Flash Marriage เธอต้องแต่งงานกับฉัน - ตอนที่ 1256
บทที่ 1256 นอกเหนือการคาดการณ์
ลู่เซิ่นมองบรรยากาศตึงเครียดระหว่างทั้งสองคนแล้ว ก็รู้ว่า แม้ว่าหลังจากนี้อารองจะหาโอกาสไปชี้แจง เรื่องที่เขาเปิดเผยให้ลู่เหวยรู้เป็นแค่เรื่องพื้นๆเล็กน้อยจริงๆ ไม่มากพอที่จะสนับสนุนให้ลู่เซิ่นเตรียมตัวพร้อมสรรพแบบนี้ อาสามก็ยากที่จะเชื่อแล้ว
“อาสาม” ลู่เซิ่นได้โอกาสที่เหมาะจะเอ่ย “หลายปีมานี้ อาอยู่ที่เมืองหนานจนเบื่อแล้ว ถึงได้ก่อเรื่องขึ้นมาเรื่องแล้วเรื่องเล่าใช่ไหมครับ”
อาสามหัวเราะเสียงเย็น “ฉันอายุมากขนาดนี้แล้ว จะก่อเรื่องพวกนี้ไปเพื่ออะไร ถึงแม้ว่าฉันจะได้มาไว้ในมือ จะมีเวลาชื่นชมมันสักกี่ปีกัน สิ่งที่ฉันทำทั้งหมด ก็แค่เพื่อลูกชายที่ไม่เอาอ่าวของฉันคนนั้นเท่านั้นเอง!”
ลู่เซิ่นพยักหน้าเล็กน้อย คำตอบนี้ก็ไม่ถือว่าอยู่นอกเหนือการคาดการณ์
ตอนแรกคุณปู่ของเขา ได้นำหุ้นส่วนหนึ่งของบริษัทลู่ซื่อขายให้กับพี่น้องของตัวเองในราคาต่ำ เนื่องจากมีความผูกพันกันกับพี่น้อง นั่นก็คือบิดาของอารองกับอาสาม
หลังจากที่บิดาของพวกเขาเสียชีวิตแล้ว สิทธิ์ของผู้ถือหุ้นเหล่านี้ย่อมให้พวกเขาเป็นผู้สืบทอดต่อ
แต่จากพินัยกรรมของคุณปู่ของลู่เซิ่น ถ้าหากว่าอารองและอาสามเสียชีวิตไปแล้ว หากจำเป็นต้องให้ผู้สืบทอดรุ่นถัดไปได้ครอบครองสิทธิ์ของผู้ถือหุ้นเหล่านี้ สิทธิ์ของผู้ถือหุ้นจะต้องถูกลดลงหนึ่งเท่า
คุณปู่น่าจะเป็นกังวลว่า อาจจะเกิดเหตุการณ์ยึดอำนาจขึ้นในภายหลัง ถึงได้แสดงออกอย่างชัดเจนถึงสถานการณ์เช่นนี้เป็นพิเศษ
แต่เขาคิดไม่ถึงเลยว่า พินัยกรรมของตัวเองจะทำให้อารองกับอาสามนั่งไม่ติด
“อาสาม” น้ำเสียงของลู่เซิ่นเรียบเฉย “ผมกับคุณพ่อแทบจะไม่ได้กลับเมืองหนาน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า พวกเราไม่รู้เรื่องที่พวกอาทำในเมืองหนานเหล่านั้น”
อาสามสีหน้าชะงัก ริมฝีปากขยับไปมา แต่สุดท้ายแล้วก็ไม่ได้พูดอะไร
“หลายปีมานี้ อาใช้ประโยชน์จากป้ายชื่อของตระกูลลู่ในการทำธุรกิจ เพราะว่าสุดท้ายก็ไม่ค่อยมีชื่อเสียง ผมจึงไม่ได้สนใจ” ลู่เซิ่นเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยต่อ “แต่จากข้อมูลที่ผมได้ทราบมา เงินที่พวกคุณได้รับในหลายปีมานี้…….ก็ไม่น้อยแล้วนะครับ”
เขากวาดตามองผ่านทั้งสองคนเนือยๆ อารองและอาสามกลับไม่รู้ว่าทำไมถึงได้รู้สึกหนาวขึ้นมาเล็กน้อย
“อาสามครับ” ลู่เซิ่นเดินไปข้างกายเขา วางมือข้างหนึ่งบนบ่าเขา “สิทธิ์ของผู้ถือหุ้นในมือของอา แม้ว่าจะถูกลดลงไปครึ่งหนึ่ง บวกกับเงินที่หามาได้ในหลายปีมานี้ ก็มากพอที่จะให้ลูกชายของอาใช้ชีวิตดีๆต่อไปได้แล้ว อาก่อเรื่องแบบนี้ กลับกลายเป็นว่าอะไรก็ไม่เหลือแล้ว”
คำพูดนี้ของลู่เซิ่นแทงไปยังจุดที่เจ็บปวดของอาสาม
เพื่อต่อสู้ให้ถึงที่สุดในวันนี้ เขาติดค้างน้ำใจผู้คนนับไม่ถ้วน เพื่อยืมเงินจำนวนมหาศาล
