Flash Marriage เธอต้องแต่งงานกับฉัน - ตอนที่ 1253
บทที่ 1253 ผลกระทบรุนแรงเกินไปแล้ว
“วันนี้ตอนเช้า ลูกซื้อหุ้นของบริษัทลู่ซื่อไปเท่าไร” จู่ๆสูหยิงกลับเปลี่ยนหัวข้อสนทนาอย่างไม่มีสัญญาณ
ลู่เซิ่นชะงักไปครู่หนึ่ง ตามความคิดที่กระโดดไปมาของเธอไม่ทัน แต่ก็ยังตอบกลับว่า “ซื้อไป 40% ครับ”
สูหยิงยื่นหน้ามาดูสถิติบนหน้าจอคอมพิวเตอร์ของเขา ทอดถอนใจเบาๆประโยคหนึ่ง “การซื้อขายในครั้งนี้ทำได้งดงามมากจริงๆ……”
ลู่เซิ่นเม้มปากรับคำชมของเธอ
“ดังนั้นลูกดูสิ แม้ว่าวันนี้แม่จะไม่ได้พาน้าชายที่ไม่ได้เรื่องทั้งสองคนของลูกมา ให้พวกเขาโอนหุ้นในมือให้ลูก อาศัยเพียงแค่ความสามารถของตัวลูกเอง ก็สามารถทำกำไรได้ในระดับสูงสุดภายใต้ความขัดแย้งนี้” สูหยิงหันหน้ามามองลู่เซิ่น “ถ้าหากว่าแม่ใช้บริษัทมาข่มขู่ลูก สิ่งที่เป็นไปได้มากที่สุดอาจจะไม่ใช่การที่ลูกปล่อยมือจากผู้หญิงคนนั้น แต่เป็นการที่ลูกปล่อยมือจากบริษัทลู่ซื่อ”
ลู่เซิ่นมองเธอ พยักหน้าเรียบๆ
เป็นเช่นนั้นจริงๆ แม้ว่าจะไปจากบริษัทลู่ซื่อ ลู่เซิ่นก็รู้ว่า อาศัยความสามารถของตัวเอง เขาไม่ต้องใช้เวลานานก็สามารถได้รับในสิ่งที่ตัวเองควรจะมีทั้งหมดใหม่อีกครั้ง ถ้าหากว่าวันนี้ผู้หญิงที่ตัวเองต้องการแต่งงานด้วยคือฉินซี และตัวเองถูกบีบบังคับจนจนมุม…….
เขาจะต้องปล่อยมือจากบริษัทลู่ซื่อจริงๆ
รอยยิ้มที่ประดับบนใบหน้าสูหยิงแฝงไปด้วยความอาลัยที่รู้สึกถึงได้ยาก “ดังนั้น เมื่อคำนึงถึงผลประโยชน์ของทั้งบริษัทลู่ซื่อ แม่ไม่มีทางใช้บริษัทมาข่มขู่ลูก สำหรับเรื่องที่แม่ใช้สุขภาพของตัวเองมาข่มขู่ลูกนั้น….แม่รู้ว่า ยังใช้ได้ แต่ว่าหลังจากที่ลูกปล่อยมือจากเธอเพื่อแม่แล้ว ลูกก็ไม่มีความสุขเลย ไม่ใช่หรือ”
ลู่เซิ่นเงยหน้ามองเธอ
เป็นเช่นนั้นจริงๆ เขาไม่มีความสุขเป็นอย่างมาก
ในสามเดือนกว่าที่ฉินซีไปจากข้างกายตัวเองนี้ เขาแทบจะไม่ได้หัวเราะดีๆเลย นอนที่รีสอร์ทชิงหยวนนั้นหลับไม่สนิท ย้ายไปบ้านตระกูลลู่ก็หลับไม่สนิทเช่นกัน
แรกเริ่มคือความกังวลและเป็นทุกข์ ในภายหลังคือความคิดถึง และหลังจากนั้นก็รวมกันกลายเป็นโทสะเล็กน้อย
จู่ๆสูหยิงก็ยื่นมือมา ประคองแก้มของลู่เซิ่นเอาไว้ “ช่วงนี้นักโภชนาการดูแลลูกไม่ดี”
ลู่เซิ่นมองตาเธอ ยิ้มบางๆ
พวกเขาล้วนรู้ว่า การที่สูหยิงพูดแบบนี้ เป็นเพียงแค่ข้ออ้างข้อหนึ่งเท่านั้น
ระยะนี้มองดูแล้ว ลู่เซิ่นผอมลงไม่น้อย แต่เมื่อเทียบกับการเปลี่ยนแปลงของรูปร่างและโครงหน้าที่แหลมตอบของเขา สิ่งที่น่าตกใจยิ่งกว่าคือการเปลี่ยนแปลงทางบุคลิกลักษณะของเขา
ก่อนหน้านี้ลู่เซิ่นล้วนมีความมั่นใจจนรู้กันไปทั่ว กระทั่งบางครั้งยังถูกหลินยี่เหน็บแนมว่าเป็นนกยูงรำแพน
