Flash Marriage เธอต้องแต่งงานกับฉัน - ตอนที่ 1014
บทที่ 1104 ฉันเข้าใจ
จ้าวจิ้งดูอายุน้อยกว่าที่ฉินซีจินตนาการไว้
ตัวไม่สูงมาก รูปหน้าแบบตุ๊กตา ทั้งยังใส่แว่น มีเค้าโครงของทนายจ้าวอยู่หลายส่วน มองแวบแรกไม่คล้ายกับคนที่หัวรุนแรงแต่อย่างใด ไม่เหมือนกับทนายที่มีออร่าซึ่งเต็มไปด้วยความดุดันและความสามารถในการควบคุมคนพวกนั้นที่ฉินซีเคยเห็นเลยสักนิด
แต่เมื่อลองจ้องมองและพิจารณาอย่างเงียบ ๆ ฉินซีรู้สึกได้ว่าเธอไม่ได้อ่อนแออย่างที่เห็น
“คุณนายครับ” เสียงของบอดี้การ์ดทำลายความเงียบในช่วงชั่วขณะของทั้งสองคน “พวกเราจะไปที่ไหนกันต่ออย่างนั้นเหรอครับ”
ฉินซียื่นมือส่งที่อยู่ข้างในโทรศัพท์ไปให้ “ที่นี่”
คนเป็นบอดี้การ์ดกวาดตาอ่านแล้วจดจำไว้ ก่อนจะนั่งลงบนตำแหน่งข้างคนขับแล้วเปิดระบบนำทาง
“คุณนายอย่างนั้นเหรอ”
อยู่ ๆ จ้าวจิ้งก็พูดออกมา น้ำเสียงแฝงไปด้วยความสงสัยอยู่หลายส่วน
ฉินซีหันไปมองเธอ รู้ดีว่าเธอกำลังสงสัยเรื่องอะไร
เห็นอยู่ชัด ๆ ว่าเธอหย่ากับลู่เซิ่นแล้ว แต่คนที่ลู่เหวยส่งมาพวกนี้กลับไม่ยอมเปลี่ยนคำเรียก เป็นธรรมดาที่จะทำให้คนที่ได้ยินรู้สึกประหลาดใจนิดหน่อย
เพียงแต่ตอนนี้เธอเคยชินกับการได้ยินอะไรแบบนี้ไปแล้ว ชั่วขณะจึงไม่รู้สึกว่ามีอะไรที่ผิดปกติ
…เดาว่าคงได้รับคำสั่งมาจากพ่อบ้านของรีสอร์ทชิงหยวน ฉินซีคิดในใจ
แต่ถึงอย่างไรตอนนี้ก็ออกมาแล้ว ถ้าปล่อยให้เรียกแบบนี้ต่อไปก็อาจจะทำให้คนเข้าใจผิดได้ ทั้งยังสร้างความลำบากให้อีกด้วย
ผู้หญิงสองคนที่พกบอดี้การ์ดมา ทั้งยังเอาแต่เรียกว่าคุณนาย ดูยังไงก็ค่อนข้างที่จะสะดุดตาเกินไป
ฉินซีกระแอมในลำคอ “หลังจากนี้เรียกชื่อฉันก็ได้ แบบนี้จะสะดวกกว่า”
บอดี้การ์ดทั้งสองคนมองหน้ากัน จากนั้นก็เผยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความกลืนไม่เข้าคายไม่ออก “นี่…”
ฉินซีพูดอย่างจริงจังว่า “ฉันให้พวกคุณสวมชุดลำลองก็เพื่อที่จะจัดการอะไรอย่างเงียบ ๆ แต่ถ้าพวกคุณเอาแต่เรียกฉันว่าคุณนาย แล้วจะจัดการอย่างเงียบ ๆ ได้ยังไง”
