Flash Marriage เธอต้องแต่งงานกับฉัน - ตอนที่ 1335
บทที่ 1335 มีความเป็นตัวแทนมากที่สุด
รถหยุดที่ประตูด้านหลังของบาร์ที่มากับลู่เซิ่นเมื่อครั้งที่แล้ว
คนขับจอดรถ ก่อนจะพาเธอขึ้นไปข้างบน
คราวนี้เธอไม่ได้เข้าไปในห้องส่วนตัวห้องไหน แต่เดินตรงไปตามทางเดิน ยังประตูด้านในสุด
คนขับรถเคาะประตู เมื่อได้ยินคำว่า “เข้ามา” เขาก็ผายมือให้ฉินซีเดินเข้าไปข้างใน
ฉินซีพยักหน้าขอบคุณ จากนั้นจึงเปิดประตูแล้วเดินเข้าไป
โจวเอ้อลุกขึ้นยืนเมื่อเขาเห็นฉินซีเดินเข้ามา เขาส่งยิ้มมาทางเธอ ก่อนพูด “ยินดีต้อนรับครับ”
ฉินซีมองไปรอบห้องอย่างสำรวจ
ด้านหลังประตูไม่ใช่ที่นั่งครึ่งวงกลมเหมือนที่ฉินซีมาครั้งล่าสุด แต่เป็นเหมือนทั้งออฟฟิศและบาร์ผสานกัน
มีโต๊ะทำงานวางตั้งไว้อยู่ที่มุมหนึ่งของห้อง บนนั้นมีคอมพิวเตอร์และกองเอกสาร เมื่อกี้ โจวเอ้อก็เพิ่งนั่งอยู่ตรงนั้น
แต่ตรงกันข้ามกับโต๊ะทำงาน เป็นเค้าเตอร์บาร์เรียงทอดยาวไป ขนาดเท่ากับเค้าเตอร์บาร์ที่ตั้งอยู่ชั้นล่าง บนนั้นมีอุปกรณ์สำหรับบาร์เทนเดอร์ พวกเครื่องแก้วต่างๆ ถูกเช็ดอย่างสะอาดสะอ้านแวววาว ราวกับเป็นของรักของหวงที่ถนอมไว้อย่างดี
หลังจากฉินซีมองไปรอบๆแล้ว เธอจึงหยุดสายตา ก่อนหันไปยิ้มให้เขา “ทำให้เถ้าแก่โจว ลำบากแล้วค่ะ”
โจวเอ้อหันไปยิ้มพลางโบกมือให้ฉินซี ก่อนพาเธอไปที่บาร์ “ผมเป็นเพื่อนกับลู่เซิ่นมานาน ถ้าพูดจาอะไรไร้สาระแบบนี้ จะทำให้เขาหัวเราะเยาะเอานะครับ”
ฉินซียิ้มจาง เธอพยักหน้า
ฉินซียืนอยู่หน้าเค้าเตอร์บาร์แต่โจวเอ้อเดินอ้อมไปทางด้านหลัง เขาถามเธออย่างเป็นกันเอง “คุณชอบรสยังไง เปรี้ยวหน่อยหรือหวานหน่อย”
เมื่อเห็นว่าเขาจะลงมือผสมเครื่องดื่มเอง เธอจึงตั้งใจที่จะสั่ง “หวานหน่อยแล้วกันค่ะ”
โจวเอ้อพยักหน้ายิ้ม “โอเคครับ”
เขาหยุดพูด หยิบเชคเกอร์ขึ้นมา และรินเหล้าพื้นฐานผสมลงไป
ฉินซีสงสัย ก่อนถามเขาขึ้นมา “คุณกำลังผสมอะไรให้ฉันหรอคะ?”
เธอไม่ได้พูดคำว่า “ค็อกเทลลองไอส์พระอาทิตย์ตก” ออกมา
แต่โจวเอ้อทำเพียงส่งยิ้มลึกลับมาให้เธอ “อีกสักครู่ คุณก็จะรู้แล้วละครับ”
ฉินซีไม่ได้ถามอะไรต่อ เธอแค่จ้องชายหนุ่มตรงหน้า
ลู่เซิ่นบอกว่าเขาหยุดจดจ่อกับการเป็นการบาร์เทนเดอร์หลังจากที่พี่ชายของเขาจากไป แต่ดูเหมือนมันจะไม่เป็นความจริงสักเท่าไหร่ ท่าทางที่เขากำลังผสมเครื่องดื่มนั้นดูคล่องแคล่ว ไม่เหมือนคนที่ห่างหายไปจากวงการนี้
– ถ้าหากไม่อยากเป็นบาร์เทนเดอร์ แล้วทำไมมาเปิดบาร์ที่นี่ล่ะ
โจวเอ้อใส่น้ำแข็งลงไปในตอนสุดท้าย ก่อนจะดันไปให้ฉินซี “ลองชิมดูไหม?”
