Flash Marriage เธอต้องแต่งงานกับฉัน - ตอนที่ 1100
บทที่ 1100 คุณกำลังทำอะไรอยู่กันแน่นะ
ไม่ว่าจะสะกดจิตตัวเองอย่างไรก็ไม่มีประโยชน์ ไม่ว่าจะบอกตัวเองอย่างไรว่า ลู่เซิ่นและฉินซึ่งเทียนไม่ใช่คนประเภทเดียวกันอย่างแน่นอน ฉินซีก็ยังจมเข้าสู่หุบเหวแห่งความสงสัยอยู่ดี
เธอโยนโทรศัพท์มือถือไว้อีกด้านหนึ่ง ความกล้าที่ปลุกขึ้นมาเมื่อครู่นี้เหมือนกับเปลวไฟของเทียนที่ไหววูบ เพียงแค่เป่าเบาๆก็ดับแล้ว
แขนถูกยกขึ้นมาปิดบังดวงตา ฉินซีอดกระซิบเบาๆในยามค่ำคืนไม่ได้ว่า “ลู่เซิ่น……”
ลู่เซิ่น คุณกำลังทำอะไรอยู่กันแน่นะ
……
ทางฝ่ายลู่เซิ่น ก็ไม่รู้ว่าในใจของฉินซีมีคลื่นโหมซัดสาดอย่างไร
เมื่อลงจากเครื่องบินก็เป็นเวลาเที่ยงวันของเมืองหนาน เพื่อลดปัญหา จึงให้เครื่องบินไปจอดที่ลานจอดเครื่องบินของบ้านใหญ่ตระกูลลู่
ดังนั้นเมื่อลงจากเครื่องบินและเงยหน้าขึ้น ก็เห็นตาแก่ที่ยืนเรียงกันเป็นแถวอยู่ด้านนอก
วันนี้อารองไม่อยู่ ดังนั้นคนที่ยืนอยู่ด้านหน้าสุดคืออาสาม
ใบหน้าของอาสามทำให้คนที่มองเห็น สามารถมองออกว่ารอยยิ้มนี่ไม่ได้ออกมาจากจิตใจที่แท้จริง เอ่ยถามลู่เซิ่นอย่างระมัดระวังว่า “ช่วงนี้เมืองหนานสงบมากเกินไปใช่หรือไม่ ถึงต้องลำบากให้หลานวิ่งมารอบหนึ่งแบบนี้”
ลู่เซิ่นเหลือบมองเขาครั้งหนึ่ง จู่ๆมุมปากก็ปรากฏรอยยิ้มเฉยชาออกมา
“ไม่มีเรื่องอะไร” แม้ว่าริมฝีปากของเขาจะมีรอยยิ้มพาดผ่าน แต่กลับทำให้คนที่เห็น มองออกว่าเขาอารมณ์ไม่เลว “ที่ผมมา…….ก็เพื่อจะขอแต่งงาน”
สีหน้าของอาสามเต็มไปด้วยความรู้สึกที่ถูกชกหมัดหนึ่ง “ขอ……ขอแต่งงานหรือ หลานมีคนรักแล้วหรือ อยู่ที่เมืองหนานหรือ เป็นลูกสาวของตระกูลไหนหรือ พ่อแม่ของหลานรู้หรือไม่”
เขาโยนคำถามมาเป็นพรวน ทำให้สีหน้าท่าทางของลู่เซิ่นขรึมลง เขากวาดตามองอาสามครั้งหนึ่ง ตอบพร้อมกับยิ้มอย่างไม่เป็นธรรมชาติ “ผมก็ไม่รู้ว่า ตอนนี้ผมจะแต่งงานแล้วจะมีเรื่องวุ่นวายเยอะขนาดนี้”
อาสามรีบยิ้มประจบ “ไม่ใช่ว่าอาเป็นห่วงเธอหรือ!”
