Flash Marriage เธอต้องแต่งงานกับฉัน - ตอนที่ 1126
บทที่ 1126 จับผู้ชาย
ลู่เซิ่นรีบพูด “ตอนที่ผมมาเมืองหนาน ยังไม่ได้ตัดสินใจจะทำอย่างนี้จริงๆ เรื่องนี้รอช้าไม่ได้ ก็เลยยังไม่ได้คุยกับเธอตรงๆ ตอนอยู่บนเครื่องบินคิดถี่ถ้วนแล้ว แต่ผมไม่อยู่กับเธอ กลัวว่าอธิบายไปไม่ชัดเจน ก็เลยคิดว่าสองสามวันนี้จะรีบจัดการเรื่องให้เสร็จ ค่อยพูดกับเธอให้รู้เรื่อง”
ลู่เหวยไม่พูดอะไรอีก ยังคงขมวดคิ้วนิดหนึ่ง
ลู่เซิ่นพูดต่อไป “พ่อครับ ผมเข้าใจความหมายของพ่อดี กลัวว่าผมจะกลายเป็นคนที่เห็นความรู้สึกของคนอื่นเป็นเรื่องเล่นๆ วางใจเถอะครับ ผมไม่ได้มีความคิดอย่างนั้น เรื่องของเวินจิ้งทั้งหมดนี้เป็นเพราะหลินยี่ ไม่อย่างนั้นผมคงไม่มากวนน้ำให้ขุ่น ผมอยากจะอยู่กับฉินซีอย่างปกติสุข ผมตัดสินใจแล้ว กลับไปจากที่นี่ จะจัดงานแต่งงานกับเธอ ประกาศให้ทุกคนรับรู้”
ลู่เหวยถอนหายใจยาวไม่อาจปฏิเสธได้ ลุกขึ้น
“ลูก..คิดหาทางเอาเองละกัน พ่อสั่งสอนอะไรลูกไม่ได้แล้ว” ลู่เหวยส่ายหน้า เดินออกไปข้างนอก
แต่เขายังไม่ทันเดินออกไปนอกห้องรับแขก อารองก็รีบร้อนเดินเข้ามา “พี่ใหญ่ พี่จะไปไหน อาหารกลางวันเตรียมเสร็จแล้ว ผมมาตามทุกคนไปกินข้าว พี่สะใภ้ล่ะ”
ลู่เหวยพยักหน้า “รู้แล้ว ฉันกำลังจะเรียกเธอ เดี๋ยวพวกเราจะตามไป”
อารองตอบรับ ตัวเองเดินไปห้องอาหารก่อน
ลู่เหวยยืนอยู่ที่เดิมโทรไปหาสูหยิง แต่ถูกเธอตัดสาย
ลู่เหวยส่ายศีรษะอย่างไม่รู้จะทำอย่างไรดี หันไปมองลู่เซิ่น “โทรไปหาแม่ซิ เธอไม่ยอมรับสายพ่อ”
ลู่เซิ่นนึกถึงตอนที่สูหยิงงอนออกไป ก็ไม่รู้สึกแปลกใจ ยิ้มแล้วโทรไปหาสูหยิง
ครั้งนี้สูหยิงกลับรีบรับสายอย่างรวดเร็ว แต่น้ำเสียงแสดงว่าอารมณ์ยังไม่ดีนัก “โทรมาทำไม ไหนบอกว่าไม่ให้แม่อยู่ตรงนั้นไง”
ลู่เซิ่นยิ้ม “อารองบอกว่า อาหารกลางวันเสร็จแล้ว ให้เรียกแม่ไปกินข้าวครับ”
สูหยิงทำเสียงรับรู้ แล้ววางสาย
ลู่เซิ่นถือโทรศัพท์ เงยหน้ามองลู่เหวย จู่ๆ ก็พูดขึ้นโดยไม่มีปี่มีขลุ่ย “พ่อ วันหลังพวกเราได้อยู่ด้วยกันแบบนี้ก็ดีนะครับ”
ลู่เหวยรู้ดีว่า “พวกเรา” หมายถึงใคร แค่นยิ้ม “คิดว่าจะจัดการเรื่องที่อยู่ตรงหน้าให้เรียบร้อยยังไงก่อนเถอะ”
