Flash Marriage เธอต้องแต่งงานกับฉัน - ตอนที่ 1336
บทที่ 1336 มีคนกำลังตามหาคุณ
โจวเอ้อยังคงมีรอยยิ้ม”อยากรู้อะไรครับ อยากรู้ว่าเรื่องนี้เกี่ยวกับมู่วี่สิงอย่างไรใช่ไหม?”
ฉินซีไม่แปลกใจกับการที่เขารู้ไปเสียทุกเรื่องแล้ว เธอพยักหน้าอย่างตรงไปตรงมา “ค่ะ”
รอยยิ้มของโจวเอ้อดูลึกล้ำ “ดูเหมือนว่า … คุณยังไม่รู้สินะว่า มู่วี่สิงกับเวินจิ้งยังไม่หย่ากันจริงๆ”
ฉินซีพยักหน้า
โจวเอ้อยิ้มจาง “แต่ถึงยังไง ถ้าคุณเป็นคนเมืองหนาน เรื่องของพวกเขาสองคน ก็ไม่จำเป็นต้องไปสืบ ถึงอย่างไรตอนนั้นก็คงได้ยินที่เขาพูดถึงกัน ข่าวซุบซิบหรือข่าวในนิตยสาร ยังไงก็ต้องพูดถึงสองคนนั้นเกินจริงอยู่ดี”
ฉินซีเลิกคิ้วเบาๆ “พูดเกินจริง?”
โจวเอ้อพยักหน้า “ครับ มู่วี่สิงคนนั้น เขาเกิดมาพร้อมกับร่างกายที่ต้องเปื้อนเลือด”
เขายื่นมือออกไปรินน้ำให้ตัวเอง ก่อนจะจิบมัน พูดสั้นๆเพื่อสรุปเรื่องราวของมู่วี่สิงและเวินจิ้ง
ฉินซีตกตะลึงเล็กน้อย เธอคิดว่าเรื่องราวระหว่างตัวเองกับลู่เซิ่นนั้นว่าทรมานแล้ว แต่เธอไม่ได้คาดคิดมาก่อนว่าเรื่องราวของมู่วี่สิงและเวินจิ้งจะนองเลือดขนาดนี้
“สรุปแล้วก็คือ ตอนนี้พวกเขาสองคนก็ไม่รู้เรื่องที่อีกฝ่ายปิดบัง มู่วี่สิงไม่รู้ว่าลู่เซิ่นกับเวินจิ้งไม่ได้แต่งงานกันจริงๆ และยังคิดไปว่าลูกสาวของเธอนั้นเป็นลูกที่เกิดจากลู่เซิ่นและเวินจิ้ง” สีหน้าของโจวเอ้อแฝงไว้ด้วยความตื่นตระหนกอยู่ส่วนหนึ่งแต่ไม่มากนัก “ส่วนเวินจิ้ง ก็คิดว่าเธอกับมู่วี่สิงหย่าขาดกันแล้ว ต่างคนต่างไป ความสัมพันธ์ทางกฎหมายของคนทั้งคู่ไม่มีอีกต่อไปแล้ว”
ฉินซีพูดไม่ออกกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นของคนทั้งสอง”ทำไมเรื่องมันถึงเป็นแบบนี้ไปได้? ไปอธิบายให้พวกเขาฟังไม่ได้หรือคะ?”
โจวเอ้อมองไปทางฉินซีอย่างมีความหมายแฝง “ไม่ใช่ว่าคุณจะพูดได้ทุกเรื่อง บางครั้ง ไม่พูดอธิบายออกไป จะทำให้ใจกักเก็บความคิดถึง”
ใจของฉินซีเต้น รู้สึกตลอดเวลา ราวกับว่าโจวเอ้อกำลังพูดถึง เรื่องของเธอกับจ้านเซิน
อันที่จริง ถ้าหากฉินซีมีความกล้ามากพอ เธอก็คงพูดเปิดอกกับจ้านเซินไปนานแล้ว คงไม่ให้มันคลุมเครืออยู่แบบนี้
แต่เธอก็ไม่ทำอย่างนั้นด้วยซ้ำ … เธอก็ไม่ได้ต้องการถูกตัดขาดจากจ้านเซิน
แต่โจวเอ้อก็พูดวกกลับมาเรื่องของมู่วี่สิงกับเวินจิ้งอีกครั้ง ราวกับอยากให้ฉินซีคิดกับตัวเองว่าเธอคิดมากไปเอง “มู่วี่สิงไม่กล้าอธิบายเรื่องหย่ากับเวินจิ้ง เพราะกลัวว่าเวินจิ้งจะไม่หลงเหลือความรู้สึกอะไรกับเขาแล้ว ถ้าหากพูดไป ถ้าหากเธอบังคับให้มู่วี่สิงไปหย่า เขาจะทำอย่างไร แถมเวินจิ้งก็ไม่พูดอะไรเลย ก็เพราะว่าเธอสัญญากับลู่เซิ่นไว้ ว่าจะไม่บอกเรื่องนี้กับใคร และอีกอย่าง เธอก็คงผูกใจเจ็บกับเรื่องของมู่วี่สิง เรื่องทุกอย่างมันก็เลยคาราคาซังอยู่แบบนี้”
ดูเหมือนโจวเอ้อจะไม่พอใจ เขาพูดเสร็จก็ยู่ปาก มันทำให้ฉินซีขำออกมา “เรื่องของความรู้สึก ใครจะพูดได้ชัดเจนกันล่ะคะ”
โจวเอ้อหันไปมองฉินซี “ใช่ครับ ความรักของเขาทั้งสองมันทรมาน ผมคงไม่ไปยุ่งอะไร แต่ถ้าเรื่องของเขามันมากระทบคนอื่น ผมก็คงไม่ไปยุ่งไม่ได้”
คิ้วของฉินซีกระตุก “คนอื่น?”
