Flash Marriage เธอต้องแต่งงานกับฉัน - ตอนที่ 1140
บทที่ 1140 ทุกอย่างได้รับคำอธิบายแล้ว
แต่กฎเกณฑ์บ้า ๆ บอ ๆ ที่ว่า“ต้องยับยั้งชั่งใจความสั่นไหวของความรู้สึก”นั้น กลับคลี่คลายปริศนาได้มากมายยิ่งขึ้น
เพราะอะไรตอนที่ฉินซีอยู่กับถังย่านั้น มักจะรู้สึกว่าถังย่าเหมือนกับหุ่นยนต์ตัวหนึ่ง? ก็เพราะว่าองค์กร“เฟิง”ที่ว่ามานี้ ตั้งแต่แรกก็เอาคนไปปลูกฝังไปทางด้านหุ่นยนต์แล้ว
ไม่เอาความรู้สึก ก็ไม่มีจุดอ่อน ทำให้ศัตรูโจมตีไม่ได้
ตรรกะนี้ไม่ได้เข้าใจยาก แต่ว่ากลับทำให้คนไม่กล้าเห็นด้วย
มีสิทธิ์อะไรที่คนเป็น ๆ จะต้องมากลายเป็นหุ่นยนต์ที่รู้จักแต่เอาไว้ใช้งานด้วยล่ะ?
ฉินซีนึกถึงความทรงจำในช่วงที่ตัวเองสิบขวบนั้น ประโยคหนึ่งที่ตรงไปตรงมาของผู้หญิงที่ใบหน้าแหลมคมคนนั้นในตอนที่ทะเลาะกับฟางฟางในห้องทดลอง “สิ่งที่องค์กรต้องการคือหุ่นยนต์ ไม่ใช่คน”
เขาพูดอย่างสมควรตามหลักการ ราวกับว่าเป็นคำพูดที่ไม่มีความถูกต้องไปกว่านี้อีกแล้ว ไม่จำเป็นจะต้องมีความสงสัยใด ๆ
แต่ว่านี่ไม่ใช่หลักการที่ฉินซีจะสามารถเข้าใจได้
ดูไปแล้วฉินซีที่อายุสิบสามไม่สามารถเข้าใจได้ เพราะฉะนั้นเธอจึงเปลี่ยนเป็นมาถามว่า “งั้น……ถ้าหากว่าฉันเข้าร่วมองค์กรนี้ ก็จะต้องเป็นแบบนี้ด้วยเหรอคะ?”
ฟางฟางไม่ได้ส่ายหน้า และก็ไม่ได้พยักหน้า เขาเพียงแต่มองฉินซีตรง ๆ “เรื่องกฎเกณฑ์พวกนี้ ที่จริงไม่ควรเป็นฉันที่ต้องมาสอนเธอ หลังจากที่เข้าร่วมกับองค์กรอย่างเป็นทางการแล้ว เธอจะมีบทเรียนที่มากกว่าเดิมอีกมาก จะมีคนมาอบรมเธอโดยเฉพาะ มาสอนเธอว่าอยู่ในองค์กร จะต้องเรียนรู้อะไร และจะต้องทำอะไรบ้าง”
ฉินซีที่สิบสามขวบขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย “พวกเขาจะมาสอนฉัน ว่าจะต้องควบคุมความรู้สึกตัวเองยังไงเหรอคะ?”
น้ำเสียงของฟางฟางนั้นเบามาก ถ้าไม่ฟังดี ๆ ก็คงจะไม่ได้สนใจ “ฉันหวังว่าเธอ จะเรียนรู้ไม่เป็นตลอดไป”
แต่ว่าฉินซีได้ยินแล้ว
เพียงแต่ว่าเธอยังไม่ทันได้พูด ก็ได้ยินฟางฟางกระแอมไอขึ้น และน้ำเสียงจริงจังขึ้นมา “หลังจากที่เธอเข้าสู่องค์กรอย่างเป็นทางการแล้ว ฉันก็จะไม่ได้เป็นนักทดสอบของเธออีกแล้วนะ”
ครู่เดียวมุมปากของฉินซีก็ตกลงมา “อ๋า? ทำไมละคะ!”
