Flash Marriage เธอต้องแต่งงานกับฉัน - ตอนที่ 1277
บทที่ 1277 ไม่ผูกใจเจ็บ
ลู่เซิ่นยังจำคำที่สูหยิงขู่ว่าจะฆ่าตัวตาย และบีบบังคับให้ฉินซีไปจากตนเองได้เสมอ
เพราะอย่างนั้นจิตใต้สำนึกของเขาจึงไม่วางใจสูหยิงอีกเลย อีกทั้งยังไม่กล้าคุยเรื่องต่างๆที่เกี่ยวข้องกับฉินซีให้เธอฟัง
เขารู้ดีกว่า ในเมื่อมาถึงจุดๆนี้แล้ว สูหยิงเองก็น่าจะทราบนานแล้วว่าเขาอยากจะจัดงานแต่งงานจริงๆ แต่เขาเองก็เชื่อว่าด้วยวิธีการของสูหยิงแล้ว เป็นไปไม่ได้ที่จะรู้ว่าเจ้าสาวที่แต่งงานกับเขาในวันนี้คือใคร
เขาไม่คิดจะสารภาพกับสูหยิง แค่รอให้สถานการณ์ทุกอย่างเป็นไปอย่างไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ แล้วจึงค่อยอธิบายอย่างช้าๆให้เธอฟัง
แต่เขาเชื่อใจลู่เหวย
เขาจำมิตรภาพดีๆระหว่างลู่เหวยและแม่ของฉินซีได้ อีกทั้งยังจำตอนที่ฉินซีประสบอุบัติเหตุได้ ตอนนั้นลู่เหวยค่อยช่วยเหลือตัวเองในหลายๆเรื่องอย่างลับๆ ดังนั้นเขาจึงบอกความจริงแก่ลู่เหวย
แต่เขาไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าลู่เหวยจะเป็นคนสารภาพทุกอย่างกับสูหยิง
เขาไม่รู้ว่าสูหยิงจะต่อต้านฉินซีมากน้อยแค่ไหน
ถ้าสูหยิงยืนกรานที่จะคัดค้านล่ะ จะทำยังไง
แล้วถ้าสูหยิงคิดจะทำอะไรไม่ดีขึ้นอีก จะทำยังไง
คำถามมากมายผลุดเข้ามาในหัวของลู่เซิ่น ส่งผลให้การแสดงออกของเขาดูจะแข็งกระด้างเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าการเคลื่อนไหวของเขาแฝงไปด้วยการป้องกันตัว
ลู่เหวยสังเกตเห็นปฏิกิริยาของเขาได้อย่างชัดเจน แต่การแสดงออกของลู่เหวยยังคงดูผ่อนคลาย เขาเพียงแค่ตบบ่าของลู่เซิ่นพลางเอ่ยขึ้น “อย่ากังวลไป เพราะพ่อรู้นิสัยแม่ของลูก ถึงได้กล้าจะอธิบายให้เธอฟัง”
ลู่เซิ่นมองไปที่ลู่เหวยอย่างเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งและไม่ได้พูดอะไรออกไปในทันที
ลู่เหวยพูดอย่างยิ้มๆ “ลูกคิดว่าแม่ของลูกเป็นคนโง่ที่จะคาดเดาอะไรไม่ได้เลยจริงๆสินะ แม่ของลูกรู้ดีว่าจุดประสงค์ในการแต่งงานในนี้ของลูก ไม่ได้ง่ายดายอย่างที่ลูกพูดไว้ แต่แม่บอกพ่อหลายต่อหลายครั้งแล้วว่า แม่จะไม่เข้าไปก้าวก่ายทางเลือกที่ลูกเลือกในตอนนี้”
เมื่อได้ยินอย่างนั้น สีหน้าของ ลู่เซิ่นก็ยังคงไม่ผ่อนคลาย คิ้วของเขาขมวดขึ้นเป็นปม มองลู่เหวยอย่างพินิจพิเคราะห์
ทั้งสองมองหน้ากันอยู่นาน ท้ายที่สุดลู่เหวยก็เป็นฝ่ายง้อก่อน
“พ่อไม่รับประกันอะไรสุ่มสี่สุ่มห้าหรอกนะ” ลู่เหวยลดสายตาต่ำลง พลางเอ่ยขึ้น “ก่อนหน้านี้พ่อเคยลองหลายต่อหลายครั้ง เพื่อให้แน่ใจว่าแม่ของลูกจะไม่รังเกียจฉินซีอีก พ่อถึงได้กล้าพูดชื่อของเธอออกมาในที่สุดไงล่ะ”