แต่สิ่งที่เขาคาดการณ์เอาไว้ ล้วนไม่มีอะไรที่ได้เลย
เขาได้ประเมินระหว่างเดินทางมาแล้ว แม้ว่าตัวเองจะขายทรัพย์สินของตัวเองทั้งหมดทิ้ง ก็ไม่มีทางที่จะใช้หนี้พวกนี้ได้
เขามีชีวิตมานานขนาดนี้ เป็นครั้งแรกที่รู้สึกว่าเงินทองเหมือนกับภูเขาลูกใหญ่ ที่กดทับตัวเองเอาไว้อย่างโหดร้าย
แผ่นหลังเขางองุ้มลงโดยไม่ทันรู้ตัว
“อาสาม” น้ำเสียงของลู่เซิ่นแฝงไปด้วยการปลอบประโลมหลายส่วน “วันนี้ลำบากมาทั้งวันแล้ว ผมประเมินดูแล้ว จำนวนเงินที่อาลงทุนน่าจะประมาณสามเท่าของทรัพย์สินที่อาสะสมมาหลายปีนี้สินะ”
อาสามไม่ได้รู้สึกประหลาดใจว่า ทำไมลู่เซิ่นถึงได้รู้เกี่ยวกับตัวเองชัดเจนขนาดนี้อีกแล้ว และก็คร้านที่จะโต้กลับต่อ เพียงแค่พยักหน้าอย่างเหนื่อยอ่อน ไม่ส่งเสียงอะไร
ลู่เซิ่นตอบเสียงเบา “อย่างนั้น……อาวางแผนจะใช้คืนอย่างไรครับ”
อาสามแค่นเสียงเย็น “ฉันเดินมาถึงจุดนี้ ก็ไม่ใช่ว่าถูกแกทำร้ายหรอกหรือ ไม่จำเป็นต้องแสร้งทำเป็นเจ็บปวดทุกข์ทรมานอะไรกับฉันหรอก”
ลู่เซิ่นกลับส่ายหน้า “อาสาม คำพูดนี้ อาพูดผิดแล้วครับ คนที่ทำร้ายให้อาเดินมาอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ในวันนี้ คือตัวอาเอง แต่ว่าผม……อาจจะช่วยอาได้”
แน่นอนว่าอาสามไม่เชื่อ ยังนึกว่าลู่เซิ่นกำลังพูดเยาะเย้ยอะไรตัวเองอยู่ เงยหน้ามองเขา “ลู่เซิ่น แกก็ไม่จำเป็นต้องอวดดีเกินไป ชีวิตของคนเราไม่อาจราบรื่นได้ตลอด วันนี้แกพึงพอใจเพราะสิ่งที่หวังไว้เป็นไปตามปรารถนา รอพรุ่งนี้แต่งงานแล้ว ไม่มีแม่ที่ยอดเยี่ยมของแกคอยสนับสนุนแกอีก หลังจากนั้นจะกลายเป็นอย่างไร พวกเรามาคอยดูกัน”
ลู่เซิ่นกลับไม่ได้ถูกเขาแทงถูกจุดที่เจ็บปวด กลับหัวเราะออกมาเบาๆ “ดูท่าอาสามจะไม่ค่อยเชื่อผมแล้ว อย่างนั้นผมจะพูดตรงๆเลยแล้วกัน อาสาม หากอยากจะชำระหนี้นี้ หุ้นบริษัทลู่ซื่อในมือของอาคงเก็บเอาไว้ไม่อยู่แล้วแน่นอน ผมสามารถออกเงินซื้อเอาไว้ได้ อาสามารถนำเงินก้อนนี้ไปใช้หนี้ นี่ไม่ใช่ว่าเป็นการช่วยอาหรอกหรือครับ”
อาสามหยุดชะงักไปสองสามวินาที สีหน้ากลับไม่ได้อ่อนลงเลย “เป็นฉันที่ดูถูกแก ลู่เซิ่น กระเพาะแกใหญ่จริงๆ วันนี้ทั้งวันซื้อไป 8% แล้วยังไม่พอหรือ ยังอยากจะได้สิทธิ์ของผู้ถือหุ้นในมือฉันด้วยหรือ”
ลู่เซิ่นกลับไม่ได้ถูกเขาทำให้มีโทสะ เพียงแค่ส่ายหน้าเบาๆ “อาสาม ทำไมอาถึงยังไม่เข้าใจกันนะ ผ่านวันนี้มาทั้งวัน อายังมองไม่ออกอีกหรือครับ หุ้นที่ผมต้องการ มีวิธีการมากมายที่สามารถซื้อได้ แต่อาต้องการเงิน เพียงแค่ขายหุ้นทิ้ง เส้นทางนี้ก็สามารถเดินต่อไปได้แล้ว ผมไม่ได้ทำร้ายอา แต่ผมกำลังช่วยอานะ”
อาสามยังไม่ได้เอ่ยปาก แต่อารองที่ถูกเมินมาตลอดกลับโผเข้ามาคว้าแขนของลู่เซิ่นเอาไว้กะทันหัน “ลู่เซิ่น อาสามารถขายให้แกได้! อาสามารถขายหุ้นทั้งหมดให้แกได้!”
