Flash Marriage เธอต้องแต่งงานกับฉัน - ตอนที่ 1153
บทที่ 1153 เธอไม่ไร้ความรู้สึก
“ที่ฉันพูดกับพ่อของจ้านเซิน ไม่ใช่เพราะโกรธเขา” ฟางฟางพูด “ฉันรู้สึกขอบคุณที่องค์กรรับฉันไว้นานขนาดนี้ ให้ฉันได้มีโอกาสทดลองที่คนรอบตัวไม่มีโอกาส ฉันไม่ใช่คนที่เห็นแก่ตัว ในเมื่อเขาอยากให้ฉันทำ ฉันก็จะทำ”
ตอนที่เธอพูดประโยคนี้สีหน้าดูมุ่งมั่น ฉินซีขมวดคิ้วและรีบถาม : “คุณคิดจะทำยังไงต่อ?” ฟางฟางหันมองเธอ อ้าปากจะพูดและปิดปากลง เงียบไปไม่นาน จากนั้นส่ายหน้า : “คุณจะได้รู้ แต่ไม่ใช่ตอนนี้”
ฉินซีขมวดคิ้ว : “หมายความว่าอะไร”
“ฉินซี” ฟางฟาง ขัดจังหวะเธอ “ฉันพูดไปเยอะขนาดนี้ คุณยังอยากจะช่วยฉันออกไปอีกไหม?”
ฉินซีกัดฟันและพูดอย่างไม่สบายใจ : “แต่ถ้าช่วยคุณให้หนีไปจากองค์กรได้ คุณก็จะได้รับอิสระ”
ฟางฟางมองเธอด้วยความเศร้าที่ไม่สามารถอธิบายได้ : “ฉินซี คุณคิดว่าฉันจะหนีจากองค์กรได้จริงไหม?”
ฉินซีมองแววตาของเธอ และเงียบไป
ถ้าเธอเป็นนักวิจัยธรรมดา เธอก็คงพยักหน้ารับได้อย่างแน่นอน
แต่…เธอคือแม่ของจ้านเซิน
ความสัมพันธ์กับองค์กรมากมายซับซ้อนเสียจริง ถ้าต้องการแยกจริงๆ ช่างยากเหลือเกิน
ฟางฟางเห็นเธอเงียบไป จึงยิ้มจางๆ : “ไม่ต้องคิดจะช่วยฉันอีกแล้ว ฉันรู้ว่าคุณเป็นเด็กดีคนหนึ่ง คุณจำคำที่ฉันเคยพูดได้”
ฉินซีเงยหน้าขึ้นมองเธอทันที
ฟางฟางยังคงยิ้ม : “ทำไม? ยังคิดว่าฉันดูไม่ออกหรือไง? ความเฉยเมยพวกนั้นคุณกำลังเสแสร้งสิน่ะ? คุณยังจำประโยคนั้นได้ ฉันหวังว่าคุณจะไม่เรียนรู้”
ฉินซีคิดไม่ถึงว่าเธอจะดูออก ไม่รู้จะตอบยังไงไม่ชั่วขณะ และมองไปที่เธออย่างตกใจ
“โอเค ฉันรู้ว่าทำให้คุณตกใจ ที่นี่ไม่มีคนนอกและก็ไม่กล้ายอมรับมัน” ฟางฟางยังคงเกรงใจ แต่ก็ไม่บังคับให้เธอยอมรับ “งั้นตอนนี้ฉันขอพูดอีกสักประโยคแล้วกัน คุณอายุยังน้อย รีบออกจากองค์กรไป”
ฉินซีตกใจกับความตรงไปตรงมาของเธอ จนไม่รู้ว่าจะตอบอะไรกลับไปดี ทำได้เพียงเหม่อมองเธออย่างตะลึง
