Flash Marriage เธอต้องแต่งงานกับฉัน - ตอนที่ 1188
บทที่ 1188 ทำเป็นไม่เห็นเขา
“อย่างนั้นผมจะไปจัดการเลยครับ” หลังจากที่ได้รับการเห็นด้วยจากจ้านเซินแล้ว คุณหมอก็รีบเอ่ยปากพูด และเดินออกไปจากห้องพักผู้ป่วย ราวกับกลัวว่าเขาจะเกิดรู้สึกเสียใจในภายหลังขึ้นมา
จ้านเซินยังคงยืนอยู่ที่เดิมอีกหลายวินาที ถึงได้ก้าวเท้าเดินออกไปข้างนอก
………
แน่นอนว่าฉินซีไม่รู้ว่าโชคชะตาชีวิตของตัวเองถูกตัดสินใจแบบนี้แล้ว เธอถือว่าตัวเองสิ้นสุดการรักษาตามปกติครั้งหนึ่งแล้ว หลังจากเสร็จสิ้นก็กลับห้องพักผู้ป่วยไปพร้อมกับอานหยัน
การรักษาทั้งหมดของเธอเกือบจะอยู่ในขั้นตอนการสะกดจิต ดังนั้นอานหยันจึงถามไม่ได้ความอะไร เธอเห็นท่าทางของอาการที่ไม่ได้ดีขึ้นอะไรของฉินซีแล้ว ก็ทำได้แค่ร้อนใจเงียบๆเท่านั้น
เดิมเธอคิดจะรอข่าวคราวของฉินซีก่อน ค่อยไปพูดคุยกับคุณหมอ คิดไม่ถึงเลยว่าตัวเองยังไม่ได้ออกไป คุณหมอก็เป็นฝ่ายมาหาเอง
การสะกดจิตนั้นเผาผลาญพลังงานของฉินซีเป็นอย่างมาก คราวนี้เธอจึงนอนหลับไปบนเตียงแล้ว คุณหมอดึงอานหยันให้เดินออกไปข้างนอกประตู
“ผมปรับการรักษาครั้งสุดท้ายอีกครั้งหนึ่งแล้ว” เขาส่งเอกสารในมือให้กับอานหยัน “ถ้าหากไม่มีปัญหาใหญ่อะไรล่ะก็ พรุ่งนี้คุณฉินซีก็จะมีการเปลี่ยนแปลงไปมากครับ”
อานหยันพลิกเอกสารในมือ แต่ภายในเต็มไปด้วยคำศัพท์เฉพาะทาง ทำให้สมองของเธอเวียนหัวจนอ่านไม่ออกถึงสาเหตุต่างๆ เธอเพียงแค่ปิดเอกสารในมือ เงยหน้ามองคุณหมอ สีหน้าเต็มไปด้วยความจริงจังอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน “ขอให้คุณพยายามรักษาเธออย่างสุดความสามารถ ถ้าหากว่าอาการเธอยังไม่มีแนวโน้มจะดีขึ้น………”
เธอไม่ได้พูดออกมา แต่ทั้งสองคนล้วนเข้าใจในความหมายของเธอดี
ถ้าหากว่าอาการของฉินซีไม่มีการเปลี่ยนแปลง เธอจะพาฉินซีไปพบกับคุณหมอท่านอื่น
ในใจของคุณหมอในชุดกาวน์สีขาวเต็มไปด้วยความไม่พอใจ แต่ไม่ได้พูดออกมา ที่จริงแล้ว คนที่จะสามารถเปลี่ยนแปลงอาการของฉินซีได้นั้นไม่ใช่คุณหมอคนไหน แต่เป็นจ้านเซิน ถ้าหากจ้านเซินไม่อ่อนข้อให้ อย่างนั้นอานหยันจะพาเธอไปพบกับคุณหมอมากขึ้นแค่ไหน ก็ไม่มีทางคลี่คลายปมในใจของเธอได้
แต่สุดท้ายแล้วเขาก็ไม่ได้พูดอะไร เพียงแต่พยักหน้าอย่างจริงจัง “ผมจะต้องพยายามสุดความสามารถอย่างแน่นอนครับ”
ทั้งสองคนจริงจังเสียจนคล้ายกับว่ากำลังเจรจาธุรกิจนับร้อยล้านอะไรอยู่ หลังจากที่พูดคุยรายละเอียดหลายอย่างแล้ว อานหยันก็พยักหน้าอย่างเห็นด้วยที่จะให้ฉินซีรักษาด้วยวิธีนี้
………อาการป่วยของฉินซีร้ายแรงขึ้นทุกวัน ผ่านไปนานขนาดนี้แล้ว จะสามารถรักษาให้หายในครั้งเดียวได้จริงหรือ
ในใจของเธอเต็มไปด้วยความสงสัย
เพียงแต่ตอนนี้ นอกจากเชื่อคุณหมอ ก็ไม่มีวิธีการอื่นๆแล้ว
ท่ามกลางผู้คนมากมาย มีเพียงแค่ฉินซีที่สงบมากที่สุด เธอนอนหลับอยู่บนเตียงอย่างสงบ ดูคล้ายกับว่าไม่มีเรื่องน่าปวดหัวใดๆ
……..