แต่ว่าระยะนี้เขาเงียบขรึมโดดเดี่ยวไม่น้อย มองดูแล้วไม่เหมือนกับคุณชายตระกูลลู่จอมเผด็จการที่รู้กันไปทั่วคนนั้น
เขากลายเป็นประธานลู่ที่เงียบขรึมไปแล้วจริงๆ แต่การเติบโตแบบนี้กลับต้องจ่ายค่าตอบแทนด้วยการสูญเสียคนรักไป
สูหยิงจะใจร้ายอย่างไร สุดท้ายแล้วก็ยังเป็นแม่คนหนึ่ง เธอเห็นการเปลี่ยนแปลงของลู่เซิ่นแล้ว ก็รู้สึกเป็นทุกข์
เห็นลู่เซิ่นได้นอนแค่ไม่กี่ชั่วโมงในวันหนึ่ง เวลาทั้งหมดแทบจะหมกตัวอยู่ในบริษัท แววตาคล้ายกับว่ามีเรื่องในใจมากมาย แต่กลับไม่อาจพูดออกมาได้ ความรู้สึกแรกที่เธอสัมผัสได้กลับไม่ใช่ความภาคภูมิใจที่เลี้ยงเขาออกมาด้วยมือตัวเอง แต่เป็นความปวดใจ
“ดังนั้น” เสียงของสูหยิงอ่อนโยนอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน “ถ้าหากว่าลูกมีคนที่อยากอยู่ด้วยกันตลอดชีวิต แม่อาจจะไม่เห็นด้วย แต่ว่า…..แม่ก็จะไม่ทำให้ลูกลำบากใจแล้ว”
…………
ตอนที่หลินหยังกลับมาเคาะประตู หลังจากส่งสูหยิงจากไปแล้ว ก็เห็นลู่เซิ่นที่ยังมีท่าทางเหม่อลอยอยู่ จึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง
“ประธานลู่” เขายังคงต้องเอ่ยเรียก “ทางบ้านส่งอาหารมาแล้วครับ”
ลู่เซิ่นที่มองเขาวางกล่องข้าวไว้บนโต๊ะทำงาน หลังจากจัดเรียงอุปกรณ์ทานอาหารเรียบร้อย ก็พยักหน้าให้ และเดินออกไปแล้ว ก็ไม่ได้ยื่นมือไปหยิบตะเกียบในทันที
คำพูดเมื่อครู่นี้ของสูหยิงมีผลกระทบต่อเขามากเกินไปแล้ว
เขาไม่เคยคิดเลยว่า จะมีวันหนึ่งที่จะได้ยินคำพูดแบบนี้จากมารดาที่เชิดหน้าอยู่ตลอดของตัวเอง
นับตั้งแต่เขาจำความได้ สูหยิงก็เป็นมารดาที่มีความเข้มงวดมากคนหนึ่ง เธอแทบจะไม่เคยชื่นชมตัวเอง มากสุดก็ใช้สายตาแสดงถึงความเห็นด้วยของตัวเอง สิ่งที่พูดออกมาคือคำตำหนิอย่างแน่นอน
ลู่เซิ่นรู้สึกว่าการที่ตัวเองเติบโตขึ้นมาเป็นคนปกติคนหนึ่ง ภายใต้การอบรมสั่งสอนแบบนี้ของมารดานั้นไม่ง่าย
ดังนั้นสำหรับลู่เซิ่นแล้ว คำพูดเมื่อครู่นี้ของสูหยิง แทบจะไม่เคยคาดคิดมาก่อน
กระทั่งเขายังรู้สึกสงสัยอยู่บ้างว่า เป้าหมายที่แท้จริงในการจัดงานแต่งงานนี้ของตัวเอง ถูกลู่เหวยเปิดเผยให้สูหยิงรู้แล้วใช่หรือไม่ ถึงได้ทำให้เธอเกิดความรู้สึกทอดถอนใจแบบนี้ขึ้นมากะทันหัน จนถึงขั้นเปิดปากพูดถึงคู่แต่งงานของตัวเองหลังจากนี้
นี่ไม่เหมือนเธอเกินไปแล้ว แทบจะทำให้ลู่เซิ่นนึกว่าเหตุการณ์ทั้งหมดเมื่อครู่นี้เป็นเพียงแค่ภาพหลอนภาพหนึ่ง
แต่ว่าเขากลับสามารถรู้สึกได้ว่า มีกระแสความอบอุ่นเริ่มไหลเข้ามาในหัวใจ กระแทกเข้ากับทุกส่วนในร่างกายของตัวเอง
เขาไม่ปรารถนาถึงการเห็นด้วยของสูหยิง ถ้าหากว่าฉินซีสามารถกลับมาได้ ขอเพียงแค่สูหยิงไม่ทำให้ลำบากใจ อย่างนั้นก็เป็นผลลัพธ์ที่ดีที่สุดแล้ว