ลู่เซิ่นไม่ได้พูดอะไรออกมา แต่สายตาที่ระแวดระวังตัวของเขา ในที่สุดก็ผ่อนปรน
“เรื่องของฉินซี สาเหตุส่วนใหญ่ก็มาจากตัวพ่อ” ลู่เหวยพูดต่อ “แม่ของลูกตั้งเป้าไปที่แม่ของเธอ มากกว่าจะเป็นตัวฉินซี เรื่องนี้เกิดขึ้นเพราะพ่อ และมันควรเป็นความรับผิดชอบของพ่อเอง แต่ตอนนี้ พ่อได้อธิบายเรื่องราวทั้งหมดโดยละเอียดแล้ว แม่เองก็ยอมทิ้งความผูกใจเจ็บที่มีต่อเหยาหมิ่นเช่นกัน เพราะอย่างนั้นลูกไม่จำเป็นต้องกังวลถึงทัศนคติของแม่ที่มีต่อฉินซีอีกต่อไป”
ลู่เซิ่นเงยหน้าขึ้น มองไปยังลู่เหวย
หลังจากที่สูหยิงล้มป่วย เพราะความเข้าใจผิดของฉินซึ่งเทียนเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างเหยาหมิ่นและลู่เหวย นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเป็นฝ่ายเริ่มพูดถึงความสัมพันธ์ระหว่างเหยาหมิ่นต่อหน้าเขา
ลู่เซิ่นรู้ดีว่าตั้งแต่ตอนที่สูหยิงออกจากโรงพยาบาล จนตอนนี้เป็นก็เวลากว่าครึ่งปีแล้ว ที่สูหยิงและลู่เหวยท่องเที่ยวมาโดยตลอด เหตุผลนั้นไม่ได้ง่ายดายอย่างที่พวกเขาอ้างว่าออกไปเจอโลกภายนอก ลู่เซิ่นพอจะเดามันออกว่าพวกเขาคลายปมของกันและกัน
ที่มุมปากของลู่เหวยโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้ม “พ่อคิดว่า ในเมื่อลูกรักฉินซีด้วยใจจริง อย่างนั้นแล้วพ่อก็หวังว่าการแต่งงานของลูกและเธอ จะดำเนินไปด้วยคำอวยพรของเราสองคนนะ”
ลู่เซิ่นหยุดนิ่ง
เขาเข้าใจความโกรธของสูหยิงดี ดังนั้นจึงยิ่งยากที่จะจินตนาการว่าลู่เหวยต้องใช้ความพยายามมากแค่ไหน ถึงทำให้สูหยิงยอมทิ้งปมในใจของเธอที่มีต่อเหยาหมิ่นไปอย่างสิ้นเชิง
ที่ลู่เหวยทำไปทั้งหมดทั้งมวลนี้ ก็เพื่อไม่ให้เกิดข้อบกพร่องในงานแต่งของเขาแม้แต่น้อย
ลู่เซิ่นไม่รู้ว่าเพราะอะไร ในใจเขารู้สึกได้ถึงความขมขื่น
“พ่อ” ทั้งสองมองหน้ากันอยู่นาน จู่ๆ ลู่เซิ่นก็พูดขึ้น “พาแม่เข้าไปข้างในเถอะครับ ข้างนอกมันมีแดด”
ดวงตาของลู่เหวยเบิกกว้างทันที
นี่ ลู่เซิ่นหมายความว่า
แต่ลู่เซิ่นไม่ได้ตั้งใจที่จะอธิบายอะไรเพิ่มเติม ทันทีที่เขาพูดจบก็หันหน้าไป เดินไปทางหลินยี่และอธิบายการเปลี่ยนแปลงให้แก่เขา
ความอบอุ่นพุ่งตรงเข้ามายังหัวใจของลู่เหวย มุมปากเขาค่อยๆยกยิ้มขึ้น รีบเดินไปหาสูหยิงและหยุดข้างๆเธอ
“เข้าไปด้านในเถอะ” เขาไม่ได้อธิบายอะไรมากมาย เพียงแค่พูดกับสูหยิงอย่างเรียบง่าย
เห็นได้ชัดว่าการแสดงออกของสูหยิงหยุดชะงัก ลู่เหวยเห็นร่องรอยแห่งความสุขในดวงตาของเธอ
แต่ทั้งสองไม่ได้พูดอะไรออกมาอย่างคนรู้ใจกัน สูหยิงเพียงแค่เอื้อมมือไปจับที่แขนของลู่เหวยทั้งสองเดินเคียงข้างกันเข้าไปยังโถงพิธี
หลังจากที่หลินยี่ได้ฟังแผนที่เปลี่ยนใหม่ของ ลู่เซิ่นจนจบ สีหน้าของเขากลับแปลกใจอย่างปกปิดไว้ไม่อยู่