วันรุ่งขึ้น เมื่อถึงเวลารักษา คุณหมอในชุดกาวน์สีขาวก็มาปรากฏตัวอยู่หน้าห้องพักผู้ป่วยของฉินซีอย่างตรงเวลา
ตามวิธีการรักษาที่ชี้แจงไปก่อนเมื่อวานนี้ การรักษาครั้งนี้ในวันนี้เป็นระยะเวลานานมาก ดังนั้นอานหยันจึงไม่จำเป็นต้องรออยู่ด้านนอกตลอดเวลา เพียงแค่ถึงเวลาก็มารับเธอไปก็พอแล้ว
อานหยันยังคงไม่วางใจอยู่บ้าง แต่ฉินซีกลับไม่ลังเลอะไร โบกมือให้กับอานหยัน และเดินเข้าไปในห้องตรวจโรคกับคุณหมอในชุดกาวน์สีขาวด้วยกันอย่างคุ้นเคย
จ้านเซินยังคงยืนอยู่ที่มุมหนึ่งของห้องตรวจโรค จ้องมองไปที่ฉินซีโดยไม่เอ่ยพูดอะไร
และในเวลาเดียวกันก่อนหน้านั้น ฉินซีก็ทำเป็นไม่เห็นเขาเช่นกัน
เธอเพียงแค่ทำตามคำพูดของคุณพ่อ เอนตัวนอนลงบนเก้าอี้ผ้าใบอย่างเชื่อฟัง
หลังจากนั้นไม่กี่นาที ก็เข้าสู่สภาวะสะกดจิต
ที่จริงแล้ว การรักษาครั้งนี้ง่ายดายกว่าการรักษาที่คุณหมอในชุดกาวน์สีขาวเคยรักษามามากนัก
เพราะคนที่ต้องมีแสดงปฏิกิริยาการตอบรับออกมาอย่างเต็มที่นั้นไม่ใช่เขา แต่เป็นจ้านเซิน
สิ่งที่เขาจำเป็นต้องทำก็มีเพียงแค่รักษาจิตใต้สำนึกของฉินซีให้มั่นคง จากนั้นก็ให้จ้านเซินอ้าปากพูด บอกเป็นนัยกับเธอว่า
เธอสามารถไปจากองค์กรได้แล้ว
นี่เป็นสิ่งที่ฉินซีต้องการมากที่สุด
หลังจากที่ฉินซีได้รับข่าวสารนี้แล้ว เขาจะให้ฉินซีได้มีสติอยู่ชั่วครู่ เมื่อมั่นใจแล้วว่าสภาพจิตใจของเธอไม่มีปัญหาใดๆ ค่อยให้จ้านเซินสะกดจิตสั่งปิดผนึกความทรงจำเอาไว้
แม้ว่าในภายหลังจะซับซ้อน แต่ว่าเขาก็ไม่ได้กังวลมากนัก
เพียงแค่ลำดับขั้นตอนในส่วนแรกถูกต้อง ส่วนหลังก็แทบจะไม่เกิดความผิดพลาดยิ่งใหญ่อะไร
เขาพูดคุยกับจ้านเซินมาก่อนหน้านี้แล้ว เพียงแค่จ้านเซินไม่มีการเปลี่ยนแปลงกะทันหัน ก็ไม่น่าจะมีปัญหาร้ายแรงเกินไป
เมื่อคิดได้แบบนี้แล้ว เขาก็เริ่มทำวิธีการรักษาตามที่กำหนดไว้ก่อนหน้านี้
ฉินซีนั้นปรับตัวให้เข้ากับการสะกดจิตได้ดีมากแล้ว ดังนั้นจึงเข้าสู่สภาวะการถูกสะกดจิตได้ โดยไม่ยากเย็นอะไร
คุณหมอค่อยๆหยุดการกระทำ และหันหน้าไปมองจ้านเซิน
ในตอนนี้จ้านเซินจำเป็นต้องเอ่ยพูดประโยคหนึ่ง…….
