Flash Marriage เธอต้องแต่งงานกับฉัน - ตอนที่ 1107
บทที่1107 ไม่มีที่ซ่อน
ถังย่าเหมือนกับหุ่นยนต์ที่ไม่จำเป็นต้องพักผ่อนจริงๆ ยามเช้าเช่นนี้ก็ไม่มีหลับไม่มีนอน และตอบข้อความกลับในทันที : “อีเมลนิรนามเหรอ เป็นแบบไหน”
ฉินซีครุ่นคิดอยู่สักพัก แล้วก็ตอบกลับไปว่า : “ส่งข้อความคุยจะไม่ค่อยชัดเจนเท่าไหร่ วันนี้พอจะว่างมาเจอกันหน่อยไหม”
ฝั่งถังย่าใช้เวลาครึ่งนาทีก่อนจะตอบกลับ : “ได้สิ ฉันมีเวลาให้คุณในตอนเช้า ประมาณเก้าโมงมาหาได้เลย”
แน่นอนว่าฉินซีตอบตกลง
เธอวางมือถือลง แล้วเดินเข้าไปที่ห้อง เธอหยุดเดินเมื่อผ่านกระจกอีกครั้ง
ผิวสีแดงที่เกิดการใช้น้ำร้อนอาบน้ำได้จางหายไปแล้ว อยู่ภายใต้แสงที่สว่าง ใบหน้าที่เหนื่อยล้าของเธอช่างไม่มีที่ให้ซ่อนได้จริงๆ
ฉินซีถอนหายใจเบาๆ แล้วนั่งลง จากนั้นก็หยิบเครื่องสำอางออกมา
ดูเหมือนว่าถ้าไม่แต่งหน้าเข้มสักหน่อย จะไม่สามารถปกปิดใบหน้าที่เหนื่อยล้านี้ได้
และเธอก็ไม่ต้องการให้ถังย่าเห็นสภาพที่เหนื่อยล้าของเธอ
——ถ้าหากถังย่าคือผู้ส่งที่ส่งอีเมลนั้น อย่างนั้นจุดประสงค์ในการส่งอีเมลของเธอก็คงต้องการจะปั่นป่วนก่อความวุ่นวายใจให้กับตัวเอง
ฉินซีไม่ต้องการให้เธอรู้ว่าแผนการของเธอนั้นสำเร็จแล้ว
ขณะที่กำลังคิดๆอยู่ ฉินซีก็ทาแป้งรองพื้นบนใบหน้า แต่ทาหนาไปหน่อย จากนั้นก็หยิบคอนซีลเลอร์ที่ปกติทุกวันไม่เคยใช้นำออกมาใช้
แล้วแต่งแต้มใบหน้าอย่างพิถีพิถัน จากนั้นฉินซีมองซ้ายแลขวาใบหน้าตัวเองจนเป็นที่พอใจถึงได้หยุดลง
ใบหน้าตอนนี้ ต่อให้จ้องหน้าตัวเองอย่างละเอียด ก็มองไม่เห็นถึงความผิดปกติ
อย่างมากก็แค่แปลกใจสงสัยทำไมตัวเองถึงได้แต่งหน้าเข้มขนาดนี้
คำถามแบบนี้ไม่ได้อยู่กรอบความคิดของฉินซีอยู่แล้ว
หลังจากที่เธอเก็บเครื่องสำอางเสร็จสรรพเรียบร้อย เธอเก็บลุกขึ้นมองอีกครั้ง เวลาได้ผ่านไปสักพักแล้ว
ถ้าลงไปทานอาหารเช้าตอนนี้ บวกกับเวลารถติดอีก คงไปหาถังย่าได้ตามเวลาพอดี
เวลาได้ถูกวางไว้หมดแล้ว เธอก็ไม่เวลาว่างไปคิดเรื่องของลู่เซิ่น ว่ามีอะไรที่ปิดบังซ่อนเร้นตัวเองอยู่หรือเปล่า
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ ฉินซีก็ไม่อยากจะเสียเวลาอีก ลุกขึ้นแล้วพร้อมที่จะออกไป
แต่คาดไม่ถึงว่าหลังจากที่ทานอาหารแล้ว ทำการเติมเครื่องสำอางเสร็จเตรียมพร้อมที่จะออกไป ลู่เซิ่นกลับได้โทรวิดีโอคอลมาหา