พวกบอดี้การ์ดทำได้เพียงก้มหน้ายอมรับ “ครับ”
ฉินซีพยักหน้าอย่างพึงพอใจ ก่อนจะหันกลับไปมองจ้าวจิ้ง แล้วพูดแนะนำว่า “นี่เป็นทนายที่จะทำงานกับฉันในช่วงหลายวันนี้ ชื่อจ้าวจิ้ง พวกคุณเรียกแค่ชื่อของเธอก็พอแล้ว จ้าวจิ้ง สองคนนี้เป็นบอดี้การ์ดที่มีหน้าที่ดูแลความปลอดภัยของพวกเราในครั้งนี้ ชื่อว่า…”
ทันใดนั้นเธอก็ชะงักไปพักหนึ่ง ก่อนจะรู้ตัวว่าเธอไม่เคยถามชื่อของทั้งสองคนเลย
แต่ดูเหมือนว่าบอดี้การ์ดจะไม่คิดว่าเป็นปัญหาอะไร พวกเขาจึงต่อบทสนทนาอย่างเป็นธรรมชาติ
คนนั่งตรงตำแหน่งคนขับรถพูดว่า “ผมชื่อเสี่ยวเฉิน”
คนที่นั่งอยู่ข้างตำแหน่งคนขับรถพูดต่อว่า “ผมชื่อเสี่ยวหลี่ครับ”
จ้าวจิ้งพยักหน้าให้ทั้งสองคน ก่อนจะหันกลับไปมองฉินซี “ถ้าอย่างนั้นตอนนี้ก็สามารถอธิบายรายละเอียดได้แล้วใช่ไหมว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ทำไมถึงต้องการไปพบนักโทษ แล้วยังมีบอดี้การ์ดมาด้วยอีก”
ฉินซีเม้มริมฝีปากแล้วพูดว่า “ฉัน…ขออธิบายเรื่องบอดี้การ์ดก่อนแล้วกัน”
เธอไม่รู้ว่าลู่เหวยบอกอะไรกับเสี่ยวเฉินและเสี่ยวหลี่ไว้มากน้อยแค่ไหน แต่ในเมื่อทั้งสองคนถูกส่งมาคอยอารักขาเธอ เป็นธรรมดาที่พวกเขาก็มีสิทธิ์จะรู้ว่าความจริงแล้วมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่
เธอมองไปที่จ้าวจิ้งแล้วถามขึ้นมาว่า “เธอรู้เรื่องที่ลู่เหวยทำมากแค่ไหน”
ตามที่จ้าวจิ้งบอกไว้ ลู่เหวยน่าจะใช้ทีมทนายความของบริษัทลู่ซื่อ ถ้าอย่างนั้นจ้าวจิ้งก็น่าจะรู้อะไรไม่น้อย
เธอมองออกว่าจ้าวจิ้งค่อนข้างที่จะสงสัย แต่ก็ยังเปิดปากพูดออกมา “ประธานอาวุโสลู่นำหลักฐานการฉ้อโกงทางการเงินของบริษัทฉินซื่อกรุ๊ปส่วนหนึ่งมาให้ แล้วบอกว่าพวกเราจำเป็นต้องทำให้บริษัทฉินซื่อกรุ๊ปได้รับการตรวจสอบโดยเร็วที่สุด”
ฉินซีพยักหน้า “ถูกต้อง เป็นเพราะสาเหตุนี้นั่นแหละ”