“เป็นห่วงนั้นไม่ต้อง…….” ลู่เซิ่นหยุดพูดอย่างมีนัยยะอยู่ชั่วครู่
อาสามรีบเอ่ยว่า “ถ้ามีเรื่องอะไรอยากให้พวกเราช่วยเหลือ ก็เอ่ยพูดมาเลย! ถึงอย่างไรก็เป็นเรื่องใหญ่ในชีวิตหลาน พวกเราที่เป็นอากับลุง ไม่ปฏิเสธหน้าที่นี้แน่นอน สามารถช่วยได้ก็จะช่วยหมด!”
ใบหน้าของลู่เซิ่นปรากฏรอยยิ้มขึ้นมาอีกครั้ง เขาพยักหน้าให้กับอาสาม “อย่างนั้นก็แบบนี้แล้วกัน หลังจากนี้อาจจะมีเรื่องไม่น้อยให้คุณอาช่วยเหลือ”
เอ่ยจบแล้ว เขาก็ไม่สนใจสีหน้าความรู้สึกหลากหลายที่ปรากฏอยู่บนใบหน้าของคุณอาคุณลุง เดินเข้าไปด้านในด้วยตัวเอง
อาสามยกมือปาดเหงื่อข้างขมับ รู้ซึ้งว่าตัวเองเหมือนจะตกเข้าไปในหลุมที่ฝังไว้ของลู่เซิ่นเข้าแล้ว
น้าชายยืนบ่นอยู่ด้านหลังเขาว่า “เมื่อกี้นายพูดจาใหญ่โตอะไรกันน่ะ! สามารถช่วยได้ ล้วนช่วย! ลู่เซิ่น เด็กเปรตนี่แค่มองก็รู้แล้วว่าไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ ถ้าหากให้พวกเราสร้างเรื่องขึ้นมาจะทำอย่างไร!”
อาสามไม่ได้หันกลับไป น้าชายก็ถูกคนที่อยู่ข้างๆคนหนึ่งถลึงตาใส่ “นายเสียงเบาหน่อย! ลู่เซิ่นยังเดินไปได้ไม่ไกลนะ!”
อาสามถึงได้หาความน่าเกรงขามของตัวเองกลับมาได้ หันหน้ากลับไปมองน้าชาย “อย่างนั้นนายมาสิ ลู่เซิ่นบอกว่าต้องการให้ช่วย นายสามารถปฏิเสธได้หรือ”
น้าชายถูกคนมากขนาดนี้ตอกกลับมา สีหน้าบนใบหน้าก็มีแต่โทสะ “พูดว่าจะขอแต่งงานอะไร ฉันว่าเขากลับมาเพื่อสร้างปัญหามากกว่า!”
เพียงแต่ว่าในครั้งนี้เขาพูดเสียงเบา คนที่อยู่ด้านข้างล้วนไม่ได้ยิน
ลูกพี่ลูกน้องอีกคนหนึ่งเขยิบเข้ามา เอ่ยเสียงเบาว่า “นายได้ฟังความหมายของลู่เซิ่นแล้ว……หลังจากนี้เขาจะกลับมาบ่อยๆใช่หรือไม่”
อาสามไม่ได้พูดอะไร เพียงแต่ส่ายหน้าอย่างไม่รู้แน่ชัด
ตอนนี้เขาแทบจะอดทนไม่ได้ที่จะย้อนกลับไปก่อนหน้านี้ไม่กี่วัน วันที่มองส่งเครื่องบินของลู่เซิ่นบินจากไป และโบกไปยังคนที่พูดว่าลู่เซิ่นจะกลับมาบ่อยๆอย่างแรงครั้งหนึ่ง
พูดอะไรพล่อยๆ! ปากเสีย!
…….