ฉินซีหยุดชะงักไปสองสามวินาที สุดท้ายก็กดรับสาย
ใบหน้าของลู่เซิ่นจึงได้โผล่อยู่ในหน้าจอโทรศัพท์
เขาดูเหมือนจะเหนื่อยล้าเล็กน้อย คิ้วก็มีการขมวดขึ้น
แต่ว่าแวบแรกสิ่งที่ฉินซีมองเห็นกลับเป็นฉากหลังของเขา
——ตอนนี้ที่ที่เขาอยู่ไม่ใช่โรงแรมที่เขาเคยพักเป็นประจำ
ไม่ว่าจะเป็นโรงแรมที่หรูหรา ผ้าปูที่นอนสีขาวหิมะที่ดูแปลกตาไม่มีการตกแต่งใดๆ แต่ด้านหลังของลู่เซิ่น ฉินซีเห็นผ้าห่มสีน้ำเงินที่อยู่บนเตียงได้อย่างชัดเจน
เขาอยู่ที่ไหนกัน
ฉินซีอดไม่ได้ที่อยากจะถาม
แต่คำถามที่เธอรวบรวมไว้ตั้งแต่เมื่อวานยังไม่ทันเอ่ยปากถาม คนขับรถก็ได้เดินเข้ามาบอกเธออย่างเงียบๆว่าถึงเวลาเดินทางแล้ว
ฉินซีจึงทำได้แค่กัดฟัน แล้วเก็บคำถามทั้งหมดไว้ แล้วบอกลากับลู่เซิ่น
ฉินซีครุ่นคิดอย่างใจเย็น
หลังจากที่ไปเจอถังย่าเพื่อที่จะได้ข้อมูลจากถังย่า มาแล้วค่อยติดต่อกลับลู่เซิ่นแล้วกัน เวลาคงก็ไม่น่าจะเกินเที่ยง
บางทีข้อมูลที่ได้จากถังย่าอาจจะช่วยคลายความสงสัยของเธอได้
ถึงเวลานั้นเธอโทรหาลู่เซิ่นจะได้ไม่ต้องเหมือนตอนนี้ที่แบกรับภาวะความกดดันในใจที่หนักหน่วงเช่นนี้
เมื่อคิดเช่นนี้ เธอก็เก็บโทรศัพท์อย่างไม่ลังเล แล้วขึ้นรถไป
เมื่อวานคนขับรถได้มาสวนเหวินช่วงแล้วรอบหนึ่ง วันนี้ขับรถจึงชำนาญทางขึ้น เลือกเส้นทางที่ไม่ค่อยมีรถติด และแล้วก็ส่งฉินซีถึงที่บริษัทถังย่าได้ตามเวลา
ถังย่าก็ได้รออยู่ที่หน้าประตูแล้ว
“เธอคนเดียวเหรอ” ฉินซีลงจากรถแล้วมองไปรอบๆ
ถังย่าพยักหน้า : “ใช่ เรื่องอีเมลของคุณฉันคนเดียวก็สามารถจัดการได้จ้านเซินได้ออกไปช่วยคุณติดต่อหอศิลป์ อีกสักพักถึงจะกลับมา”
ฉินซีจึงพยักหน้าและไม่มีการพูดจาใดๆ
ความจริงที่เธอมาวันนี้ ไม่เพียงแต่จะมาสังเกตถังย่า มากกว่านั้นคืออยากจะสังเกตจ้านเซินด้วย
เมื่อวานเธอถูกดึงดูดด้วยสายตาและการกระทำของจ้านเซิน เมื่อเธอกลับไปถึงบ้านแล้วคิดทบทวนอย่างถี่ถ้วน พบว่าตัวเองนั้นใจไม่นิ่งเย็นพอ แล้วดำเนินการสำรวจจ้านเซิน แต่เมื่อกลับบ้านไปถึงกับนึกไม่ออกว่าจ้านเซินมีลักษณะอย่างไร
หลังจากที่ใช้เวลาทั้งคืนในการฝึกใจให้นิ่ง และฉินซีก็ปรับสภาพอารมณ์ได้แล้ว เดิมทีวันนี้จะถือโอกาสนี้เพื่อสำรวจจ้านเซิน
ไม่ว่าจะเกี่ยวหรือไม่เกี่ยวข้องกับอีเมลนิรนาม ฉินซีก็ไม่ต้องการปล่อยคนที่สามารถคลุกคลีกับเขาเพื่อใช้เป็นโอกาสในการสำรวจเขา
แต่ว่าเขากลับไม่อยู่…..
