Flash Marriage เธอต้องแต่งงานกับฉัน - ตอนที่ 1115
บทที่ 1115 รอจนกว่าจะเรื่องทั้งหมดจะจบลง
ฝั่งลู่เซิ่นที่อยู่เมืองหนานที่ไกลออกไป เขาไม่รู้เลยสักนิดว่าตอนนี้จิตใจของฉินซีได้แตกสลายไปเสียแล้ว
เขาตอบฉินซีกลับไป จิตใจดีขึ้นมาหน่อยเนื่องจากดูอะไรเกี่ยวกับอยู่กับประสบการณ์การจัดงานแต่งงาน หลังจากรับโทรศัพท์ ก็นอนหลับสบายตลอดทั้งคืน
เช้าวันต่อมา เมื่อเขาตื่นนอน ยิ่งอยากที่จะโทรหาฉินซีสุดที่รักของเขา
เขาจำได้ว่าเมื่อคืนเธอบอกว่ามีเรื่องอะไรจะคุยกับเขา และเขาก็รอไม่ไหวที่จะบอกฉินซีเรื่องที่จะจัดงานแต่งชดเชยให้เธอเหมือนกัน
เขาอยากจะเห็นท่าทางของเธอเมื่อได้ยินเกี่ยวกับเรื่องนี้
รอให้ทุกอย่างมันจบ
ลู่เซิ่นกำหมัดแน่ สาปแช่งหลินยี่อยู่ภายในใจ
ไม่มีใครไปเป็นเพื่อน แม้แต่เวลาที่จะใช้อยู่กับเมียตัวเองยังถูกยึดไปอีก
เมื่อตั้งแต่มีเรื่องของหลินยี่เข้ามา เขาก็แทบไม่มีเวลาที่จะได้อยู่กับฉินซี
รอให้ทุกอย่างจบลง เขาจะชดเชยเรื่องงานแต่งและอะไรหลายอย่างเพื่อชดเชยให้กับฉินซีด้วย
ฉินซีจะทำยังไงนะ เมื่อรู้ว่าเขาจะจัดงานแต่งระหว่างเราอีกรอบ
จะเซอร์ไพรส์? หรือตื่นเต้น?
เขาแทบจะรอเวลานั้นไม่ไหวแล้ว
แต่เมื่อวิดีโอคอลไป เธอกลับไปไม่รับเสียอย่างนั้น
ลู่เซิ่นขมวดคิ้ว ก่อนจะต่อสายตรงหาเธอทันที
แต่ก็ไม่มีใครรับสาย
เขาอดรนทนไม่ไหวอีกต่อไป เปลี่ยนเป็นต่อสายหาพ่อบ้านแทน
พ่อบ้านรับโทรศัพท์อย่างรวดเร็วตามปกติ “ครับ ประธานลู่”
ลู่เซิ่นถามด้วยน้ำเสียงห้วน “ฉินซีอยู่ไหน? ทำไมฉันโทรไปแล้วเธอไม่รับ”
พ่อบ้านนิ่งไปชั่วครู่ ก่อนจะตอบกลับ “คุณผู้หญิงบอกว่าเพลียนิดหน่อยครับ ทานข้าวเสร็จก็ขึ้นไปพักผ่อนที่ห้อง คนรับใช้บอกเธอปิดไฟในห้องไปแล้ว”
“ทำไมนอนเร็วจังล่ะ?” ลู่เซิ่นยกข้อมือขึ้น มองไปที่นาฬิกาข้อมือของตน เป็นเวลาแค่สองทุ่มเท่านั้นเมื่อเปลี่ยนเป็นเวลาของประเทศ F
“ช่วงนี้คุณผู้หญิงดูเหนื่อยมากครับ” พ่อบ้านบอกตามความจริง “ตอนเธอกลับมาเมื่อเช้านี้ หน้าตาดูอ่อนล้ามาก”
“งั้นไม่เป็นไร” ลู่เซิ่นขมวดคิ้วสักพัก ก่อนสั่งการไปยังพ่อบ้าน “ฉันจำได้ว่าแม่ของฉันส่งรังนกมาให้เมื่อปีที่แล้ว ยังไม่ได้กินเลย หาเวลานำไปให้เธอทานเสียล่ะ ดูแลเธอหน่อย อย่าปล่อยให้ร่างกายอ่อนล้า”
พ่อบ้านตอบรับคำ
ลู่เซิ่นรู้สึกว่า พ่อบ้านดูเหมือนมีอะไรบางอย่างที่อยากจะพูด แต่ก่อนที่เขาจะได้ฟัง หลินหยังกลับเคาะประตูขัดขึ้นมาเสียก่อน “ประธานลู่ ถึงเวลาแล้วครับ”