ตอนที่ทั้งสองคนเดินมาถึงห้องอาหาร สูหยิงมาถึงก่อนแล้ว
พอเธอเห็นลู่เหวยเดินมา ก็ตั้งใจสะบัดหน้าไปทางอื่น
ท่าทางเช่นนี้ตั้งใจมากเหลือเกิน จนแม้แต่ลู่เซิ่นเห็นแล้วยังรู้สึกขำขัน
แต่นี่เป็นเรื่องระหว่างลู่เหวยกับสูหยิง เขาไม่คิดจะเข้าไปแทรก
แต่เขายังไม่ทันหุบยิ้ม สายตาของสูหยิงก็กวาดตามามองเขา ขมวดคิ้ว
ลู่เซิ่นรู้สึกว่าไม่ค่อยดี
อย่างที่คิด สูหยิงพูดขึ้นก่อน “ลู่เซิ่น เดี๋ยวกินข้าวเสร็จ ออกไปเป็นเพื่อนแม่เดินเล่นหน่อย”
ลู่เซิ่นได้แต่พยักหน้ารับรู้
เห็นได้ถึงความพยายามเต็มที่ของพ่อครัว อาหารบนโต๊ะมากมายกว่าสองวันก่อน
แต่ลู่เหวยกับสูหยิงรีบเร่งเดินทางมาไกล ไม่รู้สึกอยากอาหาร จึงกินไม่เท่าไรก็อิ่ม
ลู่เซิ่นจึงต้องตามสูหยิงออกไปข้างนอก
สูหยิงบอกว่า “ออกไปเดินเล่น” แน่นอนว่าเป็นข้ออ้าง เธอลากแขนลู่เซิ่น เดินไปทางห้องของเขา ปิดประตูอย่างระมัดระวัง ให้ลู่เซิ่นนั่งลง ตัวเองยืน มองลู่เซิ่นจากมุมที่เหนือกว่า “ลูกรู้มั้ยว่ายัยเวินจิ้งนี่เป็นคนยังไง”
เธอไม่เหมือนอารองกับอาสาม สูหยิงออกไปเดินเล่น คุยกับน้องสาวสามีสองคนไม่เท่าไร ก็รู้เรื่องทรัพย์สินบ้านของเวินจิ้งละเอียดลออ
ลู่เซิ่นยังไม่ทันพูดอะไร เธอก็พรั่งพรูออกมา “ผู้หญิงคนนี้ไม่ธรรมดา! แต่งงานกับคนตระกูลมู่ แล้วยังสนิทสนมกับตั้งหลายคน ร้ายกาจไม่เบา! ลูกคิดจะใช้เธอมาหลอกพวกคุณอา อย่าให้สุดท้ายถูกเธอปั่นหัวซะเอง!”
ลู่เซิ่นยิ้มจนปัญญา รอจนสูหยิงพูดจบ ค่อยพูดขึ้น “แม่ครับ ที่พวกคุณนายพูดน่าเชื่อถือเปล่าครับ แม่ยังไม่รู้เลยเธอเป็นคนยังไงก็ตั้งแง่กับเธออย่างนี้แล้ว”
สูหยิงถลึงตาจ้องเขา “ยังต้องเจอตัวอีกหรือ ผู้หญิงอย่างนี้แม่เจอมาเยอะแล้ว! แม่อยู่มาปูนนี้ไม่ได้อยู่ไปวันๆ! นี่หมายความว่าไงรู้มั้ย อย่างนี้เรียกว่า…”
“แม่!” ก่อนที่สูหยิงจะพูดอะไรที่ไม่น่าฟัง ลู่เซิ่นอดไม่ได้ที่จะตัดบท “ถ้าเธอเป็นอย่างที่แม่ว่า เธอต้องอยากแต่งงานกับผมใจจะขาดถึงจะถูกสิ แต่วันนี้ตอนที่ผมไปพบ เธอปฏิเสธผม”
สูหยิงขมวดคิ้ว “ไม่ตกลง ลูกไปขอแต่งงาน เธอไม่ตอบตกลงอย่างนั้นหรือ”
ลู่เซิ่นแบมือ “ใช่ครับ ผมเกลี้ยกล่อมเธอตั้งหลายรอบ บอกกับเธอด้วยว่า ถ้าแต่งงานกับผม นอกจากจะพ้นข้อหา ยังได้เจอพี่ชายเธอด้วย ขนาดนี้แล้ว ยังปฏิเสธผมไม่มีเยื่อใย เธอไม่ใช่ผู้หญิงประเภทอยากจับผู้ชายแน่ๆ”