“นี่หมายความว่าแม่ของนายยอมรับฉินซีแล้ว” หลินยี่ควบคุมระดับเสียงอย่างระมัดระวัง แต่ในน้ำเสียงของเธอยังคงเต็มไปด้วยความรู้สึกที่แทบไม่อยากจะเชื่อ
ลู่เซิ่นพยักหน้า
ใบหน้าของหลินยี่เต็มไปด้วยความประหลาดใจ “ได้ยังไง”
เขารู้ดีว่าก่อนหน้านี้สูหยิงใช้วิธีที่สุดโต่งมากแค่ไหนในการบีบบังคับให้ฉินซีและลู่เซิ่นแยกจากกัน แต่แล้วจู่ๆก็ได้รู้ข่าวว่าสูหยิงยอมรับฉินซีได้แล้วอย่างง่ายดาย ซึ่งเป็นเรื่องปกติที่ไม่สามารถเปลี่ยนกันได้ในทันที
ลู่เซิ่นส่ายหน้า “ดูเหมือนจะมีแค่พ่อของฉันเท่านั้นที่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น”
หลินยี่พยักหน้าอย่างไม่เข้าใจนัก จู่ๆก็นึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นได้ “แต่ในเมื่อเป็นอย่างนี้ งั้นก็แสดงว่ามีคนเพิ่มมาอีกหนึ่งคน ที่รู้ว่าเจ้าสาวคือใครสินะ”
ในบรรดาสี่คน มีเพียงหลินยี่และลู่เซิ่นเท่านั้นที่รู้สาเหตุที่ไม่สามารถเปิดเผยตัวตนของฉินซีได้ นอกจากที่ลู่เซิ่นจะยืมชื่อของเวินจิ้งมาจัดงานแต่งงานแล้ว สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่านั้นก็เพราะฉินซีไม่สามารถให้องค์กรของเธอรู้ว่าเธอมาปรากฏตัวที่นี่
ไม่ใช่ว่าหลินยี่ไม่เชื่อใจสูหยิง แต่ในเมื่อมีคนรู้เพิ่มมากขึ้นหนึ่งคน ดังนั้นความเสี่ยงจึงเพิ่มมากขึ้นอีกหนึ่งระดับ
ลู่เซิ่นยกมือขึ้นถูคิ้วที่ผูกติดกันเป็นปม เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูไม่แน่ใจนัก “ที่พ่อฉันทำลงไปก็เพื่อตัวฉัน แต่แล้วฉันจะอธิบายให้พวกเขาฟังอีกที”
หลินยี่เป็นเดือดเป็นร้อนกับปัญหานี้อีกต่อไปและกลับมายืนยันแผนอีกครั้ง “ก็คือ เมื่อฉินซีมาถึง แทนที่จะพาเธอไปที่ประตู และจูงมือเธอจากประตูโบสถ์พาไปให้นายตามแผนที่วางไว้ก่อนหน้านี้ แต่ให้พาเธอเข้าไปในโบสถ์ และหยุดที่ปลายพรมแดงใช่ไหม”
ลู่เซิ่นพยักหน้า
หลินยี่ทำสัญญาณมือ สื่อความหมายว่าตนเองหลินยี่เข้าใจแล้ว
ลู่เซิ่นยกข้อมือขึ้นและมองไปที่นาฬิกา จวนจะได้เวลาแล้ว
หลินยี่ไม่รอช้า เขากลับไปที่ที่สกู๊ตเตอร์จะมาถึงเพื่อรอฉินซี ส่วนลู่เซิ่นก็หันหลังกลับ เดินเข้าไปในโบสถ์
โบสถ์ขนาดใหญ่ แต่ไม่มีใครอยู่ด้านใน มันช่างดูว่างเปล่า บาทหลวงยังไม่เข้ามา มีเพียงสูหยิงและลู่เหวยที่นั่งอยู่แถวแรก
ลู่เซิ่นไม่ได้หยุดฝีท้าและเดินตรงไปยังทั้งสองคน
ทันใดนั้นเขาก็ทิ้งตัวลงไปนั่งยองๆ ยกสายตาขึ้นเล็กน้อย สบตากับลู่เหวยและสูหยิง
“พ่อครับ แม่ครับ” น้ำเสียงของลู่เซิ่นแฝงไปด้วยความจริงจัง “ทั้งสองคนอวยพรให้ผมกับฉินซีด้วยใจจริง ใช่ไหมครับ”
เสียงของลู่เซิ่นดังสะท้อนท่ามกลางโบสถ์ที่ว่างเปล่า