Flash Marriage เธอต้องแต่งงานกับฉัน - ตอนที่ 1247
บทที่ 1247 ในตอนสุดท้ายก็ยังไม่เต็มใจ
ในไม่กี่วินาทีความคิดต่างๆก็กระพริบผ่านจิตใจของฉินซี
แต่เธอก็รู้ว่า จ้านเซินกำลังจ้องมองตนเองด้วยความสนใจ และตนเองนั้นไม่มีเวลาที่จะคิดมาก
จากนั้นไม่กี่วินาทีต่อมา เธอจึงพูด “ถ้ามีอะไรที่ต้องการช่วยเหลือล่ะก็ ฉันจะไป ไม่อะไรให้ช่วย ฉันก็ไปได้”
เธอยังคงไม่พูดอะไรให้ชัดเจน
ถ้าตนเองปฏิเสธแบบจริงๆจังๆล่ะ ฉินซีรู้ จ้านเซิน จะไม่มีวันบังคับให้ตนเองไป ในความจริงแล้วเขาอาจหวังว่าตนเองนั้นจะอยู่บนเกาะไปตลอดชีวิต
แต่เธอก็ยังคงไม่พอใจ
ถ้าพูดไปแล้ว……จะเป็นอย่างไรถ้าเกิดนี่เป็นกับดักอีกอย่างของจ้านเซินล่ะก็?
ไม่ง่ายเลยที่เธอจะคืนสู่ระดับอิสระในปัจจุบัน และแน่นอนว่าไม่อยากกลับไปเหมือนเมื่อก่อนไปไหนก็ถูกจับจ้องมองไปทุกที
ดังนั้นเธอจึงให้คำตอบได้แค่นี้
จ้านเซินยักไหล่ ราวกับว่าไม่พอใจกับคำตอบของเธอมากนัก “แม้ว่าแผนการนี้จะง่ายมาก แต่ก็ไม่น่ายากที่จะนำไปใช้ แต่ฉันคิดว่า……คุณควรไปดู อย่างไรก็ตามฉันไม่ได้ติดต่อกับองค์กรมานานแล้ว ถ้าเข้ารวมได้ ก็ควรไปเข้ารวม”
ความประหลาดใจของฉินซีเพิ่มขึ้นนิดหน่อย
——จ้านเซินกลับเสนอออกมาว่าจะออกไปด้วยตนเอง ?
เขากำลังคิดอะไรอยู่ ? หรือว่าจะมีแผนการอะไรอีก ?
ความไว้วางใจของฉินซีเกี่ยวกับจ้านเซินไม่มีอีกแล้ว ดังนั้นจากที่ฟังเขาพูดมา มีแต่จะสงสัยขึ้นเรื่อยๆเท่านั้น
“และ…..” หางเสียงของจ้านเซินลากยาวมาก ซึ่งดูเหมือนจะมีแรงจูงใจแอบแฝง “ฉันคิดว่า คุณไม่ควรพลาดพิธีแต่งงานของลู่เซิ่น”
ฉินซีหัวเราะเยาะอยู่ในใจ
แน่นอน เขายังคงมีแรงจูงใจแอบแฝง
คำพูดหยุดลงตรงนี้ ทำไมเธอถึงยังไม่เข้าใจ จ้านเซินต้องการมีส่วนร่วมในแผนการนี้ด้วยตนเอง ตั้งแต่ต้นจนจบไม่มีอะไรที่จะสอนเธอได้ แค่จะทำให้เธอไม่สบายใจเท่านั้น
เขาต้องการให้เธอได้รับการเตือนสติอยู่ตลอดเวลาว่า ลู่เซิ่น กำลังจะแต่งงานกับคนอื่นแล้ว
เขาอาจรู้สึกว่าการทำเช่นนี้เท่านั้น ฉินซีถึงยอมตายจากลู่เซิ่นได้จริงๆ
……จริงๆแล้วไม่จำเป็นต้องใช้เวลามากขนาดนี้
ให้เธอปล่อยลู่เซิ่น ไม่ได้ซับซ้อนหรือยากเกินไป
เพียงแค่เธอได้ฟังลู่เซิ่นพูดแบบตัวต่อตัว เขากำลังจะแต่งงานกับคนอื่นจริงๆ กำลังตกหลุมรักคนอื่นจริงๆ แค่นี้เธอก็ตายใจแล้ว