แม้ว่าลู่เซิ่นจะไม่ได้ยินคำพูดของตาแก่เหล่านั้น แต่ก็สามารถเดาออกได้อย่างไม่ใช่ก็ใกล้เคียง
แต่ว่าเขาไม่ได้วางแผนนำคำพูดซุบซิบนินทาเหล่านั้นมาใส่ใจ
“ฉันจะพักผ่อนหนึ่งชั่วโมง ถึงเวลาแล้วก็เข้ามาเรียกฉัน” เขาเดินไปถึงหน้าประตูห้องตัวเองแล้ว ก็หันหน้ากลับมากำชับกับหลินหยัง
นัยน์ตาของหลินหยังมีแววประหลาดใจพาดผ่าน
เขาติดตามลู่เซิ่นก็คุ้นชินกับการใช้ชีวิตบินไปทั่วโลกนานแล้ว ตลอดมาต้องพักผ่อนให้เต็มที่บนเครื่องบิน เมื่อลงจากเครื่องบินก็จะเข้าสู่สภาวะการทำงาน
แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ลู่เซิ่นลงจากเครื่องบินแล้ว ร้องขอว่าต้องการจะพักผ่อนสักครู่
แต่หลินหยังก็ไม่ได้ถามอะไรมาก และพยักหน้ารับคำไป
ลู่เซิ่นเดินเข้าไปในห้อง ปิดประตูแล้ว ความเหนื่อยล้าบนร่างกายเหมือนกับถูกคลื่นทะเลกระแทกม้วนเข้าไปทั้งร่าง
ตลอดมาเขาสามารถพักผ่อนบนเครื่องบินได้สบายๆ แต่วันนี้กลับไม่เหมือนกัน เขาไม่เพียงแต่ได้นอนแค่ไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น แต่เมื่อหลับไปแล้วก็ยังฝันร้ายด้วย
เขาใช้ชีวิตมานานขนาดนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่รู้สึกว่าการบินสิบกว่าชั่วโมงนั้นสามารถทำให้ผู้คนอ่อนล้าเสียจนดูไม่ได้
ดังนั้นเขาจึงไม่ได้เสียเวลาอีก อาบน้ำอย่างง่ายๆ และขึ้นไปนอนบนเตียง
ครั้งนี้ อาจจะเป็นเพราะว่ารู้สึกเหนื่อยแล้วจริงๆ เขาไม่ได้ฝันอีก และหลับไปอย่างรวดเร็ว
ส่วนโทรศัพท์มือถือที่ถูกเขาลืมว่าปิดเครื่องไปนั้น ก็ถูกวางไว้บนหัวเตียงอย่างง่ายๆ ไม่ได้ถูกเหลือบมองสักแวบหนึ่ง
……
คนรับใช้ในบ้านใหญ่นั้นจัดเตรียมทำความสะอาดห้องหับให้กับลู่เซิ่นและหลินหยังเรียบร้อยนานแล้ว ลู่เซิ่นไปพักผ่อนแล้ว หลินหยังก็เลยว่างขึ้นมา
เอกสารที่ต้องจัดเตรียม เขาก็จัดเตรียมเรียบร้อยแล้วตอนที่อยู่บนเครื่องบิน และพักผ่อนเพียงพอแล้วบนเครื่องบินเช่นกัน คราวนี้จู่ๆก็ว่าง ชั่วขณะหนึ่งที่ไม่รู้ว่าควรจะทำอะไร
แต่ต้องขอบคุณเหล่าผู้อาวุโสของตระกูลลู่ สภาพการณ์ที่ไม่มีอะไรทำของเขานั้นไม่ได้อยู่นานมากเท่าไร
หลังจากนั้นไม่กี่นาที ประตูห้องของหลินหยังก็ถูกเคาะ