เวินจิ้งถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำที่ชานเมืองหนาน เป็นที่รู้กันดีมาโดยตลอดว่าที่นั่นมีการจัดการที่เข้มงวดที่สุด แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่คนทั่วไปจะเข้าไปเยี่ยมได้ง่าย
ถึงแม้ลุงรองจะหาคนไว้แล้ว หน้าตาของตระกูลลู่ในเมืองหนานนับว่าใหญ่พอตัว แต่เวลาเยี่ยมผู้ต้องขังก็ค่อนข้างเข้มงวด ไม่สามารถต่อรองเวลาให้นานกว่าเดิมได้
เมื่อนึกถึงสิ่งนี้ ลู่เซิ่นก็ไม่มีความอดทนที่จะรอให้พ่อบ้านพูด เขาตัดบทด้วยความเร่งรีบ “มีอะไรไว้คุยกันทีหลัง” ก่อนที่จะวางสายไป
หลินหยังไม่รู้ว่าเขาคุยโทรศัพท์กับใคร แต่เมื่อเห็นว่าลู่เซิ่นออกมาแล้ว เขาจึงเดินตามไป
ไม่มีใครซักไซ้ถาม ดังนั้นจึงไม่มีใครรู้ว่าพ่อบ้านลังเลอยู่นาน เรื่องที่ว่าจะบอกดีไหมว่ามีคนแอบเข้ามาในบ้าน
แม้ว่าฉินซีจะสั่งเอาไว้ แต่พ่อบ้านก็รู้ว่าเรื่องนี้สำคัญมากและไม่สามารถซ่อนมันไว้จากลู่เซิ่นได้ตลอด
แต่สิ่งที่เขาไม่คาดคิดมาก่อน คือลู่เซิ่นจะกังวลเกี่ยวกับเรื่องที่นี่ และไม่สามารถรอมันได้
เมื่อฟังน้ำเสียงที่วุ่นวายในอีกด้านหนึ่งของโทรศัพท์ พ่อบ้านก็ถอนหายใจเบา ๆ
แต่ไม่เป็นไร อย่างไรก็ตามมันก็คงไม่ได้ก่อให้เกิดผลกระทบใด ๆ ที่สำคัญนัก ดังนั้นไว้เขาจะหาโอกาสคุยกับลู่เซิ่นในภายหลังเอง
พวกเขาต่างก็ไม่มีใครรู้ได้ ว่าความคิดที่สวนทางกันของคนสองคน จะบังเอิญนำไปซึ่งความผิดพลาด ที่ทำให้ลู่เซิ่นและฉินซีต้องแยกจากกันไปอีกนาน
ต่อมาลู่เซิ่นจะตระหนักถึงช่วงเวลานี้ได้ เขาอดคิดไม่ได้ ถ้าหากวันนั้นตัวเองหยุดฟังที่พ่อบ้านพูดสักนิด เรื่องมันก็คงจะไม่เป็นแบบนี้
ถ้าแค่บนโลกนี้ จะไม่มีโอกาสของคำว่า “ถ้าหาก”
ในตอนนี้เขาอยู่ในรถ โดยที่ไม่รู้อะไรเลยและกำลังออกเดินทางไปยังเรือนจำในเขตชานเมือง
……
…
ลู่เซิ่นไม่เคยมาเรื่องจำแห่งนี้มาก่อน
ที่นี่สมควรได้รับการขนานนามว่าเป็น “ป้อมปราการแห่งเมืองหนาน” ดูจากภายนอกที่มีความแข็งแกร่งมากราวกับว่าไม่สามารถมีอะไรมากล้ำกรายได้
เมื่อเขาลงจากรถ ผู้คุมในเรือนจำก็มารออยู่ที่หน้าประตูแล้ว
ลู่เซิ่นไม่รู้ว่า ลุงรองของเขาใช้วิธีไหนหรือมีความสัมพันธ์อย่างไรกับผู้คุม ถึงได้สามารถพาเขาเข้ามาในเรือนจำแบบนี้ได้
ผู้คุมปฏิบัติหน้าที่ได้ดีมีความรับผิดชอบ แต่ตอนนี้กลับละเลยเสียงั้น
เขาพาลู่เซิ่นไปที่หน้าห้องเยี่ยมนักโทษ ผู้คุมคนเดิมหยุดฝีเท้า ก่อนที่จะหันมาพูดกับลู่เซิ่นอย่างสุภาพ “รบกวนคุณชายลู่ เข้าไปคนเดียว และไม่นำอุปกรณ์ติดต่อสื่อสารเข้าไปข้างใน ถ้ามีรบกวนนำออกมาด้วยครับ” หลังจากที่เขาพูดสิ่งนี้ ก็เหลือบมองไปยังหลินหยัง
