Flash Marriage เธอต้องแต่งงานกับฉัน - ตอนที่ 1318
บทที่ 1318 หึงหวง
ผลที่ตอบตกลงให้เวินจิ้งมาแทนที่ก็คือ แม้ว่าในใบทะเบียนสมรสของลู่เซิ่นจะเป็นชื่อของฉินซี มองแววตาของฉินซีขณะที่ยืนอยู่หน้าบาทหลวงแล้วพูดว่า “ผมยินดี” แต่ในสายตาของคนอื่น ลู่เซิ่นนั้นไม่ได้เป็นของฉินซี แต่ว่าเป็นของเวินจิ้ง
เรื่องจริงเรื่องนี้คอยเป็นขวากหนามคอยทิ่มแทงหัวใจของฉินซี ไม่ถึงกับเจ็บปวดมาก แต่ก็ได้ทิ้งรอยแผลไว้
แต่…..เรื่องราวทุกอย่างล้วนเป็นเพราะตัวฉินซีเอง
ฉินซีแยกแยะออก เธอรู้ดีว่าลู่เซิ่นนั้นต้องการมากกว่าใครที่อยากให้คนทั้งโลกรับรู้ว่าพวกเขาสองคนต่างหากที่อยู่ด้วยกัน เพราะฉะนั้นทุกอย่างที่เขาทำนั้น ก็เพื่อตัวเองทั้งนั้น
ถ้าไม่ใช่เป็นเพราะกฎระเบียบที่ไร้สาระขององค์กร ถ้าไม่ใช่เพราะตัวเองเป็นสมาชิกที่ไม่สามารถถอนตัวออกมาจากองค์กร…..พวกเขาคงได้อยู่ด้วยกันเหมือนคู่รักปกติทั่วไป คงไม่มีเรื่องราวที่พลิกผันมากมายเช่นนี้
สาเหตุมาจากตัวเอง ดังนั้นเธอจึงไม่สามารถตำหนิติโทษใครอื่นได้
ความรู้สึกที่ไร้เรี่ยวแรงเช่นนี้ทำให้ไหล่ของฉินซีถึงกับทรุด
เมื่อสังเกตเห็นสีหน้าที่ผิดปกติไปของฉินซี ลู่เซิ่นจึงยื่นมือออกไปจับใบหน้าของฉินซีให้หันมาดูตัวเอง โดยไม่สนใจว่ามือตัวเองนั้นได้ให้น้ำเกลืออยู่จึงไม่ควรที่จะขยับ
“อย่าคิดมาก” ลู่เซิ่นพูดเสียงเบาๆ “อย่าโทษตัวเอง และอย่าสงสัยในตัวพวกเรา”
อุณหภูมิในฝ่ามือของลู่เซิ่นได้แทรกซึมเข้าสู่ผิวหน้าของฉินซี ทำให้เธอค่อยๆดึงสติคืนมาจากความคิดของตัวเอง กำลังจะพยักหน้า หางตาก็เหลือบไปเห็นสายน้ำเกลือปะปนไปด้วยเลือด
“คุณอย่าขยับอีก !” ฉินซีกระวนกระวาย รีบยื่นมือไปดึงมือของลู่เซิ่นกลับไปวางไว้ที่เดิม
เมื่อเห็นใบหน้าของฉินซีที่เป็นห่วงเป็นใย ลู่เซิ่นจึงไม่ขยับมืออีก และปล่อยให้เธอจับมืออย่างตามใจ
ฉินซีมองดูเลือดในสายน้ำเกลือค่อยๆไหลย้อนกลับ ถึงได้ถอนหายใจโล่งอกออกมา
“เมื่อสักครู่นั้น…..คุณกำลังหึงใช่ไหม” ลู่เซิ่นเอ่ยปากพูด
ฉินซีตกใจชะงัก แล้วหันมามองเขา
น้ำเสียงของลู่เซิ่นพูดเชิงล้อเล่น แต่ว่าในดวงตากลับมีนัยประกายอยู่ : “นี่เป็นครั้งแรกเลยนะที่คุณหึงผม”
ฉินซีแอบอมยิ้ม : “การที่ฉันหึงคุณไม่ใช่เรื่องดีใจสักหน่อย”
“แน่นอนว่าเป็นเรื่องที่น่าดีใจสิ” ลู่เซิ่นยักไหล่ ตอบกลับไปอย่างตรงๆว่า “เป็นครั้งแรกที่หึงผม นั่นก็แสดงว่าคุณยังใส่ใจผมอยู่ไม่ใช่เหรอ”
ฉินซีถูกคำพูดที่ตรงไปตรงมาของเขาดักไว้จนไม่สามารถพูดต่อได้ ทำได้เพียงยิ้ม “ก็ได้ๆ คุณมักจะมีเหตุผลเสมอ”