“คุณน่าจะดูออกใช่ไหมว่า จ้านเซินปฏิบัติต่อคุณเป็นพิเศษ?” ฟางฟางมองไปที่ฉินซีอย่างมีความหมาย “คุณเป็นผู้หญิงที่ดี ฉันชอบคุณมาก แต่ถ้าพวกเราเป็นครอบครัวปกติทั่วไป ฉันคงตั้งใจอยากให้คุณอยู่ข้างเขาจริงๆ แต่…ตอนนี้จ้านเซินนั่งอยู่ในตำแหน่งของพ่อเขา หลังจากนี้เขาจะเปลี่ยนไปยังไง จะเหมือนพ่อเขาหรือไม่ ฉันก็ไม่กล้ารับประกัน”
ฉินซีอ้าปากนิดหน่อยและเงียบไปหลายวินาที
เธอไม่ได้ไร้ความรู้สึก
จ้านเซินสนใจเรื่องของตัวเองเป็นพิเศษ แทบจะทุกเรื่องเขาจะต้องมีส่วนร่วม สัญญาณทั้งหมดบอกถึงปัญหาเดียวกัน หรือจ้านเซินอาจจะกำลังรู้สึกผิดกับตัวเอง
“ถึงแม้จ้านเซินจะเป็นลูกของฉัน แต่เดิมทีแล้ว…ฉันไม่เคยสอนอะไรเขาเลย” ฟางฟางพูดอย่างรู้สึกผิดและก้มหน้า “แต่จากการติดต่อกันของเรา ฉันรู้สึกว่านิสัยของเขาเหมือนกันกับพ่อเขามาก เขาอาจจะหวั่นไหว แต่จะไม่รักใคร จะครอบครองและปล้นชิง แต่จะไม่ให้ความสำคัญ”
ฉินซีฟังแล้วตกตะลึง แต่ฉินซีที่อาศัยอยู่ในร่างกายของตัวเองตอนนี้ที่กำลังฟังเธอพูด พยักหน้าอย่างบ้าคลั่ง
เตือนความทรงจำมาถึงตอนนี้ เธอพอจะรู้แล้ว ทำไมจ้านเซินถึงอยากให้ตัวเองรีบกลับไปที่องค์กร และพอจะรู้แล้วว่าทำไมเขาต้องเอาทุกอย่างที่ลู่เซิ่นทำมาวางไว้ตรงหน้าตัวเอง
เพราะเขาชอบตัวเอง จึงทำแบบนี้
แต่ไม่ใช่เหตุผลที่ทุกอย่างสมเหตุสมผล
ฉินซีไม่สามารถให้อภัยการไม่เคารพตัวเองของเขาได้
“ถึงบอกว่า” ฟางฟางกระแอมเบาๆ และเงยหน้ามองฉินซีอีกครั้ง “ใช้ประโยชน์จากโอกาส ใช้ประโยชน์จากการไม่มีอะไรเกิดขึ้น ฉันหวังว่าคุณ…จะออกจากองค์กร อย่าช้ำรอยโศกนาฏกรรมของฉันอีก”
ฉินซีเงียบ
เธอไม่ได้พยักหน้าทันที แต่ก็ไม่ส่ายหน้าปฏิเสธ
เธออยู่ในองค์กรมาสิบกว่าปี สิบกว่าปีที่ปลูกฝังความรู้สึกและความเคยชิน ไม่สามารถทิ้งทั้งหมดได้เพราะคำพูดไม่กี่คำ
แต่ถ้าจะบอกว่าไม่รู้สึกอะไรเลย ก็เป็นการโกหก
ความเศร้าโศกในแววตาของฟางฟางไม่สามารถโกหกใครได้ ปีกของเธอถูกตัดขาดไปแล้ว ดังนั้นขอยอมแพ้ดีกว่าถูกขังอยู่ในกรงนี้ต่อไป
…ตัวเองหลังจากนี้ จะเป็นแบบนี้ด้วยไหม?
ฉินซีรู้สึกกลัวเล็กน้อย
จึงเงียบไปหลายวินาที เธอเปลี่ยนเรื่องทันทีและเงยหน้ามองฟางฟาง : “งั้น…คุณจะยอมปล่อยไปแบบนี้เลยหรือไง?”