หลินหยังอ้าปากเหมือนต้องการจะพูดอะไร แต่ลู่เซิ่นยกมือห้ามเอาไว้
ที่นี่เป็นสถานที่ ที่นับว่าปลอดภัยที่สุดในเมืองหนาน ถ้าหากเขาเข้าไป ก็คงไม่มีอันตรายใดเกิดขึ้น
หลินหยังพยักหน้า ทำได้แค่ยืนรอลู่เซิ่นอยู่ข้างนอก
ลู่เซิ่นรู้ดีว่า ถึงแม้เขาจะไม่ได้นำโทรศัพท์ออกมาให้ ผู้คุมก็ไม่มีความกล้าที่จะเข้ามาค้นตัวเขาแน่นอน
แต่ตอนนี้เขาไม่มีแผนที่จะฉีกหน้าใครที่นี่ แถมรอบตัวก็ไม่มีอันตรายให้ต้องกังวล นำโทรศัพท์เข้าไปก็ไม่มีประโยชน์อะไร
เขานำโทรศัพท์ของตัวเองมาวางไว้ในมือของหลินหยัง ด้วยความผ่าเผย ละยังตบกระเป๋าของตัวเอง เพื่อแสดงให้ผู้คุมเห็นว่าเขาไม่ได้พกอะไรเข้ามาอีก
ผู้คุมพยักหน้ารับ
ลู่เซิ่นเดินเข้ามาด้วยตัวเอง ก่อนที่ประตูด้านหลังเขาจะปิดลง
ก่อนที่เวินจิ้งจะถูกนำตัวเข้ามาที่นี่ เขาได้มองสำรวจไปรอบๆห้อง
สภาพมันไม่ได้ดีมาก แต่ก็ไม่ได้แย่เหมือนที่เขาเคยจินตนาการไว้ มีโต๊ะเรียบๆวางไว้ตรงกลางห้องในลักษณะแนวนอน ไม่ได้ดูมีอะไรที่พิเศษ
เมื่อไม่มีโทรศัพท์มือถือ เขาก็รู้สึกเบื่อหน่ายขึ้นมาทันที เขาเพียงแค่นั่งนิ่ง คิดแค่ว่าเมื่อเสร็จธุระจากห้องนี้เขาจะใช้ให้หลินหยังออกไปจองชุดแต่งงานให้ฉินซี
ช่วงเวลาแห่งความน่าเบื่อกำลังจะจบลง เมื่อประตูห้องเยี่ยมได้ถูกเปิดออก
ผู้คุมได้นำหญิงสาวคนหนึ่งเข้ามาในห้อง
ลู่เซิ่นหรี่ตาลงเล็กน้อย ทอดมองไปยังผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าอย่างพินิจพิเคราะห์
เธอตัวไม่สูง ทว่าเมื่อใส่เครื่องแบบตัวใหญ่ก็ดูไม่ออกว่าแท้จริงรูปร่างเป็นอย่างไรกันแน่ ใบหน้าเล็กใสไร้เครื่องสำอางนั้นงดงามหมดจด ถ้าบอกว่าสวยมากก็คงไม่ใช่เรื่องโกหก
ผู้คุมปลดกุญแจมือ เธอเดินไปนั่งที่โต๊ะฝั่งตรงข้ามเขาอย่างใจเย็น
ผู้คุมออกไป และปิดประตูทิ้งทั้งสองคนไว้ในห้องเยี่ยมโดยลำพัง
เวินจิ้งมองเขาอย่างพิจารณา ทันใดนั้นก็พูดขึ้นมาว่า “คุณไม่ใช่คนที่นี่”
ลู่เซิ่นเลิกคิ้วขึ้น
ทันทีที่เวินจิ้งพูดขึ้นมา พลันเขากลับจำอะไรบางอย่างขึ้นมาได้อย่างคลุมเครือ
ดูเหมือนเขาจะเคยพบเธอมาก่อน
“คุณเคยอยู่โรงพยาบาลจงซินในประเทศF มาก่อนหรือเปล่า?” ลู่เซิ่นถามขึ้นมาทันใด
ใบหน้าเวินจิ้งเต็มไปด้วยความประหลาดใจ “ใช่ค่ะ”
ลู่เซิ่นถอนหายใจออกมา
เขาไม่ได้จำเวินจิ้งได้ดีเท่าไหร่นัก แต่สามารถจำขึ้นมาได้เพราะมีเรื่องราวของฉินซีเข้ามาเกี่ยวข้อง
วันนั้นฉินซีถูกฉินซึ่งเทียนโยนหนังสือพิมพ์ใส่หน้าที่บริษัทฉินซื่อกรุ๊ป เขาพาเธอไปโรงพยาบาลด้วยตัวเอง เธอคือคุณหมอเวินที่เคยรักษาให้ฉินซี