คนที่เขามาไม่ใช่คนอื่น แต่เป็นอาสาม
“เสี่ยวหลิน” อาสามเห็นหลินหยังเปิดประตูด้วยตัวเองแล้ว ก็ยิ้มตาหยี พยายามตีสนิทด้วย “เป็นอย่างไรบ้าง ห้องที่คนรับใช้จัดเตรียมให้นั้นเหมาะสมกับความคุ้นเคยของนายหรือไม่ มีอะไรที่ไม่คุ้นชินก็ให้เรียกคนรับใช้ เอ่ยออกมาได้เลย ไม่ต้องเกรงใจ”
ใบหน้าของหลินหยังมีรอยยิ้มสุภาพเกรงใจประดับอยู่ “ไม่มีครับ ห้องจัดเตรียมเก็บกวาดได้ดีมาก ลำบากให้คุณแล้ว”
น้ำเสียงสุภาพของเขานั้นได้ใจของอาสามอย่างเห็นได้ชัด
พวกเขาเหล่ากลุ่มผู้อาวุโสที่บ้านเกิดมักจะเผชิญหน้ากับลู่เซิ่นด้วยสภาพจิตใจที่ซับซ้อนมาก
ด้านหนึ่ง พวกเขาก็จำเป็นต้องพึ่งพาผลประโยชน์ที่ลู่เซิ่นให้ จึงจะสามารถรักษาสภาพการใช้ชีวิตที่ใช้เงินล้างผลาญแบบนี้เอาไว้ได้ ดังนั้นจึงต้องใช้ชีวิตโดยการมองสีหน้าของลู่เซิ่นอยู่บ้าง แต่อีกด้านหนึ่ง พวกเขาก็รู้สึกว่าตัวเองเป็นผู้อาวุโสของลู่เซิ่น ดังนั้นเมื่อเผชิญหน้ากับท่าทางไม่แยแสของลู่เซิ่นที่มีต่อพวกเขาแล้ว ก็รู้สึกไม่ยอมเช่นกัน
คราวนี้เมื่อมองไปที่หลินหยังที่มีท่าทางสุภาพเรียบร้อยแล้ว รอยยิ้มบนใบหน้าของอาสามก็มีความจริงใจหลายส่วน เขาไม่รอให้หลินหยังเชื้อเชิญ ก็เดินเข้าไปในห้องของหลินหยังแล้ว และพูดคำพูดไร้สาระอย่างมีอะไรที่ต้องการ ก็ให้รีบพูด ไม่ต้องเกรงอะไรเทือกนี้อีกหลายประโยค
และก็เป็นเพราะว่าหลินหยังนั้นเต็มไปด้วยความอดทนที่ฝึกมาจากการพบปะกับลูกค้า ถึงได้สามารถรักษาใบหน้าที่มีรอยยิ้มเอาไว้ได้ ถ้าเปลี่ยนเป็นตัวลู่เซิ่นเองที่อยู่ตรงนี้ คาดว่าคงไล่อาสามออกไปนานแล้ว
ไม่รู้ว่าผ่านไปกี่นาทีแล้ว อาสามที่พูดจาอ้อมไปอ้อมมาพอสมควรก็เอ่ยถึงประเด็นสำคัญที่เก็บซ่อนเอาไว้ออกมาในที่สุด “ลู่เซิ่นบอกว่า…….เขากลับมาที่นี่เพื่อขอแต่งงาน นาย……รู้หรือไม่ว่าคนที่ลู่เซิ่นจะขอแต่งงานด้วยนั้น เป็นลูกสาวของตระกูลไหน พวกเราจะได้เตรียมตัวกันให้เรียบร้อยตั้งแต่เนิ่นๆ”
หลินหยังแอบถอนหายใจ
อาสามคนนี้มีเรื่องอยากจะถามถึงได้มาหาอย่างที่คิดเอาไว้เลย
ถึงแม้ว่าจะนินทาอยู่ในใจ แต่ใบหน้าของเขายังคงมีรอยยิ้มสุภาพประดับอยู่เหมือนเดิม พลางส่ายหน้าเบาๆ “ผมก็ไม่ทราบแน่ชัดเช่นกันครับ