Flash Marriage เธอต้องแต่งงานกับฉัน - ตอนที่ 1214
บทที่ 1214 ไร้หนทางหลบหนี
ลู่เซิ่นไม่เคยเป็นอย่างตอนนี้มาก่อน หวังว่าตัวเองจะระบายอารมณ์ออกมาได้
ร้องไห้ ทำลายข้าวของหรือหาคนชกต่อยด้วย ก็ดี
แต่สุดท้ายแล้วในตอนนี้เขานอนบนเตียงเงียบๆ
เขาเหนื่อยล้าเหลือเกิน ความเหนื่อยล้าโถมทับร่างกายและจิตใจที่แทบไม่ได้พักผ่อนมาหลายวัน ทำให้เขาขมวดคิ้วค่อยๆ หลับไป
แต่ก่อนที่เขาจะผล็อยหลับไป ในหัวของเขาทันใดนั้นก็มีเสียงของหลินยี่ดังขึ้น
“นายแค่ปล่อยข่าว เรื่องแต่งงานกับเสี่ยวจิ้งนายก็จะรู้แล้ว ตอนนี้ฉินซีเป็นอย่างไรกันแน่”
……
ฉินซียังถูกขังที่สำนักงานใหญ่ ไม่รู้แม้แต่น้อยว่าจิตใจของลู่เซิ่นเผชิญกับคลื่นลูกยักษ์ถาโถมอย่างไร
เธอยังคงถูกขังบนเกาะแห่งนี้
ตลอดเวลาทั้งวัน เธอไม่ได้ไปที่ไหนทั้งนั้น ได้แต่อยู่ในห้องตัวเอง
ใช่ว่าเธอไม่อยากจะหนีไปจากที่นี่
อันที่จริง หลังจากเธอรู้สึกตัวตื่นไม่นาน เธอเคยลองดูแล้ว
เพียงเธอแค่ผลักประตูออกไป ก็เห็นชายสองคนร่างสูงใหญ่กำยำเฝ้าหน้าประตู
เธอลองคิดแล้ว แน่ใจว่าตัวเองไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับสองคนนี้
เช่นนั้น สองคนนี้เพิ่งถูกเลือกเข้ามาสำนักงานใหญ่ในช่วงหนึ่งปีนี้ที่เธอจากไป
“ฉินซี” สองคนนั้นกลับคุ้นเคยกับเธอดี “นายใหญ่สั่งไว้ ร่างกายคุณตอนนี้ยังต้องพักผ่อน อย่าออกไปเดินเตร่ ถึงเวลาจะมีคนเอาอาหารมาส่ง คุณกลับเข้าไปพักผ่อนเถอะครับ”
เมื่อดูจากระดับในองค์กร สถานะของฉินซีสูงไม่น้อย น้ำเสียงของทั้งสองคนเคารพนบนอบ ฉินซีเดาได้ว่าตำแหน่งของพวกเขาคงต่ำกว่าตัวเอง
น้ำเสียงของเธอจึงแข็งขึ้นหน่อย “ฉันต้องพักผ่อนมั้ย ต้องให้พวกคุณบอกหรือไง ฉันนอนพอแล้ว อยากไปยืดเส้นยืดสายสักหน่อย”
สองคนนั้นสบตากัน น้ำเสียงลำบากใจ “ฉินซี ไม่ใช่ว่าพวกเราจะไม่ให้คุณออกไป พวกเรา…ไม่กล้าฝืนคำสั่งของนายใหญ่ คุณอย่าทำให้พวกเราลำบากใจเลย ได้มั้ยครับ”
ฉินซีจ้องมองทั้งสองคนสายตาเย็นชา
ที่จริงจ้านเซินคิดอย่างไร เธอไม่รู้เลย
