Flash Marriage เธอต้องแต่งงานกับฉัน - ตอนที่ 1263
บทที่ 1263 พวกเราแต่งงานกันแล้ว
เมื่อผลักประตูห้องนอนให้เปิดออกแล้ว หน่วยตาของฉินซีก็อดที่จะรู้สึกแสบร้อนเล็กน้อยไม่ได้
ครั้งหนึ่งในอดีต ที่นี่เคยเป็นสถานที่ที่เธอคุ้นเคยมาก
มาวันนี้ ได้กลับมาหลังจากที่ไม่ได้กลับมานานแล้ว
พระจันทร์ในคืนวันนี้กลมมาก แสงจันทร์สาดส่องเข้ามาจากบานหน้าต่าง แม้ว่าจะไม่ได้เปิดไฟ แต่ก็สามารถมองเห็นสภาพภายในห้องได้ชัดเจนมาก
ฉินซีสูดลมหายใจลึก ก้าวเท้าเดินเข้าไปในห้อง พลิกมือปิดประตูห้องเพื่ออำพรางเอาไว้
แต่เธอเพิ่งจะเดินเข้ามา แค่หันหน้าไปก็ตะลึงค้างอยู่ที่นั่น
บนเตียงที่เธอกับลู่เซิ่นนอนกอดกันและหลับไปในอดีตนั้น มีชุดแต่งงานสีขาวบริสุทธิ์ชุดหนึ่งวางอยู่
หัวใจของฉินซีมีความรู้สึกปะทุขึ้นมามากเกินไปในชั่วขณะ
แรกเริ่มคือโทสะ จากนั้นก็ความปวดร้าว และความสงสัยระคนไม่เข้าใจเล็กน้อย
พรุ่งนี้ก็เป็นวันแต่งงานแล้ว ชุดแต่งงานยังอยู่ที่นี่ได้อย่างไรกัน
เจ้าสาวเป็นคนที่มีจิตใจกว้างขวางขนาดไหนกันแน่ ถึงได้ทิ้งชุดแต่งงานเอาไว้ในห้องที่ลู่เซิ่นและภรรยาคนก่อนเคยอยู่อย่างไม่ใส่ใจ
ลู่เซิ่นเห็นตัวเองเป็นตัวอะไรกันแน่ ถึงได้วางชุดแต่งงานไว้ที่นี่อย่างไม่สนใจไยดี
ชุดแต่งงานอันงดงามมองดูแล้วคล้ายกับผ้าขาวผืนหนึ่ง ฝังกลบเรื่องราวทั้งหมดที่เป็นของลู่เซิ่นและฉินซีลงไป
แต่ความรู้สึกในใจนั้นสลับซับซ้อนมากมาย ฉินซีกลับถูกอะไรบางอย่างดึงดูดโดยไม่รู้ตัว ค่อยๆเดินเข้าไปใกล้ชุดแต่งงานชุดนั้น
แม้ว่าจะไม่ได้เปิดไฟ มีเพียงแค่แสงจันทร์ส่องสว่าง ฉินซีกลับสามารถมองเห็นลักษณะของชุดแต่งงานได้อย่างชัดเจน
ในใจของหญิงสาวทุกคนล้วนมีความฝันที่เกี่ยวกับชุดแต่งงาน ล้วนเคยคิดว่าตัวเองสวมใส่ชุดแต่งงานที่งดงามบริสุทธิ์อย่างที่สุด มองดูเจ้าชายขี่ม้าขาวของตัวเองก้าวมาหาตัวเองช้าๆ พูดกับตัวเองด้วยความรู้สึกอันลึกซึ้งว่า ผมยอมรับครับ
แต่ชุดแต่งงานที่อยู่เบื้องหน้าชุดนี้ บางทีในความฝันของเด็กสาวมากมายล้วนไม่กล้าจินตนาการแบบนี้
ชุดแต่งงานไม่ใช่แนวเรียบง่ายรัดกุม แต่งดงามวิจิตรตระการตาเป็นอย่างยิ่ง กระโปรงพองฟูเกือบจะเต็มเตียง ขอบกระโปรงประดับด้วยจี้เพชรและผ้าลูกไม้ที่ทำด้วยมือ คนที่มีโชคได้สวมได้ชุดแต่งงานชุดนี้ จะต้องดูแล้วเหมือนกับเจ้าหญิงคนหนึ่งแน่นอน
ตรงกลางของกระโปรงชุดแต่งงาน มีกล่องกำมะหยี่สีดำเล็กๆกล่องหนึ่ง
ฉินซีแทบจะเข้าใจได้ในทันทีว่า นั่นคืออะไร
แต่ว่าความสงสัยในใจของเธอกลับยิ่งหนักขึ้น
——ชุดแต่งงานอยู่ที่นี่ก็ช่างมันเถอะ ทำไมแหวนก็อยู่ที่นี่ด้วยล่ะ
หรือว่าเจ้าสาวอยู่ที่นี่ด้วยกัน
แต่คิดถึงตอนที่ตัวเองเข้ามานั้น ตึกหลักทั้งตึกอยู่ในความมืด ไม่เหมือนกับมีเจ้านายพักอาศัยอยู่ที่นี่
ความระแวดระวังในใจเธอเพิ่มขึ้นเล็กน้อย แต่สุดท้ายแล้วความระแวดระวังเหล่านี้ก็สู้ความอยากรู้อยากเห็นในใจเธอไม่ได้