แต่จ้านเซินกลับเม้มริมฝีปากแน่นอย่างกะทันหัน คล้ายกับว่าการพูดสิ่งเหล่านี้ออกมา เป็นเรื่องที่ยากมากเรื่องหนึ่ง
คุณหมอไม่กล้าเร่งเขา แต่สภาวะของฉินซีนั้นไม่สามารถรอนานเกินไป ดังนั้นเขาจึงจ้องมองจ้านเซินเขม็ง อธิษฐานขอให้เขาไม่เปลี่ยนความคิดกะทันหัน
เวลากลับเคลื่อนผ่านไปอย่างเชื่องช้าขึ้นมา
หลังจากนั้นไม่กี่นาที เพราะว่าเงียบเป็นระยะเวลานานเกินไป ฉินซีก็ขยับไปมาอย่างไม่สงบ
ถ้าหากว่าจ้านเซินยังไม่ยอมพูดอีก……
คุณหมอก็คิดหาวิธีการรักษาต่างๆมาช่วยเหลือในใจแล้ว รวมไปถึงว่าจะปลอบใจฉินซีอย่างไร และพูดโน้มน้าวอานหยันอย่างไร
แต่ผ่านไปชั่วครู่หนึ่ง เสียงของจ้านเซินก็ดังขึ้นมา
เขาไม่ได้กล่าวในสิ่งที่เหมือนกับพูดคุยก่อนหน้านี้ทั้งหมด
เขาไม่ได้พูดเหมือนกับที่คุณหมอในชุดกาวน์สีขาวแจ้งเอาไว้ก่อนหน้านี้ว่า ให้พูดทั้งหมดให้ชัดเจน เพื่อเป็นการบอกกับฉินซีตรงๆว่า “คุณสามารถไปจากองค์กรได้แล้ว”
เขาเพียงแค่พูดเรียบๆว่า “คุณเป็นอิสระแล้ว”
ในใจของคุณหมอแอบเอ่ยขึ้นมาว่าไม่ดีแล้วเงียบๆประโยคหนึ่ง
การอธิบายที่ไม่ชัดเจนแบบนี้……เขาก็พูดไม่ได้ว่าฉินซีที่อยู่ในสภาวะถูกสะกดจิตจะสามารถรับข้อมูลข่าวสารนี้ได้รวดเร็วหรือไม่
แต่รอจนถึงตอนที่เขาหันกลับไปมองฉินซี ความกังวลของเขาก็ถูกทำให้เลือนหายไปในทันที
หว่างคิ้วของฉินซีคลายตัวออก แม้ว่าจะอยู่ภายใต้การสะกดจิต อาการก็ดีขึ้นมากจนมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
ที่แท้ประโยคที่พูดว่า “เป็นอิสระ” ของจ้านเซิน ก็สามารถคลี่คลายปมในใจของฉินซีได้
เขาทอดถอนใจเงียบๆประโยคหนึ่ง และฟื้นคืนสติให้กับฉินซีที่อยู่ในสภาวะถูกสะกดจิตตามที่ตัวเองเตรียมเอาไว้
ส่วนฉินซีที่ลืมตาขึ้นมาในวินาทีแรก ก็เป็นฝ่ายเอ่ยปากถามว่า “เหมือนกับว่าฉันจะได้ยินคนเพิ่งพูดว่า………”
เธอพูดไปครึ่งหนึ่งก็หยุดลง คล้ายกับว่ารู้ว่าตัวเองเพิ่งจะอยู่ในสภาวะถูกสะกดจิต สิ่งที่ได้ยินไม่ได้แสดงว่า จะเกิดขึ้นจริง
……เพื่อปลอบประโลมตัวเอง คุณหมอจึงกุเรื่องขึ้นมาหรือ
ฉินซีเข้าสู่สภาวะสับสนอีกครั้ง
แต่การสับสนของเธอก็ไม่ได้เป็นไปนานมากนัก
เพราะข้างหูของเธอมีเสียงของจ้านเซินดังขึ้น
“คุณชนะแล้ว” จ้านเซินเสียงขรึม พูดคำพูดแบบนี้ แต่ฟังดูแล้วไม่เหมือนกับอ่อนแอ “คุณไม่ได้ฟังผิดไปหรอก เป็นผมที่พูดเองว่า คุณมีอิสระแล้ว”
ปฏิกิริยาแรกของฉินซีก็คือ หันกลับไปมองคุณหมอ
……..เธอไม่เชื่อจ้านเซินแล้ว จึงทำได้เพียงแค่ขอความช่วยเหลือจากผู้อื่น ถึงจะสามารถยืนยันได้ว่าข้อมูลนี้เป็นความจริงหรือไม่
รู้แล้วว่าคุณหมอพยักหน้าให้กับฉินซี เธอถึงจะค่อยๆเชื่อในข้อมูลนี้
“ฉันเป็นอิสระแล้วหรือ” เธอเอ่ยถามกับตัวเองประโยคหนึ่ง และเอ่ยซ้ำด้วยน้ำเสียงที่แน่วแน่อีกครั้งหนึ่งว่า “ฉันเป็นอิสระแล้ว” เอ่ยจบแล้ว เธอถึงได้เงยหน้าขึ้นมองจ้านเซินช้าๆ
“เมื่อครู่ก็คือคุณที่พูด ถูกต้องไหม”
จ้านเซินไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่พยักหน้า
ฉินซีหรี่ตาลงเล็กน้อย มองไปทางคุณหมอ “ทำไมต้องพูดในตอนที่ถูกสะกดจิตด้วยคะ”