เช้าวันนี้ตอนที่เธอตื่นขึ้นมา สิ่งแรกที่ทำ ก็คือพลิกดูกระเป๋าเดินทาง
กล่องที่ตัวเองนำมาจากรีสอร์ทชิงหยวน กระทั่งอุปกรณ์ถ่ายภาพ ก็ถูกส่งมาด้วย
มีแต่ข้าวของที่ติดต่อกับโลกภายนอกได้ ถูกเก็บไปหมด
มือถือ คอมพิวเตอร์ แท็บเล็ต ทั้งหมดหายไปไร้ร่องรอย
จ้านเซินต้องการตัดขาดการติดต่อของเธอกับโลกภายนอก
ไม่ให้เธอออกไปข้างนอก คงจะกลัวว่าเธอจะไปเจออะไรข้างนอก หาเครื่องมือที่ติดต่อกับโลกภายนอกได้
ถ้าหากคนเราถูกขังเป็นเวลานาน จะทำให้เกิดอาการโรคสตอกโฮล์มกับคนร้ายที่ขังตัวเอง
แต่ฉินซีไม่มีทางปล่อยให้จ้านเซินสมหวังแน่
แต่สถานการณ์ตรงหน้าในตอนนี้ เธอไร้หนทางหลบหนีจริงๆ
แม้ความทรงจำของเธอจะกลับมาแล้ว แต่ก็ไม่ได้ฝึกฝนมาปีกว่าแล้ว เมื่อก่อนเธอมีทักษะ แต่แรกเป็นประเภทป้องกันตัวไม่ใช่ประเภทจู่โจม ไม่ได้ฝึกฝนมานานขนาดนี้ ยากที่จะพร้อมใช้งาน
ไม้แข็งเป็นไปไม่ได้ ไม้อ่อนดูท่าแล้ว…ก็ไม่น่าจะได้ผล
คนเฝ้าประตูสองคนนี้ดูท่าทางแล้วไม่แข็งแกร่งนัก แต่ฉินซีก็รู้ดีว่า คนในองค์กร กับคำสั่งของจ้านเซินแล้ว ไม่อาจต่อต้านได้
เธอไม่มีทางเลือกอื่น จำใจปิดประตู นอนลงที่เตียงอีกครั้ง
ที่จริงเธอยังรู้สึกอ่อนล้า ไม่ว่าจะเป็นผลของยา หรือการสะกดจิตเมื่อวาน เหมือนกับใช้กำลังวังชาของเธอไปหมด ทำให้เธอรู้สึกว่าตัวเองเบาโหวง เก็บอุณหภูมิไม่ได้ และเก็บพลังงานไม่อยู่
แต่เมื่อหลับตา ก็ไม่อาจหลับลงได้
วานนี้ความทรงจำที่ถูกยัดเข้ามาในหัวเหมือนเม็ดต้นหลิวปลิดปลิว กระจัดกระจายในหัวของเธอ
เดี๋ยวก็เป็นสีเลือดตอนที่เหยาหมิ่นกระโดดตึก เดี๋ยวก็เป็นรอยยิ้มปนน้ำตาก่อนที่ฟางฟางจะจากไป เดี๋ยวก็…หอศิลป์เมื่อหนึ่งปีก่อน ใบหน้าด้านข้างของลู่เซิ่นตอนที่เอียงหน้ามองผลงานของตัวเอง
ฉินซียังคงปวดขมับ เหมือนถูกอะไรสักอย่างบีบเต็มแรง แต่เมื่อภาพพวกนี้ลอยเข้ามาเบื้องหน้าเธอ เธอยังคงมีปฏิกิริยาโดยอัตโนมัติ
เจ็บปวด หรือใจเต้น
จากนั้น ความทรงจำพวกนี้ก็ค่อยๆ เลือนรางลง เธอมีสมาธิกับการครุ่นคิดปัญหาหนึ่ง เธอจะหนีไปจากที่นี่ได้อย่างไร