ใกล้เคียงกับการทรมานตัวเองอย่างไรอย่างนั้น เธออยากรู้มากว่า การที่ลู่เซิ่นแต่งงานกับผู้หญิงคนอื่นนั้นจะเลือกแหวนแบบไหนกัน
ดังนั้นเธอจึงโค้งตัวลงไป ยื่นมือหยิบกล่องกำมะหยี่สีดำกล่องนั้นขึ้นมา
มือที่ยื่นออกไปของเธอเป็นข้างซ้าย ดังนั้นหางตาจึงมองเห็นนิ้วนางข้างซ้ายของตัวเองนั้นว่างเปล่า
ครั้งหนึ่งในอดีต…….บนนั้นก็มีแหวนที่ลู่เซิ่นมอบให้วงหนึ่งเช่นกัน
การแต่งงานของเธอกับลู่เซิ่นไม่มีการสารภาพความรู้สึกอะไรอย่างตรงไปตรงมา เพียงแค่จดทะเบียนสมรสอย่างเร่งรีบก็ถือว่าเสร็จเรียบร้อยแล้ว เดิมฉินซีก็มองว่าการแต่งงานในครั้งนี้เป็นการทำการค้าอย่างหนึ่ง ดังนั้นล้วนไม่ได้เตรียมตัวอะไร
แต่เมื่อตื่นขึ้นมาในวันถัดไป กลับพบว่าบนนิ้วนางของตัวเองสวมแหวนวงหนึ่งอยู่
หันหน้าไปมองลู่เซิ่น ก็พบว่าบนมือเขาก็มีวงหนึ่งเช่นกัน
“ไว้เป็นเครื่องหมายหนึ่งที่แสดงให้เห็นว่าพวกเราแต่งงานแล้ว” ลู่เซิ่นอธิบายด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ไม่แม้กระทั่งจะมองเธอ “ไม่สามารถประกาศเรื่องการแต่งงานออกไปอย่างเปิดเผยได้ แต่อย่างน้อยก็มีสิ่งหนึ่งที่บอกกับคนที่มีเจตนาจะเข้าใกล้ว่า พวกเราแต่งงานแล้ว”
ตอนนั้นฉินซีลังเลแล้วลังเลอีก แต่ก็เอ่ยพูดว่า “ที่จริงแล้วไม่มี ก็ไม่เป็นไร พวกเราแต่งงาน…….ก็ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อคนอื่นที่จะเข้าใกล้คุณ ถ้าหากว่าคุณพบกับคนที่ตัวเองรัก ไม่ต้องเป็นกังวลเรื่องฉัน เพียงแค่บอกให้ฉันเข้าใจ พวกเราไปหย่าก็ได้แล้ว”
เสียงเธอเพิ่งสิ้นสุดลง สีหน้าของลู่เซิ่นก็ไม่น่าดูขึ้นมาในเสี้ยววินาที เขาลุกขึ้นจากเตียงอย่างรวดเร็ว เหมือนกับไม่คิดจะพูดกับฉินซีอีก และก้าวเดินไปถึงประตูด้วยความเร็วสูง และทิ้งประโยคเย็นชาไว้ประโยคหนึ่ง “ไม่อยากสวมก็ช่างมันเถอะ ถอดออกแล้วโยนทิ้งไปก็ได้แล้ว”
เขาเอ่ยจบก็กระแทกประตูจากไป
ส่วนฉินซีนั้นตะลึงค้างเพราะปฏิกิริยาตอบสนองของเขา ไม่รู้ว่าประโยคไหนของตัวเองที่พูดผิดไปกันแน่
แต่สุดท้ายแล้วเธอก็ไม่ได้ถอดออก
จนกระทั่งในตอนท้ายที่เตรียมตัวจะไปจากที่นี่ ถึงได้ถอดแหวนออกในที่สุด และวางไว้คู่กับจดหมายที่เธอทิ้งเอาไว้
——ไม่รู้ว่าลู่เซิ่นจะเห็นจดหมายฉบับนั้นไหม
เมื่อรู้สึกตัวว่าตัวเองกำลังคิดอะไรอยู่ ฉินซีก็ยิ้มเยาะตัวเอง
เห็นแล้วอย่างไร ไม่เห็นแล้วอย่างไร
สรุปแล้ว ตอนนี้เขาจะแต่งงานกับคนอื่นแล้ว คำพูดที่ตัวเองทิ้งเอาไว้ในตอนแรกเหล่านั้น สำหรับเขาแล้ว ก็ไม่มีความสำคัญอะไรอีก
ฉินซีกัดริมฝีปาก ให้ความรู้สึกที่เจ็บปวดเรียกสติสัมปชัญญะของตัวเองกลับคืนมา สายตาโฟกัสที่กล่องแหวนบนมือใหม่อีกครั้ง
เธอกัดฟัน เปิดกล่องออก
ภาพเบื้องหน้าสว่างจ้าขึ้นอย่างกะทันหัน
ปฏิกิริยาแรกของฉินซีคือ—— เพชรเม็ดนี้เป็นประกายจริงๆ
แต่วินาทีถัดไป เธอก็รู้สึกตัวขึ้นมาได้ว่า
ไม่ใช่เพชร!
