Flash Marriage เธอต้องแต่งงานกับฉัน - ตอนที่ 1157
บทที่ 1157 รู้คำตอบมานานแล้ว
จ้านเซินน่าจะเรียกใช้คนที่ติดต่อได้ใกล้ที่สุด ฉินซีรออยู่ไม่กี่นาที เขาโทรมาบอกมาว่ามีคนมาแล้ว
ตอนนี้ยังดึกอยู่ ฉินซีกลัวจะรบกวนเหยาหมิ่นจึงค่อยๆ ย่องออกจากห้องนอน และพยายามปิดประตูห้องไม่ให้ส่งเสียงดัง
เมื่อลงมาถึงด้านล่าง ก็มีรถคันหนึ่งจอดรออยู่แล้ว
ขณะที่ฉินซีกำลังจะขึ้นรถ ก็หันไปเห็นผู้หญิงเสียงแหลมห้องตรงข้ามยืนอยู่ที่ประตูทางขึ้นบันได
จองหน้ากันกับฉินซี เธอยิ้มอย่างแปลกๆ : “ฉันเป็นคนสำคัญอะไรล่ะ มีรถหรูรับส่งทุกวัน แถมยังไม่ซ้ำกันอีกด้วย ทำเรื่องไร้ยางอายอะไร ถึงต้องออกจากบ้านดึกดื่น?”
แต่ตอนนี้ฉินซีไม่อารมณ์จะมาทะเลาะกับเธอ จึงไม่แสดงสีหน้าอะไรและนั่งลงในรถ
คนที่ขับรถก็น่าจะเป็นคนในองค์กร เพราะฉินซีรู้สึกคุ้นหน้า
เขามีสีหน้าเคร่งขรึม ฉินซีเองก็ไม่กล้าถาม ทั้งสองคนจึงนั่งเงียบๆ ไปจนถึงจุดหมาย
เขตติดต่อชานเมือง
ฉินซีไม่เคยมาที่นี่มาก่อน
จุดติดต่อนี้ดูไม่โดดเด่นเลย เป็นแค่บ้านชานเมืองที่เต็มไปด้วยฝุ่น
ฉินซีสังเกตดูรอบๆ แล้วที่นี่ห่างสถานที่ที่ขังฟางฟางค่อนข้างใกล้ ถึงขนาดที่ฉินซีสามารถเห็นหลังคาของบ้านชานเมืองได้
คนขับรถคนนั้นเดินมาถึงหน้าประตูแล้วก็หยุดเดิน และหันมามองฉินซี ดูเหมือนเขาจะไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไป
แต่ฉินซีก็หยุดเดินเหมือนกัน
ไม่ใช่เธอไม่ได้รับอนุญาต แต่เพราะเธอ…ไม่กล้าพอ
เธอไม่กล้าเข้าไป ไม่กล้าเผชิญหน้า
แค่ไม่กี่วินาทีมือของเธอก็เต็มไปด้วยเหงื่อเย็นๆ
แต่การหลีกหนีก็ทำได้เพียงชั่วคราว
เพราะจ้านเซินน่าจะได้ยินการเคลื่อนไหวของเธอแล้ว จึงเดินมาที่ประตู
เปิดประตูออก เห็นฉินซียืนอยู่ที่หน้าประตู เขาไม่พูดอะไรมาก แค่พยักหน้าให้เข้าไป : “เข้ามาเถอะ”
ฉินซีไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากเดินเข้าไป
การตกแต่งภายในจุดติดต่อกับสภาพด้านนอกดูไม่ต่างกัน เป็นการซ่อมแซมอย่างง่ายๆ
จ้านเซินเดินนำทางไปอย่างเงียบๆ เดินผ่านมาไม่กี่โค้ง ก็มาหยุดตรงหน้าประตูห้องที่อยู่ด้านในสุด
“ฟางฟาง…อยู่ด้านใน” ดูเหมือนว่าจ้านเซินจะกลืนคำพูดลงไปหนึ่งคำ แต่ฉินซีไม่ทันได้สังเกต