อาจจะเพราะว่าฟางฟางรู้สึกว่าท่าทีของเธอช่างดูน่าขำ จึงอดไม่ได้ที่จะคลี่ยิ้มมุมปากออก “เพราะว่าก่อนที่เธอจะได้เข้าองค์กรนั้น ยังถือได้ว่าเป็น‘ของทดลอง’ต้องการคนมาคอยจับตาดูสถานการณ์ของเธออยู่ตลอดเวลา” ฟางฟางพูดขึ้น “แต่ว่าพอกลายเป็นสมาชิกองค์กรคนหนึ่งแล้ว ก็แสดงว่าเธอเหมาะสมกับองค์กรทุกอย่าง แน่นอนว่าก็ไม่ต้องการฉันแล้วไงล่ะ”
ฉินซีเม้มปากเล็กน้อย “งั้นต่อไปเราก็จะไม่ได้เจอกันแล้วเหรอคะ?”
ฟางฟางยื่นมือออกมาลูบหัวเธอ “ไม่หรอก ฉันเคยบอกเธอแล้วไม่ใช่เหรอ ว่าภายในองค์กรนั้นมีสมาชิกไม่เยอะ และภารกิจของทุกคนก็ไม่ใช่ว่าจะต้องต่อสู้คนเดียว ต่อไปพวกเรายังคงจะได้พบหน้ากันอยู่บ่อย ๆ อยู่แล้ว”
อยู่ ๆ ฉินซีก็เหมือนกับว่านึกอะไรออก แล้วเปิดปากถามว่า “ยังมีอีกคำถามหนึ่ง……ทำไมถึงได้มีแค่ฉันคนเดียวที่ผ่านการคัดเลือกละคะ?” นี่ก็เป็นปัญหาอีกอย่างหนึ่งที่ฉินซีปัจจุบันเองก็สงสัยอยู่ด้วย
ฟางฟางหรี่ตาลง “เพราะว่านอกจากเธอแล้ว คนอื่น ๆ ต่างก็ไม่ได้ลุล่วงตามเป้าหมาย”
ฉินซีลืมตาโต ๆ ขึ้นช้า ๆ “ไม่มีเลยเหรอ? พวกเขาทุกคนก็ไปแล้วนี่ และก็จุดระเบิดตามที่ได้วางแผนไว้แล้วด้วย?”
ฟางฟางส่ายหน้าขึ้นเบา ๆ “ทำให้เกิดระเบิดขึ้นนั้นไม่ใช่เป้าหมาย ที่จริงแล้วพวกเขาจะต้องทำให้เด็กตระกูลลู่คนนั้นสิ้นชีพ”
พอคำพูดประโยคนี้พูดออกมา ไม่ว่าจะเป็นฉินซีสิบสามขวบ หรือว่าฉินซีปัจจุบัน ก็กลับสูดอากาศเย็นเข้าไปฟอดหนึ่งในเวลาเดียวกันเลย
“ภารกิจครั้งนี้ของเรา……คือต้องฆ่าคนเหรอคะ?” ฉินซีที่สิบสามขวบถลึงตาโตจนสุดขีด อย่างกับว่าไม่สามารถเข้าใจได้ว่าทำไมภารกิจแบบนี้ถึงได้มีอยู่จริง
แต่ว่าในใจของฉินซีปัจจุบันนี้กลับมีคลื่นทะเลลมแรงยังตีกันอย่างร้อนแรงอยู่
เด็กตระกูลลู่เหรอ? ใช่ลู่เซิ่นหรือเปล่า?