ส่วนอย่างอื่น ไม่ว่าจะทำมากแค่ไหนก็อาจไม่มีประโยชน์
แต่……เนื่องจากจ้านเซินรีบเปิดโอกาสให้ตนเอง ถ้าไม่ใช่ มันก็จะสูญเสียเปล่าๆ
ดังนั้นฉินซีจึงแสร้งทำเป็นลังเลอยู่สองสามวินาที ก่อนที่จะพยักหน้าช้าๆ “ถ้าคุณว่าเป็นอย่างนี้จะดีกว่าล่ะก็ ”
“ถ้าอย่างนั้นก็ตกลงแบบนี้ ” จ้านเซินขัดจังหวะคำพูดของเธอโดยไม่ลังเลและมองเธอด้วยรอบยิ้ม “หากคูณวางแผนที่จะลงมือในงานแต่งล่ะก็ ฉันยังสามารถทำตั๋วเข้าขมให้คุณได้”
ฉินซียิ้มช้าๆ “น่าเสียดายจริงๆ ”
ทั้งสองคนไม่มีอะไรจะพูด จ้านเซินสั่งบางอย่างเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการออกไปข้างนอก ฉินซีจดจำทีละอย่าง และเตรียมพร้อมที่จะออกจากที่ทำงาน
ใกล้จะถึงเวลาอาหารเย็นแล้ว ไม่ไปทานข้าวเหรอ ? จ้านเซินชอบพูดอย่างกะทันหันหลังจากที่เธอลุกขึ้นยืน
ฉินซีพยักหน้า “ตอนนี้เตรียมตัวที่จะไป ”
ฉันได้ยินคนอื่นพูด สองสามวันก่อนคูณไม่ได้ไปทานข้าวเลย ? ดวงตาของจ้านเซินดูเหมือนว่าจะเต็มไปด้วยความกังวล “ เป็นอะไรเหรอ ” รู้สึกไม่สบายตัว ?
ฉินซีหยุดชั่วคราว ส่ายหัวและกล่าวว่า “ไม่ใช่ว่าไม่สบายหรอก เป็นเพราะอากาศช่วงนี้ค่อนข้างร้อนนิดหน่อย ไม่ค่อยมีความอยากอาหาร”
ใบหน้าของจ้านเซินแสดงให้เห็นชัดเจน “จริงอยู่ว่า สภาพอากาศบนเกาะนี้ร้อนมาก ถ้าคุณไม่สบายล่ะก็ ฉันจะบอกให้พวกเขาลดอุณหภูมิเครื่องปรับอากาศลง แต่ข้าวก็ยังคงต้องกิน ไม่งั้นจะดู……เหมือนว่าคุณมีอะไรบางอย่างในใจ”
ฉินซียิ้มจางๆ “ดีล่ะ งั้นคงต้องเกรงใจคุณแล้ว”
เธอจงใจไม่ตอบประโยคครึ่งหลังของจ้านเซินแสร้งทำเป็นไม่เข้าใจในการทดสอบของเขา พยักหน้าและออกจากห้องทำงานของจ้านเซิน
อย่างที่คาดไว้ มีการเฝ้าติดตามร่องรอยเบาะแสทั้งหมดของตนเอง
แม้จะไม่มีความยากอาหารเลย แต่เธอก็ยังไปที่โรงอาหาร
ถ้าเขาไม่กินอีกต่อไป… จ้านเซินอาจรู้สึกว่าตนเองมีเรื่องบางอย่างในใจอีกแล้ว ไม่กินเพราะคิดมากเกินไป
—แม้ว่าสิ่งที่เขาพูดอาจจะไม่ถูก
แต่เรื่องนี้ไม่สามารถให้เขาสังเกตเห็นได้
ฉินซีสั่งอาหารไปหนึ่งชุด นั่งอยู่ตรงมุมและกินด้วยตนเอง
คำพูดของจ้านเซินยังคงหมุนวนอยู่ในหัวของเธอ
…โอกาสที่จะออกจากเกาะที่ตนเองนั้นปรารถนา มันมาง่ายขนาดนี้เชียวหรือ ?