เมื่ออยู่ด้านนอกทั้งคู่จะเป็นคนฉลาดหลักแหลกจนไม่มีใครสามารถทัดเทียมได้ แต่ตอนนี้ทั้งคู่เป็นเพียงเด็กโง่ที่กำลังมีความรักที่งุ้งงิ้ง พูดแต่เรื่องที่ไม่มีสาระ ทั้งคู่ต่างฝ่ายต่างสบตากัน แล้วก็หัวเราะออกมา
ในระหว่างนี้หลินหยังได้เข้ามาสองครั้ง เพื่อนำเอกสารมาให้ลู่เซิ่นเซ็น
ตอนนั้นเห็นว่าลู่เซิ่นก้มหน้าดูเอกสาร ส่วนฉินซีก็หยิบโทรศัพท์ออกมาดู แต่หลินหยังกลับรู้สึกราวกับว่าระหว่างพวกเขาสองคน มีบรรยากาศที่คนภายนอกไม่สามารถจะแทรกซึมเข้าไปได้
นี่ใช่ไหมที่เขาเรียกว่าความรัก
หลินหยังแม้จะสะอิดสะเอียน แต่ก็ช่วยพวกเราปิดประตูแต่โดยดี
เมื่อใกล้จะถึงห้าโมงเย็น ในที่สุดลู่เซิ่นก็ได้ให้น้ำเกลือเสร็จ น่าจะเป็นเพราะถูกกำชับไว้ ทำให้แพทย์ที่มาในครั้งนี้มีเพียงแพทย์ประจำตัวของลู่เซิ่นเท่านั้น เขาพูดประโยคกำชับให้กับลู่เซิ่น เดิมทีเขาคิดว่าเขาจะถูกเพิกเฉยเหมือนอย่างทุกครั้ง คิดไม่ถึงว่าครั้งนี้เขากลับฟังอย่างตั้งใจ แล้วยังพยักหน้ารับอีกด้วย
ตอนที่แพทย์ประจำตัวนั้นเดินออกไปนั้น ก็ยังคงมึนงงอยู่ในหัว ไม่รู้ว่าทำไมครั้งนี้นิสัยลู่เซิ่นจึงเปลี่ยนไป
จนเขาถึงกับรู้เสียใจ ที่ไม่อาศัยชั่วโมงที่ลู่เซิ่นว่านอนสอนง่ายนี้ เตือนให้เขาพักฟื้นที่โรงพยาบาลสักสองสามวัน
ลู่เซิ่นฟังเสียงฝีเท้าก้าวเดินจากไปของแพทย์ จึงหันทางห้องน้ำแล้วตะโกนขึ้น : “ออกมาได้แล้ว!”
ฉินซีถึงได้เปิดประตูห้องน้ำแล้วเดินออกมา
“ไม่ใช่หึงที่เขาเห็นเวินจิ้งเป็นภรรยาผมตัวจริงไม่ใช่เหรอ” น้ำเสียงลู่เซิ่นแฝงด้วยความหงุดหงิด แต่กลับมีรอยยิ้มอยู่ในแววตา “นี่คือการเปิดโอกาสให้คุณเปิดตัวต่อหน้าเขา ให้เขารู้ว่าใครกันแน่ที่เป็นคุณหญิงลู่ที่แท้จริง”
ฉินซีรู้ดีว่าเขานั้นล้อเล่นกับตัวเอง
เมื่อเธอดึงสติคืนมาได้ ก็รู้สึกว่าความหึงหวงเมื่อสักครู่ของตัวเองนั้นช่างไม่มีเหตุผลสิ้นดี
แพทย์ประจำตัวท่านนี้ ยังเป็นแพทย์ประจำตระกูลลู่ หลายปีมานี้เนื่องจากตระกูลลู่ย้ายไปประเทศ F เขาไม่อยากจะย้ายตามไปด้วย ดังนั้นจึงมาทำงานที่โรงพยาบาล
แต่ว่าถ้าคนบริษัทลู่ซื่อต้องการเขา เขาก็สามารถไปหาได้ทันที
คนที่ไปมาบ้านตระกูลลู่ได้ถี่ๆ หากต้องการปิดบังการหายตัวไปของคุณหญิงลู่นั้น เป็นเรื่องที่ไม่สามารถจะเป็นไปได้
ดังนั้นลู่เซิ่นถึงต้องลากเวินจิ้งเข้ามาเกี่ยวข้อง ใครจะคิดว่าจะไปเจอกับฉินซีเข้าพอดี
แต่คำพูดของลู่เซิ่นเมื่อสักครู่ต่างหาก…..ที่เป็นคำล้อเล่น