มีคนเปิดไฟ!
หัวใจเธอหดตัว หมุนร่างไปอย่างรวดเร็ว
ประตูที่ตัวเองปิดเมื่อครู่นี้ถูกเปิดออกแล้ว ระเบียงทางเดินด้านนอกมืดสนิท ไม่มีแม้แต่เงาใครสักคน
หัวใจของฉินซีลอยขึ้นมาถึงลำคอ บีบกล่องในมือแน่นโดยไม่รู้ตัว หันหน้าไปพิจารณารอบด้านช้าๆอย่างระมัดระวัง
แต่เธอเพิ่งจะหันหน้าไปได้นิดเดียว เสียงทุ้มต่ำก็ดังขึ้นข้างหูเธอ
“ดูตั้งใจขนาดนั้น ไม่สู้ลองสวมกับตัวเองสักครั้ง”
ฉินซีตาเบิกโตทันที
เสียงนี้……
เธอไม่ได้ยินมาสามเดือนแล้ว แต่กลับไม่ต้องใช้พลังใดๆก็สามารถแยกแยะออกได้
——เป็นลู่เซิ่น
สิ่งแรกที่เธอคิดได้ในเวลานี้ไม่ใช่ว่า ทำไมลู่เซิ่นถึงมาปรากฏตัวขึ้นที่นี่ คิดแค่เธอจะต้องหันหน้าไป หันหน้าไปมองเขา
เธอไม่รู้กระทั่ง แม้ว่าจะถูกหักหลัง ถูกบังคับให้จากกันสามเดือน ความคิดถึงในใจที่เธอมีต่อลู่เซิ่น จะยังลึกซึ้งขนาดนี้
ดังนั้นเธอแทบจะไม่ได้หยุดชะงักอะไร และมองไปตามทิศทางที่เสียงนั้นลอยมา
ลู่เซิ่นยืนอยู่ในจุดที่ห่างจากเธอก้าวหนึ่ง เงียบๆ หลุบตาลงมองเธอ
……..เขาผอมลง
ความคิดแรกที่ผุดขึ้นมาในสมองเธอ กลับเป็นเรื่องนี้
เมื่อเทียบกับตอนที่พบหน้ากันเป็นครั้งสุดท้าย ทั้งร่างของลู่เซิ่นนั้นผอมลงไปรอบหนึ่ง เดิมโครงหน้าที่ลึกลับกลับเรียบง่ายยิ่งขึ้น แต่กลับทำให้คนไม่รู้สึกว่าผอมแห้ง กลับกันยิ่งเหมือนกับมีดที่แหลมคมเล่มหนึ่ง ดูแล้วคมปลาบยิ่งขึ้น
แววตาของเขาจับจ้องที่ร่างของตัวเองอย่างลึกซึ้ง เหมือนกับน้ำวนสองแอ่ง ฉินซีมองแล้วไม่เข้าใจไปชั่วขณะว่า ในนั้นเจือร่องรอยอารมณ์ความรู้สึกแบบไหนเอาไว้
เขาไม่พูดไม่จา
ฉินซีก็ไม่ได้พูดเช่นกัน
ทั้งสองคนถูกกั้นด้วยระยะห่างหนึ่งก้าว มองฝ่ายตรงข้ามเงียบๆ โดยไม่พูดอะไร แม้แต่คำเดียว
แต่ฉินซีรู้ดีมากว่า ความเงียบแบบนี้ไม่ได้หมายความว่าไม่มีอะไรจะพูด
อย่างน้อยเธอก็ไม่ใช่
มีคำถามมากมายซ่อนอยู่ในใจของเธอ เหมือนกับภูเขาไฟลูกหนึ่งที่ปะทุอยู่ในร่างกายของเธอ ขอเพียงแค่มีช่องว่างเล็กน้อย ก็จะปะทุออกมาอย่างอดทนรอไม่ไหว
แต่เธอยังรอให้ช่องว่างนั้นปรากฏขึ้นมา
สุดท้ายแล้วลู่เซิ่นก็ไม่เอ่ยอะไรสักคำ แต่ตากลับมองฉินซีโดยไม่กระพริบ คล้ายกับกลัวว่า เมื่อกระพริบตาแล้ว คนที่อยู่ด้านหน้าจะจางหายไป
ท่ามกลางการคุมเชิงกันอย่างเงียบๆนั้น สมองของฉินซีก็ฟื้นการทำงานอย่างช้าๆ คิดถึงประโยคที่ลู่เซิ่นพูดอยู่ข้างหูตัวเองเมื่อครู่นี้
“ไม่สู้ลองสวมกับตัวเองสักครั้ง”