เธอยังคงรู้สึกไม่น่าเชื่อเล็กน้อย
แต่ความประหลาดใจสั้นๆผ่านไป เธอพบว่าตนเองต้องเผชิญกับปัญหาที่ร้ายแรงกว่านั้น
แม้ว่าจะสามารถออกไปจากที่นี่ได้ แต่อย่างน้อยเธอก็อาจตกอยู่ในการถูกเฝ้าระวัง ด้วยประการนี้แล้ว ตนเองจะมีโอกาสไปหาลู่เซิ่นได้อย่างไร ?
ถึงจะมีโอกาส ตนเองสามารถหาเขาเจอได้จริงๆหรือ ?
ด้วยคำถามมากมายต่อหน้า ฉินซีจึงเม้มปาก กลืนข้าวโดยไม่รู้รสชาติ
“แถวนี้มีคนอยู่ไหม ”
ทันใดนั้นมีเสียงของใครคนหนึ่งแทรกเข้ามาขัดจังหวะในความคิดเธอ
ฉินซีเงยหน้าขึ้น พบว่าคนที่มาคือ “หมอเหยา” ฉินซีพยักหน้าเป็นการทักทาย “ใครไม่มีนั่งคูณนั่งเลย”
เหยาจ้าวหยิบจานอาหารของตนเองแล้วนั่งลง
“ในช่วงไม่กี่วันนี้ เป็นอย่างไรบ้าง? ”เหยาจ้าวนั่งลงและไม่ได้เร่งรีบที่จะกินข้าว แต่กลับเริ่มที่จะสนทนากับฉินซีก่อน
ฉินซีรู้ว่าในบริเวณกลับเต็มไปด้วยผู้คน และยังมีการเฝ้าจับตามองจากคนที่มองไม่เห็น ดังนั้นจึงไม่ได้พูดอะไร เพียงแต่ยักไหล่และพูดว่า “ก็ยังดี เป็นการเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง”
“อ้อ? ” ท่าทางของเหยาจ้าวรู้สึกด้วยความประหลายใจ “เร็วจัง?”
ฉินซีพยักหน้า
คือเหยาจ้าวกับเธอไปจากบ้านเกิดพร้อมกัน หลังจากนั้นเกิดเรื่องอะไรขึ้น เธออาจจะรู้อยู่บ้าง เป็นเพราะในขณะที่กำลังทานอาหาร ได้ยินมาจากการสนทนาบนโต๊ะข้างๆ
แท้จริงแล้วเหยาจ้าวทำเกี่ยวกับการวิจัยที่ค่อนข้างปลอดภัยในสำนักงานใหญ่ หลังจากออกไปจากบ้านเกิด จ้านเซินโบกมือ ปล่อยให้เขาไปยังสถานที่ห่างไกลและอันตราย เพื่อทำการทดสอบที่ไม่ปลอดภัยอย่างยิ่ง
เนื้อหาในการทดลอง คนนอกไม่เข้าใจ แต่ดูจากน้ำเสียงของพวกเขาที่สนทนาเกินจริงกัน กลัวว่ามันจะเป็นสิ่งที่คร่าชีวิตผู้คนได้หากไม่ระวัง
เธอได้ยินเรื่องนี้ในตอนนั้น ยังแอบกังวลเกี่ยวกับเหยาจ้าวอยู่พักหนึ่ง ในตอนนี้เธอเห็นเขากลับมาอย่างปลอดภัย และในใจก็แอบรู้สึกโล่งใจ
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าดูขึ้นมาว่าไม่มีปัญหาอะไร แต่ฉินซีก็รู้ดีว่า ความเสียหายจากการทดลองบางอย่างในตอนนี้มันยังไม่เห็นผล ถ้าฉายรังสีมากเกินไปจนเป็นมะเร็ง……แค่ดูจากภายนอก ก็ดูไม่ออกอย่างสิ้นเชิง
“ฉันไม่เป็นไร ”จู่ๆ เหยาจ้าวก็พูดขึ้น
เห็นสายตาวูบวาบของเขา ฉินซีรู้ทันที ความคิดของตนเองนั้นถูกเขามองออกแล้ว
“ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว” น้ำเสียงของฉินซีฟังดูปกติมาก
เหยาจ้าวรู้ดีว่าสถานที่แห่งนี้ไม่เหมาะสำหรับการสนทนา
เนื่องจากทุกการกระทำทุกคำพูดของพวกเขา ถูกจับตามอง