สูหยิงครุ่นคิดครู่หนึ่ง ทันใดนั้นก็เหมือนคิดอะไรได้ มองการแสดงออกของลู่เซิ่นที่ดูน่าสงสาร “ลูกนี่จริงๆ เลย…ครั้งแรกเจอกันทำไมให้เธอปั่นหัวหมุนได้ คนเราเพิ่งรู้จักกันครั้งแรก แถมลูกก็พูดทุกอย่างชัดเจน ถ้าหากเธอตอบตกลง นั่นก็ไม่แสดงออกว่าอยากแต่งจนตัวสั่นหรือ อีกอย่างที่จะได้จากลูก ก็มีแค่ได้ออกจากคุกกับเจอหน้าหลินยี่ แม่ถึงได้บอกว่าเธอแผนสูงไง เธอไม่ยอมครั้งนี้ ลูกต้องกลับไปหาอีกแน่ ตอนนั้นลูกต้องเสนอข้อแลกเปลี่ยนมากกว่านี้ นอกจากเธอจะสมหวัง แล้วยังทำให้ลูกประทับใจ ต่อไปจะเอาลูกอยู่ในกำมือ ก็มีโอกาสแล้ว…”
เห็นว่าสูหยิงยิ่งพูดยิ่งไม่มีเหตุมีผล ลู่เซิ่นจำต้องพูดตัดบทเป็นครั้งที่สอง “แม่ครับ เธอเป็นหลานสาวตระกูลหลิน เงินทองไม่ขาด แม่อย่าคิดกับเธอในแง่ร้ายขนาดนั้น”
สูหยิงสีหน้ากลับไม่เห็นด้วย “อะไรเรียกว่าแม่คิดแง่ร้ายกับเธอ ตอนบ่ายแม่เห็นรูปเวินจิ้งจากป้ารองแล้ว ดูสงบเสงี่ยม รู้สึกว่าไม่น่ามีอะไรใช่มั้ย แต่ฉันเจอคนมาเยอะ คนที่ดูไม่มีพิษสงนี่แหละรับมือยาก มีแผนลึกล้ำในใจ ไม่เหมือนฉินซีที่หน้าตาดูออกว่าเจ้าเล่ห์”
ลู่เซิ่นเม้มปาก มองข้ามสูหยิงที่วิจารณ์รูปลักษณ์ของฉินซีในทางร้าย ถามเหมือนกับลองเชิง “แม่พูดอย่างนี้ ถ้าผมแต่งกับเวินจิ้ง สู้แต่งกับฉินซียังจะดีเสียกว่าใช่มั้ยครับ”
สูหยิงกำลังอารมณ์เสีย คิดแต่จะโน้มน้าวให้ลู่เซิ่นล้มเลิกความคิดที่จะแต่งกับเวินจิ้ง ก็เลยตอบไปแกนๆ “ใช่สิ”
ทันใดนั้นลู่เซิ่นยิ้มพราย “แม่เป็นคนพูดเองนะ”
สูหยิงก้มมองลู่เซิ่นยิ้ม รู้สึกว่าตัวเองติดกับบางอย่างเข้าให้แล้ว
แต่เธอไม่ยอมเสียหน้าต่อหน้าลู่เซิ่น พูดขึงขัง “แล้วยังไง ลูกหย่ากับยัยจิ้งจอกตั้งนานแล้วไม่ใช่หรือ ผู้หญิงทะเยอะทะยานขนาดนั้น คงไม่ยอมกลับมาคืนดีกับลูกแน่”
น้ำเสียงของเธอมั่นใจมาก แต่สายตากลับเหลือบมองลู่เซิ่นเป็นระยะ ราวกับต้องการยืนยันอะไรบางอย่าง
ลู่เซิ่นรู้ว่ายังไม่ถึงเวลาสารภาพ จึงตั้งใจปั้นหน้าเรียบเฉยต่อไป ชวนเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “แม่ครับ ยังถือสามั้ย”