ฉินซีเอื้อมมือไปรับมาจิบเบา ๆ
มันเป็นรสหวานมาก แต่ก็ไม่หวานจนเกินไป เป็นแค่รสหวานเบาๆที่ผสมกับแอลกอฮอล์
“รสชาติดีเลยค่ะ” เธอพยักหน้าอย่างชื่นชม
โจวเอ้อยิ้ม “ลู่เซิ่นคงบอกคุณแล้ว ว่าผมคงไม่ศึกษาการเป็นบาร์เทนเดอร์อีกต่อไป”
ฉินซีลังเลอยู่ครู่ ก่อนพยักหน้า
“เหล้านี้ เป็นสิ่งที่ผมคิดขึ้นมาเอง” โจวเอ้อพูดขึ้น “ยังไม่ขายหรอก นอกจากคนในร้านแล้ว ก็มีแค่คุณที่ได้ลองชิม”
ฉินซีประหลาดใจ แต่ก็นึกขึ้นมาได้ว่าตอนที่โจวเอ้อโทรมา เขาได้บอกเธอว่า มีเหล้าใหม่มาให้ชิม นึกว่ามันเป็นเพียงแค่ข้ออ้างเสียอีก
“รสชาติมันเป็นยังไงบ้าง ผมขอความเห็นหน่อยสิ” โจวเอ้อพูดพลางเลิกคิ้วและหันไปทางฉินซี
ฉินซีนิ่งไป ก่อนยิ้มและพูดกับเขา “ฉันไม่รู้อะไรเกี่ยวกับค็อกเทลหรอกค่ะ คงไม่กล้าให้ความเห็นอะไร”
โจวเอ้อหัวเราะออกมา “อย่าเลยครับ คุณคิดว่าคนที่มาดื่มที่นี่เขารู้เรื่องรสชาติงั้นเหรอ? ส่วนใหญ่คนที่มา ก็เหมือนกับคุณ ไม่เคยดื่มก่อน ทั้งยังไม่รู้รสชาติของมัน ความเห็นของคุณ เป็นสิ่งที่เรียกได้ว่าเป็นตัวแทน”
เมื่อเขาพูดออกมาเช่นนั้น ฉินซีก็คงไม่สามารถปฏิเสธได้อีกต่อไป เธอนิ่งคิดไปสักพัก ก่อนที่จะตอบออกมา
โจวเอ้อดูจริงจังขึ้น ก้มศีรษะลงฟังความคิดเห็นของฉินซีอย่างตั้งอกตั้งใจ เขียนมันลงไปอย่างละเอียด
เธอมองไปยังศีรษะของโจวเอ้อที่ก้มลงมาเขียน เธอรู้สึกงุนงงอยู่พักหนึ่ง นี่เธอมาเพื่อที่นี่เพื่อชิมรสชาติเหล้าตัวใหม่ที่เค้าเพิ่งคิดได้แค่นั้นหรือ
รอจนกระทั่งโจวเอ้อเขียนเสร็จ ตอนที่เขาพูดมา ก็ทำให้เธอเข้าใจ
“มันยากนะที่จะเชิญคุณมาที่นี่ แน่นอนว่าต้องทำเรื่องสำคัญก่อนสิครับ จริงไหม” น้ำเสียงของโจวเอ้อติดตลก “ธุรกิจบาร์นี้ คือเรื่องที่สำคัญที่สุด”
ฉินซียิ้มจาง ภายในใจกลับคิดว่า ถ้าหากคนของตระกูลหนานกง รู้เข้าว่าโจวเอ้อพูดแบบนี้ ก็คงมีเคืองบ้าง
โจวเอ้อวางสมุดจดลง ก่อนหมุนตัวกลับไปข้างหลัง หยิบน้ำเปล่าออกมา ก่อนมานั่งข้างฉินซี “ตอนนี้ทำสิ่งสำคัญเสร็จแล้ว ผมจะมาพูดคำสำคัญต่อแล้วกัน”
ฉินซีพยักหน้า ในที่สุดเขาก็บอกจุดประสงค์จริงๆที่เชิญเธอมาที่นี่เสียที
เมื่อโจวเอ้อเงยหน้าขึ้นหลังจากจิบน้ำเสร็จ เขาก็หันมาถามเธอต่อ “คุณรู้จักเวินจิ้ง ภรรยาในนามของเขา มากแค่ไหน?”
