี้ เป็นเพราะว่าลืมความทรงจำในตอนนั้นไม่ได้
ตอนนั้นฉินซีไม่เข้าใจความรักในรูปแบบนี้ของเธอเลย แต่ก็ไม่ได้ห้ามอะไรเธอ ทำเป็นมองไม่เห็นให้มันแล้วๆไป
แต่หลังจากที่เหยาหมิ่นจากไป ในที่สุดเธอก็เข้าใจความรู้สึกของเหยาหมิ่นในตอนนั้น
การมั่นคงกับคนที่ไม่คิดจะกลับมา ไม่อาจควบคุมตัวเองได้หรอก ทำได้แค่แสวงหาความทรงจำที่เคยมีในทุกที่ที่น่าจะมี
……
แต่เวลาก็ผ่านมาหลายปีแล้ว ตอนที่ฉินซีเดินเข้าไปในสถานที่แห่งนี้อีกครั้ง ก็รู้สึกพูดไม่ออก
วิวตรงหน้ากับรูปถ่ายในอดีต มันแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
“ที่นี่…..เคยปรับปรุงใหม่เหรอคะ?” ฉินซีหันไปถาม
คนที่ออกมาต้อนรับไม่ได้สังเกตเห็นอารมณ์ที่แปลกไปของเธอ ยิ้มออกมาอย่างร่าเริงแล้วพูดว่า “ใช่แล้ว! ปีนี้พวกเราลงแรงปรับปรุงไปแล้วรอบหนึ่ง สิ่งอำนวยความสะดวกที่เคยมีก่อนหน้านี้ก็เก่าหมดแล้ว หลังจากปรับปรุงทั้งหมดจึงดูแปลกหูแปลกตาขึ้นมาหน่อย!”
ฉินซีนิ่งไปชั่วครู่ จากนั้นก็ยิ้มตามออกมา ในใจก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ
เพิ่งปรับปรุงปีนี้
นั่นก็หมายความว่า ทัศนียภาพที่เธอเห็นอยู่ตอนนี้ ไม่ใช่อันเดียวกับที่เหยาหมิ่นชอบอีกต่อไปแล้ว
การนึกถึงใครสักคนโดยอาศัยวิวทิวทัศน์ มันไม่ได้ผลจริงๆด้วย
ฉินซีข่มความรู้สึกจมปลักอยู่กับความทุกข์เอาไว้