เธอเหลือบมองเสี่ยวเฉินกับเสี่ยวหลี่ แล้วหันกลับไปมองจ้าวจิ้งอีกครั้ง “ถึงแม้ว่าเขาจะเคยรายงานเรื่องนี้แล้ว ลุงลู่แทบจะพูดออกมาอย่างชัดเจนว่าบริษัทลู่ซื่อเป็นฝ่ายทำ แต่คนของบริษัทฉินซื่อกรุ๊ปกลับคิดว่าเรื่องนี้จะต้องเกี่ยวข้องกับฉันอย่างแน่นอน เมื่อบริษัทฉินซื่อกรุ๊ปต้องเผชิญกับสภาวะที่ยากลำบาก เป็นไปได้ว่าพวกเขาจะถูกบีบให้ถึงทางตัน ถึงตอนนั้นก็คงจะมาสร้างปัญหาให้ฉัน”
จ้าวจิ้งไม่ค่อยคุ้นเคยกับริษัทฉินซื่อกรุ๊ป ตอนนี้เธอจึงขมวดคิ้วเล็กน้อย แล้วถามขึ้นมาอย่างสงสัยว่า “สร้างปัญหาอย่างนั้นเหรอคะ”
ฉินซีพยักหน้า ก่อนจะตอบกลับไปอย่างใจเย็น “ยกตัวอย่างเช่นลักพาตัวหรือบังคับข่มขู่ฉัน บีบให้บริษัทลู่ซื่อดำเนินการเพื่อหยุดการตรวจสอบของCSRC”
จ้าวจิ้งเบิกตากว้างขึ้นเล็กน้อย “บริษัทฉินซื่อกรุ๊ป…คุณไม่ใช่คนของบริษัทฉินซื่อกรุ๊ปอย่างนั้นเหรอคะ ฉินซึ่งเทียนเป็นพ่อแท้ ๆ ของคุณไม่ใช่เหรอ เขา…จะทำเรื่องแบบนั้นกับคุณได้จริง ๆ เหรอคะ”
การที่เธอสามารถถามคำถามแบบนี้ออกมาได้ เห็นได้ชัดว่าทนายจ้าวปฏิบัติตามข้อตกลงจริง ๆ ไม่ได้เปิดเผยเรื่องของคนในตระกูลฉินเลยแม้แต่ส่วนเดียว
ฉินซีส่ายหน้า พูดออกมาด้วยเสียงแผ่วเบา “เขาทำได้ ไม่ใช่แค่เขาเท่านั้น คนอื่น ๆ ของบริษัทฉินซื่อกรุ๊ปก็ทำได้”
จ้าวจิ้งพูดอะไรไม่ออกไปชั่วขณะ ก่อนจะอธิบายออกมาเบา ๆ “หลังจากที่ฉันเรียนจบ ก็เข้าร่วมกับทีมทนายความของตระกูลลู่ แม้ว่าฉันกับพ่อจะทำงานแบบเดียวกัน ทว่าแต่ไหนแต่ไรมาพวกเราก็ไม่เคยพูดเรื่องงานกันเลย”
ฉินซีโบกมือ “ฉันเข้าใจ”
ทนายเจ้าเป็นคนตรง ๆ เขาไม่มีทางที่จะนินทาลับหลังคนอื่นอย่างแน่นอน
“แต่วันนี้การสอบสวนของบริษัทฉินซื่อกรุ๊ปได้เริ่มขึ้นแล้วนี่นา” จ้าวจิ้งพูด
“ดังนั้น” ฉินซีเพิ่มความจริงจังในน้ำเสียง “หลายวันต่อจากนี้พวกเราจะไม่ค่อยปลอดภัยนัก ต้องให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของตัวเองเป็นอันดับแรก เสี่ยวหลี่ เสี่ยวเฉิน สองสามวันนี้ต้องรบกวนพวกคุณแล้ว”
เสี่ยวหลี่กับเสี่ยวเฉินรีบพยักหน้าทันที “ไม่รบกวนเลยครับ!”