ฉินซีไม่คิดมาก่อนว่าเขาจะพูดถึงชื่อนี้ขึ้นมา เธอขมวดคิ้วก่อนจะตอบกลับไป “ฉันไม่ค่อยรู้เรื่องของเธอมากนัก”
โจวเอ้อยิ้ม “องค์กรของคุณมีอำนาจมากนี่ ทำไมไม่ตั้งใจที่จะสืบล่ะครับ?”
ในใจของฉินซีตกตะลึง ไม่คาดคิดว่าโจวเอ้อจะพูดถึงตัวตนของเธอออกมาอย่างนี้ แต่แล้วเธอก็เปลี่ยนใจ เขารู้ด้วยซ้ำว่าจริงๆแล้วลู่เซิ่นแต่งงานกับใคร ความสัมพันธ์เป็นอย่างไร และลู่เซิ่นก็ยังให้เขาหาตัวเธอ เรื่องที่รู้ถึงตัวตนของเธอ คงไม่ใช่เรื่องยากสำหรับเขา
ท่าทางของเธอที่เปลี่ยนไป ทำให้โจวเอ้อโบกไม้โบกมือไปมา ก่อนที่จะอธิบาย “ผมต้องขอโทษคุณล่วงหน้า เมื่อก่อนลู่เซิ่นคิดว่าคุณอยู่ในเมืองหนาน เขาให้ผมสืบหาภูมิหลังของคุณ ผมให้ลูกน้องทำหน้าที่นี้ ไม่ว่าจะมีความเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อยของคุณ ก็ต้องมารายงานผม แต่ตอนนั้นจริงๆแล้วคุณไม่ได้อยู่ในเมืองหนาน ทำให้ไม่ได้รับข่าวคราวเกี่ยวกับคุณจริงๆ นอกจากเรื่องการแต่งงานของคุณที่ได้รู้จากลู่เซิ่น ผมก็ไม่ได้จับตาดูอะไรเรื่องของพวกคุณอีกเลย ผมค่อยๆลืมเรื่องที่กำชับลูกน้องให้หาคุณ จนกระทั่งไม่กี่วันก่อนที่ผมจะเข้ามาในประเทศ ลูกน้องของผมก็ได้นำข้อมูลของคุณทั้งหมดมาให้ผม ผมจึงนึกถึงเรื่องนี้ขึ้นได้”
ฉินซีประหลาดใจเล็กน้อย “… ข้อมูลทั้งหมดของฉัน?”
โจวเอ้อยิ้ม “ก็ไม่ทั้งหมดหรอกครับ แต่เรื่องที่สำคัญก็รู้หมด เช่น ทำไมคุณถึงมาเมืองหนาน มาทำไม ถึงแม้ความสามารถของผมจะไม่มาก แต่เรื่องในเมืองหนาน ก็ไม่มีเรื่องไหนที่ผมจะไม่รู้”
เขายิ้มอย่างสุภาพ แต่ฉินซีรู้ดี ว่าเขายังไม่ได้พูดครึ่งประโยคหลัง
แม้เขาจะไม่รู้อะไรเลยภายนอกเมืองหนาน แต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นภายใน เมืองหนาน ที่จะสามารถหลบหนีไปจากสายตาของเขาได้
ในเมื่อเขารู้หมดแล้ว และลู่เซิ่นก็ได้บอกว่าโจวเอ้อไว้ใจได้ ฉินซีจึงไม่คิดที่จะหลีกเลี่ยง เธอไม่ได้ปฏิเสธอะไรออกไป แค่เออออไปกับเขา “สืบมาแล้ว แต่ยังไม่มีข้อมูลมากนัก และไม่มีอะไรที่ฉันอยากรู้”