ฉินซีผิดหวังเล็กน้อยอีกครั้ง แต่ว่ายังดีที่ใบหน้าไม่ได้มีการแสดงอาการออกมา และก็เดินตามถังย่าเข้าไป
ยังคงเป็นห้องประชุมเดียวกันกับเมื่อวาน เพียงแต่ไม่มีจ้านเซิน ทำให้ห้องประชุมดูว่างเปล่า
ฉินซีหยิบคอมพิวเตอร์แล็ปท็อปออกมาวางไว้บนโต๊ะ แล้วผลักไปหาถังย่า : เมื่อวานมีคนใช้อีเมลนิรนามส่งข้อความมาให้ฉัน เป็นข้อความคลิปเสียงของลู่เซิ่นที่คุยกับคนอื่น”
เธอพูดไปด้วย สายตาก็ตั้งใจมองสังเกตถังย่าไปด้วย เพื่อจะจับผิดถึงความผิดปกติบนสีหน้าของเธอ
แต่ถังย่าก็เหมือนกับหุ่นยนต์ ใบหน้าไม่มีความเปลี่ยนแปลง แม้แต่กล้ามเนื้อก็ไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ มีเพียงแค่การขมวดคิ้วเบาๆเท่านั้น แล้วยื่นมารับแล็ปท็อปแล้วทำการเปิด : “คลิปเสียง”
เธอไม่มีท่าทีที่ผิดปกติสักนิดเดียว แต่ก็เงียบมากจนเป็นที่น่าสงสัย ฉินซีขมวดคิ้ว แต่ก็พยักหน้าให้ : “ใช่ค่ะ ไม่มีข้อความอักษรใดๆ มีแต่ข้อความคลิปเสียง”
ถังย่าจ้องดูหน้าต่างกล่องข้อความเข้าอยู่สักครู่ จากนั้นจึงหันมามองฉินซี :”ฉันสามารถเปิดฟังได้ไหม”
ฉินซีเม้มปาก สุดท้ายก็พยักหน้าให้ : “คุณฟังได้เลย”
ถังย่าคลิกปุ่มเล่น และเสียงของลู่เซิ่นก็ดังขึ้นอีกครั้งจากคอมพิวเตอร์แล็ปท็อป
ฉินซีรู้สึกโชคดีที่เมื่อวานตัวเองนั้นเปิดฟังถึงสองครั้ง เพราะฉะนั้นได้ยินเสียงพูดของลู่เซิ่นตอนนี้ ทำให้อารมณ์ทางจิตใจรู้สึกแปรปรวนน้อยลง สามารถแยกความคิดตัวเองเพื่อไปสังเกตความเปลี่ยนแปลงท่าทีของถังย่า
ถังย่ามีการขมวดคิ้วเล็กน้อยขณะที่กำลังฟังคลิปเสียง ท่าทีที่ตั้งใจฟัง ทำให้ไม่เห็นถึงความผิดปกติ
คลิปเสียงที่มีความยาวครึ่งนาทีใกล้จะจบลง ฉินซีก็ยังสังเกตไม่เห็นถึงความผิดปกติบนตัวถังย่า
“เมื่อได้ฟังเนื้อหาจากคลิปเสียงแล้ว คลิปไม่ได้มีร่องรอยของการตัดต่อ” ถังย่าเหมือนจะไม่ได้สังเกตเห็นว่าฉินซีได้ใช้สายตาจ้องมองที่ตัวเธอ เมื่อคลิปเสียงได้เล่นจบลง ก็ได้สรุปทันที
การสังเกตของฉินซีถูกเบี่ยงเบนด้วยประโยคนี้ของเธอ : “ไม่มีการตัดต่อ?”
ถังย่าส่ายหัว : “บางครั้งมักจะมีคนใช้คำพูดของบุคคลสาธารณะที่กล่าวปาฐกถาต่างๆเพื่อเจตนาที่ไม่ดี และใช้คลิปเสียงบางช่วงบางตอนที่ทำให้ผู้คนเข้าใจผิด แต่ว่าการตัดต่อแบบนี้ต่อให้ตัดต่อเนียนแค่ไหน ถ้าตั้งใจฟังเสียงที่อยู่รอบข้างในคลิปอย่างถี่ถ้วน ก็สามารถได้ยินถึงสิ่งผิดปกติได้ ดังนั้นในคลิปเสียงส่วนใหญ่ที่แพร่กระจายทางอินเตอร์เน็ตค่อนข้างที่จะไม่ชัดเจน