ฟางฟางยิ้มจางๆ สีหน้าโล่งใจ : “ฉันไม่เสียใจอะไร คุณไม่ต้องเป็นห่วงฉัน แทนที่จะเสียใจกับฉัน ทำไมไม่มารู้สึกขอบคุณไปด้วยกันกับฉัน อิสระที่ฉันรอคอยมานาน ในที่สุดก็ถึงแล้ว”
ฉินซีมองเธออย่างสงบ รู้ว่าตัวเองไม่สามารถโน้มน้าวเธอได้อีก
กระทั่ง…เธอไม่มีความคิดที่จะโน้มน้าวฟางฟางอีก
หรือสำหรับฟางฟางแล้วหลังจากที่ทำอะไรเพื่อองค์กรครั้งสุดท้ายและจากโลกนี้ไป กลับเป็นการบรรเทาที่ดีกว่า
“ฟ้าใกล้จะสว่างแล้ว” ฟางฟางมองไปที่แสงตรงขอบฟ้าไกลๆ พูดเสียงเบาๆ
ฉินซีรู้ว่าถึงเวลาที่ตัวเองควรจะออกมาแล้ว
“ฉัน…” เธอหันกลับไปอยากจะบอกลาฟางฟาง แต่กลับพบว่าคอของตัวเองสั่น
“เด็กดี” ฟางฟางยิ้มใจดีและยื่นมือไปคว้าฉินซีมากอดในอ้อมกอดตัวเอง “ฉันดีใจมาก สุดท้ายคุณไม่ได้กลายเป็นเครื่องมือขององค์กร พ่อของจ้านเซินติดตามฉันอย่างเข้มงวดตลอดเวลา ครั้งนั้นที่ไปค่ายฝึกอบรม เป็นครั้งเดียวที่ฉันได้สัมผัสกับผลิตภัณฑ์ทดลอง และก็เป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้ายที่ฉันได้เข้าอบรมตัวต่อตัวในฐานะนักวิจัย คุณเป็นผลผลิตชิ้นเดียวของฉัน และเป็นคนเดียวที่ฉันสามารถช่วยให้ออกจากองค์กรได้ ดังนั้น คุณต้องมีอิสระ”
เธอพูดจนจบ เสียงก็อดแหบไม่ได้
เบ้าตาของฉินซีร้อน แทบจะใช้ความพยายามทั้งหมดเพื่อไม่ให้ตัวเองร้องออกมา
“ฉัน…ไปก่อนน่ะ” ทั้งสองคนกอดกันเงียบๆสักครู่ จนกระทั่งขอบฟ้าสว่างขึ้นเรื่อยๆ คนดูแลด้านนอกก็กำลังจะตื่นขึ้นมา ถ้าไม่แยกจากกันก็ไม่ถูก
ฟางฟางยิ้มมองไปที่เธอและโบกมือ
ฉินซีเจ็บปวดใจอย่างรุนแรง
เธอรู้ว่าการบอกลาครั้งนี้คือตลอดไป
เธอมองไปที่ฟางฟางอย่างลึกซึ้งเป็นครั้งสุดท้าย อยากจะเก็บท่าทีของเธอไว้ในส่วนลึกของสมอง แต่กลับอดคิดถึงเรื่องราวต่างๆ ที่เคยทำร่วมกันไม่ได้
เพราะการดูแลของฟางฟาง ตอนฝึกอบรมเธอแทบจะไม่ลำบากอะไรเลย ฟางฟางเป็นเหมือนแม่อีกคนในองค์กรของเธอ ส่วนที่เหยาหมิ่นไม่สามารถดูแลได้ เธอดูแลฉินซีอย่างสุดใจ จนกระทั่งซักเสื้อผ้าให้เธอ เรียกได้ว่าเธอเจอเรื่องวุ่นวายในโรงเรียน ก็จัดการวิเคราะห์แก้ไขแทนทีละเรื่อง ไม่เคยทำตัวสูงส่ง ทั้งยังมองฉินซีเป็นผู้ใหญ่เหมือนกับเธออย่างเท่าเทียมกัน
ที่สำคัญที่สุดก็คือเธอเตือนฉินซีไม่ให้เป็นหุ่นเชิดขององค์กร