หรือจะพูดได้ว่า ความสนใจทั้งหมดของเธอถูกดึงดูดเข้าไปในห้อง
ในห้องไม่มีการตกแต่งอะไร มีแค่เตียงที่ดูเก่าๆ หนึ่งหลัง
ในห้องไม่ได้เปิดไฟ ต้องอาศัยแสงสว่างจากด้านนอกที่สิ่งเข้ามา ถึงมองเห็นเหตุการณ์ภายในห้อง
บนเตียง…มีเงาคนหนึ่ง
จะบอกว่าเป็นเงาคนก็ดูไม่เหมาะสม เป็นแค่…แค่สิ่งของที่ถูกผ้าขาวคลุมวางไว้ตั้งแต่หัวจรดเท้าจะดีกว่า
ถ้าไม่บอก ฉินซีจะไม่คิดว่านั้นคือคนคนหนึ่ง
แต่นั่นคือฟางฟาง
ฟางฟางที่เพิ่งจะกอดลาเธอเมื่อไม่กี่วันก่อน
ขาของเธออ่อนจนแทบจะประคองตัวเองไว้ไม่ไหว ดังนั้น…เธอจึงก้าวออกไปอีกก้าวไม่ไหว
จึงใช้มือประคองขอบประตูไว้ ยืนอยู่ตรงประตู และจ้องมองร่างไร้วิญญาณที่อยู่ภายใต้ผ้าขาวนั้นอย่างเงียบๆ
นั่นเคยเป็นชีวิตที่สดใสชีวิตหนึ่ง
ครั้งนี้ฉินซีไม่ได้ร้องไห้ แต่เธอกลับรู้สึกเบ้าตาแห้งสนิทจนไม่สามารถมีน้ำตาไหลออกมาได้
จ้านเซินยืนอยู่ข้างๆ เธอตลอด
ไม่รู้ว่าทั้งสองคนยืนยิ่งเงียบอยู่นานแค่ไหน ฉินซีจึงอ้าปากถามเสียงแหบแห้ง
“นี่…มันเกิดอะไรขึ้น?”
จ้านเซินถอนหายใจเบาๆ และยื่นมือไปประคองเธอ : “คุณ…นั่งลงก่อนเถอะ”
แต่ฉินซีกลับดื้อดึงจะยืนที่หน้าประตู ตรงที่ที่ยืนแค่เงยหน้าขึ้นมาก็สามารถสถานที่ที่สูญเสียฟางฟาง ไม่ยอมขยับไปไหน
จ้านเซินเห็นแบบนี้ไม่สามารถบังคับเธอได้ จึงทำได้แค่ยืนเป็นเพื่อนข้างๆ เธอ และพูดเสียงเบาๆ : “คุณ…ไปหาเธอมาแล้วใช่ไหม?”
ฉินซีไม่ตอบ
เธอรู้ดีการใช้ชีวิตของตัวเองทั้งหมดอยู่ภายใต้การสังเกตขององค์กร ปฏิเสธไปก็ไม่มีประโยชน์อะไร
แต่ที่จ้านเซินพูดแบบนี้ก็ไม่ได้ต้องการคำตอบจากเธอ
เขารู้คำตอบอยู่แล้ว
“ฟางฟางน่าจะสารภาพกับคุณแล้ว ที่เธอถูกขังเป็นเพราะพ่อของฉันใช้เธอเป็นหมากตัวหนึ่งในการซื้อบริษัทผลิตยาฉางเซิ่ง” จ้านเซินลดสายตาลงและไม่มามองฉินซี “ฉันไปหาเธอก่อนคุณ แต่เธอก็ปฏิเสธไม่ยอมไปกับฉัน และยังบอกฉันอีกด้วยว่าเธอจะทำประโยชน์ให้ององค์กรเป็นครั้งสุดท้าย เธอจะสนับสนุนการพัฒนาของโครงการนี้”
ฉินซียังคงก้มหน้าเงียบ
“กลางดึกวันนี้…เธอโทรหาพ่อของฉันสายหนึ่ง” จ้านเซินเริ่มพูดอีกครั้ง ค่อยๆ พูดออกมาช้าๆ เหมือนยากที่จะพูดออกมา “โทรศัพท์เครื่องนี้…พ่อของฉันน่าจะให้เธอไว้ตอนไปหาเธอ เธอบอกพ่อฉันง่ายๆ ว่าให้เขาพานักข่าวมาที่บ้านชานเมือง ไม่ได้พูดอะไรมากก็วางสายไป”