ลู่เซิ่นหันไปมองสีหน้าร้อนใจของเขา พยักหน้าเบาๆ “อารอง อาอย่าเพิ่งใจร้อน ถ้าหากว่าอาร้อนใจต้องการเงิน แน่นอนว่าผมสามารถซื้อหุ้นกับอาได้”
ใบหน้าของอารองเต็มไปด้วยความวิตกกังวล “ต้องการ แน่นอนว่าอาต้องการ!”
เรื่องราวดำเนินมาจนถึงขั้นนี้แล้ว อารองย่อมไม่อาจจะไม่ออกเงินแม้แต่แดงเดียว แม้ว่าจะจ่ายน้อยกว่าอาสาม แต่เมื่อกลายเป็นแบบนี้ บนร่างเขาก็แบกหนี้เอาไว้เช่นกัน
เดิมจุดยืนของอาสามก็ไม่แน่วแน่ เมื่อถูกอารองทำให้วุ่นวาย สีหน้าก็หวั่นไหวเล็กน้อย
“อารอง” น้ำเสียงลู่เซิ่นอ่อนโยน “แต่ว่ามีเรื่องหนึ่งที่ผมจำเป็นต้องบอกอาก่อน ผมใช้เงินซื้อได้ แต่ว่า…..ไม่สามารถดำเนินการซื้อขายตามราคาในตลาดได้ อีกทั้งเรื่องในวันนี้……พวกอาก็มีเจตนาไม่ดี ถ้าหากว่าผมเห็นคนเดือดร้อนแล้วไม่ช่วย ก็ไม่มีใครโทษผม ผมยินยอมที่จะออกเงินช่วยอา เพราะเห็นแก่ความเกี่ยวข้องกันทางสายเลือดของพวกเรา ไม่ใจร้ายพอที่จะมองพวกอาถูกบีบบังคับสู่ทางตัน”
อารองจับแขนของเขา เหมือนกับคนที่จมน้ำแล้วคว้าขอนไม้ที่ลอยอยู่ในน้ำได้ เสียงของลู่เซิ่นเพิ่งจะสิ้นสุดลง เขาก็รีบร้อนพยักหน้า “แน่นอน อารู้! เรื่องราคาอะไรนั่น ล้วนปรึกษากันได้! ถ้าหากว่าไม่ได้คืนเงินที่ติดค้างไว้………”
เขาพูดถึงตรงนี้ ก็ตัวสั่นสะท้านอย่างอดไม่อยู่
ในใจของลู่เซิ่นมีความสงสัยพาดผ่าน
ถ้าหากว่ากู้เงินจากธนาคาร เกรงว่าอารองคงไม่กลัวขนาดนี้
ดูท่า………พวกเขาคงจะไปกู้ยืมเงินที่ดอกเบี้ยสูงจากภาคเอกชนบางกลุ่มมา
เมื่อมองเห็นชัดเจนในจุดนี้แล้ว ในใจของลู่เซิ่นก็ยิ่งมีความมั่นใจมากขึ้น เขาเอ่ยปลอบใจอารอง พร้อมกับรับประกันว่าตัวเองจะไม่รังแกคนในเรื่องของราคา จะให้เขาสามารถคืนหนี้ที่ติดค้างไว้ พลางแสร้งทำเป็นมองอาสามที่ตัวแข็งทื่ออยู่อีกด้านอย่างไม่ตั้งใจ
สีหน้าของอาสามแข็งค้างเป็นอย่างมาก เขาจ้องมองการเคลื่อนไหวระหว่างอารองกับลู่เซิ่นเขม็ง มือกำหมัดแน่น
เขาหวั่นไหวแล้ว
ลู่เซิ่นรู้แจ้งในใจ ดังนั้นจึงดึงสายตากลับมา หันหน้าไปพูดกับหลินหยังที่ยืนอยู่อีกด้านว่า “เรียกทนายของฉันมาหน่อย”
หลินหยังไปตามคำสั่ง ทนายความตามกลับมาอย่างรวดเร็ว
ถ้าหากว่าฉินซีอยู่ในเหตุการณ์นี้ด้วย เธอจะต้องจำได้อย่างแน่นอนว่า ทนายความท่านนี้ เป็นทนายที่ช่วยเธอจัดการคดีหย่าร้าง