ลู่เซิ่นคิดถึงตรงนี้แล้ว ก็อดไม่ได้ที่จะเหลือบมองมุมขวาด้านล่างของหน้าจอคอมพิวเตอร์ครั้งหนึ่ง
เวลา 12:05 แล้ว
ยังเหลืออีก 20 ชั่วโมงก็จะถึงวันแต่งงาน
ฉินซี……กลับไม่มีข่าวคราวใดๆ
…………
ในเวลาเดียวกันนั้น ฉินซีก็กำลังทานอาหารกลางวันอยู่
เธอโดยสารรถมาจนถึงฐานที่มั่นที่ปลอดภัย และไม่สะดุดตาแห่งหนึ่งขององค์กรในประเทศF ด้านในไม่มีใคร ทานอาหารกลางวันก็ต้องสั่งอาหารเดลิเวอรี่
ฉินซีทานไป พลางพิจารณามองสภาพแวดล้อมรอบด้านอย่างพยายามไม่ทิ้งร่องรอย ผ่านทางหน้าต่างที่อยู่ด้านหน้าตัวเอง
อาศัยการจับตาดูทิศทางที่เลือนรางจากบนรถ ตอนนี้พวกเขาน่าจะอยู่ทางทิศใต้ของเมืองA
ตอนที่พวกเขากำลังลงจากรถ ฉินซีก็กวาดตามองสภาพแวดล้อมรอบด้านอีกรอบหนึ่ง พบว่าบ้านที่อยู่รอบๆล้วนเหมือนกับบ้านที่พวกเขาอยู่ เป็นอาคารที่อยู่อาศัยเก่าที่เฉลี่ยแล้วสูงไม่เกิน 5 ชั้น
ฉินซีค้นข้อมูลในสมองรอบหนึ่ง กำหนดตำแหน่งทิศทางที่พวกเขาอยู่ในตอนนี้คร่าวๆ
ไม่รู้ว่าเป็นเหตุบังเอิญ หรือว่าจ้านเซินจงใจจัดการ ถ้าหากว่าตำแหน่งของฉินซีไม่ผิดล่ะก็ พวกเขาอยู่ไม่ใกล้บ้านตระกูลลู่ แต่กลับมีระยะทางที่อยู่ใกล้กับรีสอร์ทชิงหยวนมาก
ตอนที่รับรู้ถึงจุดนี้นั้น หัวใจก็ฉินซีก็เต้นเร็วขึ้นเล็กน้อยอย่างอดไม่ได้
แน่นอนว่าเธอรู้ว่าวันนี้ลู่เซิ่นไม่อาจจะอยู่ที่รีสอร์ทชิงหยวนได้ เขาจะต้องอยู่ที่บ้านตระกูลลู่เพื่อตระเตรียมงานแต่งงานในวันพรุ่งนี้แน่นอน
เธอก็รู้เช่นกันว่าการพบกับลู่เซิ่นคือเจตนาเดิมที่แท้จริง เพื่อที่จะทำให้ตัวเองตัดใจได้
แต่เมื่อเห็นสภาพการณ์เบื้องหน้าที่ถูกสอดส่องอย่างหนักแล้ว เธอก็รู้เช่นกันว่า การจะบรรลุเป้าหมายนี้ของตัวเอง คาดว่าเป็นไปได้ยากอยู่บ้าน
ถ้าหากไม่ได้จริงๆล่ะก็ อย่างนั้นก็กลับไปดูที่รีสอร์ทชิงหยวนสักหน่อยก็พอแล้ว
แม้ว่าตอนจากกันจะบอกลากันเรียบร้อยแล้ว แต่ฉินซีกลับมักจะฝันว่ากลับมารีสอร์ทชิงหยวนในความฝัน
กระทั่งในบางครั้ง เธอไม่ได้ฝันถึงลู่เซิ่น แต่กลับฝันถึงแม่บ้านและเหล่าคนรับใช้ที่ดีต่อตัวเองมาก
ตอนที่คุณปู่ยังอยู่ก่อนหน้านี้ เธอถือว่าที่นี่เป็นบ้าน ภายหลังคุณปู่ไม่อยู่แล้ว เธอกลับค่อยๆคิดว่าที่นั่นเป็นบ้าน
ดังนั้น ฉินซีจึงวางแผนในใจเงียบๆ อีกครู่หนึ่งทานข้าวเสร็จแล้ว จะอ้างว่าตัวเองต้องการออกไปเดินเล่น และจะสามารถแวะไปดูที่รีสอร์ทชิงหยวนสักหน่อยได้หรือไม่นะ…….
เธอวางแผนในใจ แต่กลับถูกเสียงเรียกเข้าโทรศัพท์มือที่ดังขึ้นกะทันหันทำให้สะดุ้งตกใจ
เธอมองไปตามที่มาของเสียง ถึงได้พบว่าไม่ใช่โทรศัพท์มือถือของเธอที่เสียงดัง แต่เป็นของจ้านเซิน
จ้านเซินก็คล้ายกับน่าประหลาดใจเล็กน้อย แต่เขาก็หยิบโทรศัพท์มือถือและลุกขึ้นยืน เดินออกไปด้านนอกอย่างรวดเร็ว