พอคิดถึงว่าภารกิจที่ตัวเองเข้าร่วมด้วย อีกนิดเดียวก็เกือบจะฆ่าลู่เซิ่นไปแล้ว ครู่เดียวความรู้สึกที่เธอมีต่อองค์กรที่ว่ามานี้ ก็เหลือเพียงแค่ความโกรธเกลียดเท่านั้น
ฟางฟางเหมือนกับว่าจะเข้าใจในความตกใจของเธอดี เขายื่นมือออกมากุมมือของฉินซีเอาไว้ แล้วพูดขึ้นว่า “นี่ก็คือองค์กรนี้……”
ปากของเขายังคงอ้า ๆ หุบ ๆ แต่ว่าน้ำเสียงกลับไม่มีดังออกมาแล้ว
ความเจ็บปวดจู่โจมฉินซีขึ้นอีกครั้ง มันรุนแรงยิ่งกว่าก่อนหน้านั้นเยอะ
แค่ยัดความทรงจำจากสิบขวบถึงสิบสามขวบก็มากพอที่จะทำให้ฉินซีเจ็บปวดจนดูไม่ได้แล้ว แต่ว่าต่อมาสิ่งที่เข้าสู่สมองของฉินซีนั้น กลับมีความทรงจำของสิบปีเต็ม ๆ
เธอรู้สึกว่าหัวสมองของตัวเองนั้นเข้าใกล้คำว่าระเบิดอีกแค่ก้าวเดียวเท่านั้น ตรงหน้าเกิดความมืดเข้ามาเป็นระลอก ๆ
เพราะว่าเจ็บปวดมากเกินไป เธอก็เลยหมดสติระยะสั้นไปไม่กี่นาที แต่ว่าเห็นได้ชัดว่าไม่ว่าจะเป็นจ้านเซินหรือว่าหมอเสื้อกาวน์สีขาวคนนั้น ต่างก็ไม่มีความคิดที่จะปล่อยเธอไปสักครั้งเพราะเหตุนี้ หลังจากที่ผ่านไปไม่กี่นาที เธอก็โดนปลุกให้ตื่น
กลับไม่ใช่ว่าจะลืมตาตื่นขึ้นมาจริง ๆ หลังจากที่ฉินซีค่อย ๆ มีสติกลับคืนมาแล้ว ก็สำรวจรอบข้างรอบหนึ่ง เธอก็ปรากฏอย่างโศกเศร้าว่า ตัวเองยังคงอยู่ในจิตใต้สำนึกของตัวเองอยู่
……นี่ก็หมายความว่า นอกจากเธอจะจดจำทุกอย่างได้ ไม่งั้นก็ไม่สามารถออกไปจากที่นี่ได้
เธอนึกย้อนดูความทรงจำสิบปีเต็มที่พยายามยัดเยียดเข้ามาอย่างเงียบ ๆ ทั้งหมดแทบจะเป็นความทรงจำที่เธอปฏิบัติภารกิจสำเร็จในองค์กรได้อย่างไร
หลังจากที่เธอพูดคุยกับฟางฟางเสร็จแล้ว ฉินซีก็เข้าสู่องค์กรอย่างเป็นทางการ และกับสิ่งที่ฟางฟางพูดไว้ไม่ได้แตกต่างกันเลย ในความทรงจำของเธอ เวลาที่ได้อยู่กับฟางฟางเปลี่ยนเป็นน้อยลง สามารถมองเห็นได้ว่าส่วนใหญ่ล้วนเป็นภาพกลุ่มคนหน้าตาขุ่นมัวใส่ชุดกาวน์สีขาวกำลังพูดคุยกับตัวเองตัวต่อตัว นี่ก็คือ“สิ่งที่จะต้องเรียน”อย่างที่ฟางฟางพูดไว้ ในบทเรียนพวกนี้ มีความสามารถพิเศษที่ฉินซีเข้าร่วมกับองค์กร และก็ยังมีสิ่งที่ฟางฟางเคยพูดไว้ อย่างพวกบทเรียนล้างสมองเพื่อ“ขจัดอารมณ์และความรู้สึกออกไป”