แม้ว่าจะจำเรื่องที่เธอเกี่ยวข้องกับองค์กรได้แล้ว แต่เธอไม่อยากจะอยู่ที่นี่ต่อไปสักนิดเดียว
เพราะคิดถึงความตายของฟางฟางยิ่งทำให้อยากหนีไปจากที่นี่
แต่เธอรู้ดี ที่นี่คือเกาะห่างไกล สภาพของเธอตอนนี้ ไม่มีหนทางจะหนีไปไหนได้
เธอหลับตานอนตลอดช่วงเช้า กระทั่งประตูมีเสียงแกรก ถูกเปิดจากด้านนอก
ฉินซีไม่ต้องลืมตา แค่ฟังเสียงฝีเท้า ก็รู้ว่าคนนั้นไม่ใช่ใครอื่น เขาคือจ้านเซิน
“ยังรู้สึกไม่สบายหรือ” น้ำเสียงจ้านเซินฟังแล้วเหมือนจะอบอุ่น ราวกับแค่ฟังเสียงก็มองเห็นสายตาที่เพ่งความสนใจฉินซี ทำให้นึกไม่ถึง เขาจะกล้าบังคับฉินซีมาที่นี่ ไม่สนใจว่าเธอเต็มใจหรือไม่สะกดจิตให้เธอจำเรื่องทุกอย่างได้
ฉินซีไม่ได้คิดจะหนีเขา เพียงแต่หลับตา ไม่ตอบคำถาม
“ผมรู้ว่าคุณไม่ได้หลับ” จ้านเซินเดินมาที่ข้างเตียงฉินซี หยุดฝีเท้า มองเธอ “ลุกเถอะ คุณไม่ได้กินอาหารนานแล้ว ผมให้คนเตรียมอาหารย่อยง่ายให้แล้ว คุณบำรุงหน่อยละกัน”
ฉินซียังหลับตา ไม่ตอบอะไร
จ้านเซินกลับไม่เซ้าซี้ต่อ เพียงแต่ยิ้มนิดๆ “ถ้าคุณไม่ยอมกินข้าว ผมก็คงต้องให้คนมาเจาะน้ำเกลือให้สารอาหารเหลวใช่ว่าไม่ดี แต่ผมบอกไม่ได้นะ ในสารอาหารจะใส่อะไรลงไป”
ฉินซีทนไม่ได้ลืมตาในที่สุด ขมวดคิ้วจ้องมองจ้านเซินยิ้มเยาะ “ฉันควบคุมคุณใส่อะไรในสารอาหารเหลวไม่ได้ แล้วฉันจะควบคุมได้หรือไงว่าคุณจะใส่อะไรลงไปในอาหาร”
จ้านเซินไม่โต้ตอบคำพูดเสียดสีของเธอ ยิ้มอย่างอ่อนโยน “ผมบอกแล้วไง คุณไม่ได้หลับ ตอนที่คุณหลับเป็นยังไง ผมรู้ดีกว่าคุณ หลอกผมไม่ได้หรอก”
ฉินซีได้ยินเช่นนั้น ไม่รู้สึกว่าอ่อนโยนสักนิด แต่กลับขนลุก
แกล้งหลับไม่มีประโยชน์แล้ว เธอลุกขึ้นนั่ง เหลือบมองอาหารที่จ้านเซินนำมา ถามเสียงเย็น “ฉันจะเชื่อคุณได้ยังไง อาหารนี่ปลอดภัย”
จ้านเซินยิ้มส่ายหน้า “คุณอยู่ตรงนี้แล้ว เรื่องที่ควรจำได้ก็นึกออกหมดแล้ว ผมต้องวางยาอีกทำไม”
ฉินซีไม่เชื่อคำพูดของเขา แต่เธอไม่มีวิธีการอะไรอย่างอื่น
ถ้าหากไม่กินอาหาร ก็ไม่มีกำลังวังชา
เรื่องหนีไปจากที่นี่ ก็คงเป็นเรื่องนานจากนี้
เมื่อคิดเช่นนี้ ฉินซีหยิบจานอาหารขึ้นมาในที่สุด