พวกเขาต่างเข้าใจดี ฉินซีแม้ว่าจะได้รับอิสรภาพชั่วคราว ก็ไม่ได้หมายความว่าเธอจะสามารถปรากฏตัวต่อหน้าผู้อื่นได้ตลอดเวลา
แต่ทั้งคู่ไม่ได้ต้องการพูดเรื่องนี้ให้กระจ่างแจ่มแจ้ง กลับตรงกันข้าม หลังจากที่ฉินซียิ้มเบาๆ ทั้งคู่จึงเลือกที่จะเงียบแล้วไม่พูดถึงเรื่องนี้อีก
พอดีเข้ากับที่หลินหยังได้เคาะประตูแล้วเดินเข้ามา
“ประธานลู่ครับ” เขาหันไปพูดกับลู่เซิ่น “เครื่องบินได้เตรียมพร้อมแล้ว สามารถกลับไปประเทศFได้”
เมื่อคำพูดนี้เปล่งออก มือของฉินซีก็กำแน่นขึ้นอย่างไม่รู้ตัว
เรื่องนี้เป็นเรื่องเธอเพิ่งจะนึกออกได้เมื่อวาน
แม้ว่าตอนนี้เธอจะอิสรภาพชั่วคราว แต่ว่า “อิสรภาพ”แบบนี้ ก็ไม่ได้แตกต่างกัน เธอสามารถอิสระได้เฉพาะที่เมืองหนานเท่านั้น ไม่สามารถจะไปที่ไหนๆได้ตามใจชอบ
แบบนี้แล้วเธอก็คงไม่อาจจะไปประเทศFได้บ่อยๆ
แต่….ลู่เซิ่นนั้นกลับอยู่ประเทศF
ไม่ง่ายเลยที่ตระกูลลู่เพิ่งจะย้ายธุรกิจทั้งหมดไปที่ประเทศF แม้จะเป็นลู่เซิ่นก็ไม่อาจสามารถที่จะย้ายธุรกิจกลับมาได้ เช่นนี้แล้วตัวลู่เซิ่นเองก็คงไม่สามารถที่จะมาเมืองหนานได้ตลอดเวลา
เพราะฉะนั้นก็ได้ผลลัพธ์แล้ว แม้ว่าฉินซีจะได้รับอิสรภาพชั่วคราว เธอกับลู่เซิ่นก็ยังคงรักข้ามประเทศอยู่ดี
——อย่างน้อยๆในแต่ละวันก็สามารถใช้เวลาที่ต่างกันวิดีโอคอลคุยกันได้ทุกเช้าทุกเย็น
ฉินซีคิดบวกในขณะที่กำลังเศร้า
ลู่เซิ่นกลับไม่พูดขึ้นในทันที แล้วเงียบไปสักพัก แววตาของหลินหยังเริ่มรู้สึกไม่สบายใจ
เขารู้ดีกว่าใครว่าหนึ่งปีที่ผ่านมานั้นตารางงานของลู่เซิ่นนั้นน่ากลัวแค่ไหน แม้แต่คนที่เป็นโรคกลัวอย่างรุนแรงอาจกำเริบได้เมื่อเห็นตารางงานของลู่เซิ่น
ดังนั้นการขึ้นเรือสำราญเพื่อคุยธุรกิจของลู่เซิ่นในครั้งนี้ ใช้เวลาถึงสามวัน และเป็นเวลาที่ได้จากการผลัดงานอื่นให้เลื่อนออกไป แต่ลู่เซิ่นกลับดันมาเกิดอุบัติเหตุขึ้นอีกและต้องเสียเวลาอีกหนึ่งวันในการนอนพักฟื้นที่อยู่โรงพยาบาล
เช่นนี้…..หลังจากกลับไป งานที่รอให้เขาจัดการอยู่ก็ยิ่งเพิ่มทวีมากขึ้น
แต่หลินหยังคิดไม่ถึงว่าลู่เซิ่นจะได้พบกับฉินซีอีกครั้ง และก็คิดไม่ถึงว่าพวกเขาจะมีความสัมพันธ์กันแบบนี้
เขามองสีหน้าของลู่เซิ่นแล้ว ก็รู้สึกกังวลอยู่ในใจ
ลู่เซิ่นอย่าได้สุขจนลืมบ้านลืมเมืองนะ…..
แม้ว่าคำสุภาษิตนี้จะใช้ไม่เหมาะในสถานการณ์แบบนี้ แต่ว่าเป็นเรื่องจริงที่หลินหยังกังวลใจในขณะนี้
ทุกครั้งที่ออกจากโรงพยาบาล ลู่เซิ่นไม่มีการล่ำลาแล้วก็จากไป มีเพียงครั้งนี้ที่เขาเกือบจะเขียนคำว่าไม่อยากจากฉินซีไปไว้บนใบหน้า