เป้าหมายที่องค์กรปลูกฝังฉินซีไม่ได้แตกต่างอะไรกับที่ตัวเธอเองคาดเดาไว้มาก เธอโดนปลูกฝังให้เป็นนักสืบแนวหน้าคนหนึ่ง บทเรียนหลัก ๆ นั้นก็คือปลูกฝังให้เธอเจาะลึกเข้าไปในเครือข่ายอินเทอร์เน็ตภายในยังไงเพื่อสืบค้นข้อมูล และจะทำยังไงเพื่อรวบรวมข่าวกรองให้ได้มากที่สุด แล้วต้องเรียบเรียงข่าวกรองยังไง เพื่อให้ได้ผลที่ต้องการมากที่สุด เพียงแต่ว่านอกเหนือจากบทเรียนเหล่านี้แล้ว เธอยังได้รับการปลูกฝังด้านพละกำลังและการต่อสู้อีกมากมาย เพียงแต่ว่าสิ่งที่เธอถนัดและค่อย ๆ เข้าใจมากที่สุดกลับไม่ใช่การต่อสู้แนวจู่โจม แต่ส่วนใหญ่ล้วนเป็นแนวป้องกันตัว และก็เข้าใจได้ไม่ยาก เธอจะต้องถนัดฝีมือทางด้านนี้เผื่อเอาไว้ใช้ในยามจำเป็นเพื่อเป็นหนทางให้สามารถรวบรวมข่าวกรองมาให้ได้มากที่สุด และที่สำคัญเพื่อหลีกเลี่ยงตอนที่โดนพบเห็นเข้า แล้วตัวเองจะได้ไม่ตกไปอยู่ในเงื้อมมือของคนอื่น
ด้านหนึ่งโดนฝึกฝนไปด้วย อีกด้านหนึ่งก็ต้องทำภารกิจง่าย ๆ บางอย่างให้สำเร็จไปด้วย ไม่รู้ว่าเป็นเพราะฟางฟางได้เคยมาแทรกแซงก่อนแล้วหรือไม่ ในความทรงจำที่ฉินซีสามารถจดจำได้นั้น เป้าหมายในภารกิจของเธอในช่วงหลายปีนั้นล้วนแล้วแต่เป็น“ทางด้านดี”ทั้งสิ้น ส่วนใหญ่ล้วนเป็นการหยุดยั้งการทำธุรกรรมด้านมืดของพวกธุรกิจใหญ่บางแห่ง เกือบจะไม่มีภารกิจที่เกี่ยวข้องชีวิตคนโดยตรงเลย
ในห้าปีให้หลัง ตอนที่ฉินซีอายุสิบแปด การฝึกฝนของเธอก็ได้เสร็จสิ้นสมบูรณ์หมดแล้ว
ในตอนนั้น เธอได้กลายเป็นคนที่มีฝีมือช่ำชอง และเป็นสมาชิกองค์กรที่คุ้นเคยกับภารกิจข่าวกรองเป็นอย่างมากแล้ว
ฉินซีนึกถึงตอนที่ตัวเองจดจำอะไรไม่ได้เลย ในตอนที่ตรวจสอบเรื่องราวของเหยาหมิ่นที่บ้านอานหยันนั้น แทบจะเป็นสถานการณ์ที่เธอเรียบเรียงข่าวกรองได้โดยแทบจะไม่ต้องคิดเลยด้วยซ้ำ
ตอนนั้นอานหยันยังมีความตกใจอยู่บ้าง ที่ทำไมตัวเองถึงได้คล่องขนาดนั้น ตัวฉินซีเองก็มีความสงสัยเช่นกัน
แต่ว่าตอนนี้ทุกอย่างก็ได้รับคำอธิบายแล้ว
เพียงแต่ว่าเธอเองก็รู้สึกได้ว่า ตัวเองในตอนนั้น ก็ยิ่งอยู่ยิ่งเหมือนถังย่าเข้าไปทุกทีแล้ว
การสั่งสอนแล้วล้างสมองห้าปีอยู่ในองค์กรนั้นไม่ได้สูญเปล่า ตอนที่อายุสิบแปด ฉินซีเองก็แทบจะกลายเป็นหุ่นยนต์ตัวหนึ่งไปแล้ว
รอยยิ้มดูเกรงใจ แต่ว่าเกือบจะไม่มีความรู้สึกสั่นไหวอะไรเหมือนคนทั่วไป มองทุกสิ่งก็ล้วนเย็นชาและเรียบเฉย