จ้าวจิ้งเองก็ตอบว่า “ฉันเข้าใจแล้วค่ะ”
ฉินซีมองไปที่เธอ ทันใดนั้นก็คิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ “ลุงลู่ใช้ทีมทนาย…งั้นเธอก็ลางานมาอย่างนั้นเหรอ”
ดูเหมือนจ้าวจิ้งจะไม่คาดคิดว่าอยู่ ๆ เธอจะถามเรื่องนี้ “ใช่ค่ะ”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ ทันใดนั้นเธอก็นึกถึงรายละเอียดที่เธอมองข้ามไปได้
ตั้งแต่เมื่อวานนี้ลู่เหวยก็ขอยืมใช้ทีมทนายความของบริษัทลู่ซื่ออย่างกล้าหาญเด็ดเดี่ยว ทว่าจ้าวจิ้งรับเรื่องของฉินซีไว้ เธอจึงทำได้เพียงต้องขอลางาน
ตอนแรกก็คิดว่าการลางานน่าจะลำบากเล็กน้อย แต่คิดไม่ถึงเลยว่าพอเธอบอกลู่เหวยว่าจะมาช่วยฉินซี ลู่เหวยก็ตอบตกลงอย่างรวดเร็ว ทั้งยังพูดเสริมเป็นพิเศษอีกว่า การที่เธอไปในครั้งนี้ บริษัทจะนับว่าเป็นการเดินทางไปทำธุระ ไม่ถือว่าเป็นการลางาน
ในตอนนี้เองเธอก็สามารถเชื่อมโยงกับคำว่า “คุณนาย” ที่พวกบอดี้การ์ดพูดขึ้นมาได้ จ้าวจิ้งมีความคิดที่คลุมเครืออยู่ในใจ
ลู่เซิ่นกับฉินซี…หย่ากันตามที่ข่าวลือในบริษัทว่าไว้จริง ๆ อย่างนั้นเหรอ
ถ้าหย่ากันจริง ๆ ทำไมลู่เหวยยังจะต้องใส่ใจปกป้องดูแลเธอแบบนี้อยู่ล่ะ
ทว่าจ้าวจิ้งไม่คิดที่จะถามข้อสงสัยนี้ออกมา
ฉินซีเองก็ไม่รู้ว่าในใจของเธอละเลยความคิดในใจไปมากมายขนาดนี้ จึงเพียงแค่พยักหน้า “ถ้าอย่างนั้นก็ดีแล้ว”
แม้ว่าเธอจะรู้สึกผิดเล็กน้อยที่ทำให้งานเดิมของจ้าวจิ้งล่าช้า แต่ฉินซีก็ทำได้เพียงเพิ่มค่าปรึกษาให้อีกนิดหน่อยเพื่อเป็นการชดเชย
จ้าวจิ้งถามขึ้นมาอีกครั้งว่า “ถ้าอย่างนั้นก็ต้องหาสภาพการณ์ที่เป็นรูปธรรมของคนคนนั้น เป็นยังไงบ้าง”
ฉินซีมองเสี่ยวหลี่กับเสี่ยวเฉิน ก่อนจะพูดเสียงเบา “พอถึงโรงแรมแล้วฉันจะอธิบายให้ฟังอย่างละเอียดอีกครั้ง”
จ้าวจิ้งรู้ดีว่าคงไม่สะดวกนักที่จะต้องพูดต่อหน้าบอดี้การ์ดทั้งสองคน ดังนั้นเธอจึงไม่ถามอะไรต่ออีก
ตอนนี้บรรยากาศภายในรถจึงเต็มไปด้วยความเงียบงัน
คุกที่ใช้ขังเห้อเสียงอยู่ในตัวเมือง ต้องใช้เวลาประมาณเกือบสองชั่วโมงครึ่งกว่าจะไปถึง เสี่ยวหลี่กับเสี่ยวเฉินจดจ่ออยู่กับการขับรถ จ้าวจิ้ง หยิบแล็ปท็อปออกมาเพื่ออ่านข้อมูลของเธอ ฉินซีเองก็ก้มหน้าจัดการอีเมลไม่กี่ข้อความในโทรศัพท์ ภายในรถมีเพียงเสียงระบบนำทางที่ดังขึ้นเป็นครั้งคราว
ตอนที่รถกำลังใกล้จะถึงตัวเมือง ทันใดนั้นเสียงโทรศัพท์ของฉินซีก็ดังขึ้นอีกครั้ง
ภายใต้บรรยากาศในรถที่เงียบสงบเช่นนี้ เสียงสั่นสะเทือนของโทรศัพท์จึงดังขึ้นอย่างชัดเจนเป็นพิเศษ