ฉินซีขมวดคิ้วเล็กน้อย ในที่สุดก็ค่อยๆ เงยหน้าขึ้น
“พ่อของฉันทำตามที่เธอบอก พานักข่าวที่คุ้นเคยมาไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้านี้ มาถึงด้านล่างของบ้านชานเมืองที่ขังเธอไว้”
จ้านเซินเงียบไปสักครู่จึงจะพูดต่อ “เดิมทีเขาคิดว่า…ที่ฟางฟางให้เขาพาคนมาเพื่อที่จะวางแผนการเปิดโปงการลักพาตัวของบริษัทผลิตยาฉางเซิ่งต่อหน้านักข่าว คิดไม่ถึงว่าขณะที่นักข่าวเพิ่งจะจัดกล้องเสร็จ กำลังจะพูดเปิดตัวเองอยู่นั้น ด้านหลังก็มีเสียงดังอู้อี้ขึ้นมา”
จ้านเซินหยุดพูดอีกครั้ง และไม่พูดอะไรต่อ
หลังจากที่ฉินซีรู้จักเขามานาน นี้เป็นครั้งแรกที่เขาอ้ำๆ อึ้งๆ
“อู้อี้ คืออะไร?” เขาเงียบนานเกินไป จนฉินซีอดทนรอไม่ไหวจึงถามออกไป
จ้านเซินหลับตาลง และในที่สุดก็อ้าปากพูด
“เพราะฟางฟางกระโดดตึก…ลงมาต่อหน้ากล้องบันทึกภาพ”
ฉินซีทำใจไว้แล้ว แต่เมื่อได้ยินจ้านเซินพูดแบบนี้ เธออดไม่ไหวจึงปิดตาลง
เธอไม่สามารถหยุดยั้งการจินตนาการของตัวเองได้
เธอแทบจะนึกภาพฟางฟางกระโดดตึกลงมายังได้จากการอธิบายของจ้านเซิน
หรือว่า… ฟางฟางอาจจะกำลังยิ้มวิ่งไล่ตามการปลดปล่อยตัวเอง
“พ่อของฉัน…ก็ตกตะลึง” จ้านเซินพูดต่อ “แต่นักข่าวที่เขาพามาด้วยตื่นเต้นกับข่าวนี้มาก ถึงขนาดวิ่งตามบอดี้การ์ดขึ้นไปบนหลังคา”
บนหลังคา คือสถานที่ที่ขังฟางฟางไว้
“คุณก็รู้ ด้านบนหลังคามีคนดูแลแค่คนเดียว บอดี้การ์ดสองคนนั้นเป็นคนขององค์กร นักข่าวและสองคนนั้นรีบพุ่งเข้าไป ผู้ดูแลคนนั้นก็ต้องยอมไปตามธรรมดา นักข่าวยังคงพุ่งเข้าไปที่ห้องนั่นที่ฟางฟางโดนขังไว้” เป็นอีกครั้งที่จ้านเซินพูดไม่ออก เขาก้มหน้าสงบนิ่งเป็นเวลานาน จึงจะยื่นโทรศัพท์ออกมา เปิดรูปออกและวางไว้ตรงหน้าฉินซี
ฉินซีก้มหน้าอย่างยากลำบาก
หลังจากเห็นรูปในครั้งแรก เธอก็อดที่จะปิดตาลงอีกครั้งไม่ได้
ภาพถ่ายสีแดงที่เขียนด้วยลายมือสีสนิม
เดาได้ไม่ยาก นั้นใช้เลือดสดๆ เขียนออกมา
ฉินซีมือสั่นจนถือโทรศัพท์ของจ้านเซินไว้ไม่ไหว ทำให้โทรศัพท์เครื่องนั้นหล่นลงไปบนพื้น
จ้านเซินไม่ได้พูดอะไร แค่ก้มลงเก็บโทรศัพท์ขึ้นมา ทันใดนั้นก็พูดกระซิบกระซาบกับตัวเอง
“เธอ…ตกจากด้านบนลงไปด้านล่างใช่ไหม?”
เสียงของเขาไม่ดัง แต่ฉินซีกลับได้ยินชัดเจนอยู่ในหู