แววตาของโจวเอ้อที่ทอประกายออกมา ทำให้ฉินซีสงสัยจนต้องออกปากถาม “หรือว่า จะเป็นฉัน…”
โจวเอ้อยิ้มบาง “เป็นไปตามคาดว่าเป็นคนในองค์กรคุณ ฉลาดดีนี่”
ฉินซีไม่สนคำชมของเขา เธอขมวดคิ้ว ก่อนจะถามต่อ “แล้วเรื่องของพวกเขาสองคน มันเกี่ยวอะไรกับฉัน?”
โจวเอ้อตอบด้วยเสียงแผ่วเบา “มู่วี่สิงยังไม่รู้ว่าระหว่างเวินจิ้งกับลู่เซิ่นเป็นแค่การตบตาคนอื่น เขายังคิดอยู่เลยว่าสองคนนั้นรักกันจริงๆ เวินจิ้งมีลูกกับลู่เซิ่น มู่วี่สิงเป็นคนที่จะขอให้คนที่เขารักมีความสุขอยู่เสมอ เรื่องอื่นเขาไม่สนใจ ”
เมื่อพูดมาถึงตอนนี้ โจวเอ้อก็อดไม่ได้ที่จะขำออกมา ก่อนที่จะพูดต่อ “เขาคิดว่าเวินจิ้งรักลู่เซิ่นอย่างสุดหัวใจ ดังนั้นจึงทำทุกอย่างให้ระหว่างพวกเขาราบรื่นที่สุด ตอนนี้ เขาเห็นลู่เซิ่นอยู่กับคนอื่นไปแล้ว คุณคิดว่า เขาจะคิดยังไง จะทำยังไงล่ะ?”
ฉินซีผงะไป ความทรงจำกลับขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
… เมื่อเธอกับลู่เซิ่นมาที่นี่เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว… มู่วี่สิงเห็นพวกเขา
เมื่อเห็นท่าทางของเธอเปลี่ยนไป โจวเอ้อก็รู้แล้วว่าเธอจำได้
“คุณหมายถึง เมื่ออาทิตย์ที่แล้วที่ฉันอยู่กับลู่เซิ่น มันทำให้เขาคิดไปเองว่า ลู่เซิ่นนอกใจงั้นเหรอ?”มีความไม่เชื่อมั่นในน้ำเสียงของฉินซีเล็กน้อย
โจวเอ้อจิบน้ำเปล่าอีกครั้ง “ใช่ครับ นั่นคือสิ่งที่เขาคิด”
ฉินซีพูดขึ้นโดยไม่มองหน้าโจวเอ้อ”งั้นเขาต้องการโจมตีฉันเหรอ?”
โจวเอ้อแปลกใจ “คุณรู้ได้ยังไง?”
ฉินซียักไหล่ “ด้วยอำนาจของมู่วี่สิง ก็คงยังไม่สามารถที่จะต่อกรกับลู่เซิ่นได้ ถ้าหากเขาสั่งสอนลู่เซิ่นโดยตรง ก็คงเป็นเรื่องยาก ดังนั้นสิ่งที่เขาจะจัดการได้โดยง่าย คือฉัน คนที่ไม่มีอำนาจอะไรเลย”
ตอนนี้โจวเอ้อรู้สึกตกตะลึงกับฉินซี มันไม่ง่ายที่จะหาผู้หญิงฉลาดแบบนี้ ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ
เมื่อได้ยินว่าจะมีคนจ้องทำร้ายตัวเองอยู่ แต่ก็ยังสงบนิ่งได้นี่ ถือว่าไม่ใช่คนธรรมดา
“เขาต้องการทำอะไรกับฉัน” ฉินซีหันไปมองโจวเอ้อ”จะปิดปากฉัน? หรือจะโยนฉันออกไป”
โจวเอ้อยิ้ม “มู่วี่สิงไม่กล้ากำจัดคุณหรอก… ถ้าหากลู่เซิ่นรักคุณจริงๆ เขาจะมีความบาดหมางกับตระกูลลู่เสียเปล่า ที่เขาจะทำคงแค่ให้คนตระกูลมู่หาเบาะแสของคุณ หาคุณให้เจอ หลังจากนั้นคงไล่คุณให้ออกไปจากเมืองหนาน และไม่ใก้กลับมาอีกมากกว่า”
เธอยิ้มจาง และอดไม่ได้ที่จะพูดประชดประชันว่า “นั่นคือทั้งหมดที่เขาทำได้”
ตัวเองหักหลังเวินจิ้ง ให้เธออกหัก ไม่กลับมาอยู่ข้างๆเขา ภายนอกทำเหมือนตัวเองเป็นนักบุญ ดูเหมือนว่าจะทำทุกอย่างให้เธอได้ น่าสนใจดีไหมล่ะ?
ถ้าหากเพื่อเวินจิ้งแล้ว มู่วี่สิงสามารถที่จะไปปรากฏตัวต่อหน้าลู่เซิ่นแบบตัวต่อตัวได้ ฉินซีคงจะเพิ่มความเคารพในตัวเขา สุดท้ายแล้วถ้าหากเขายังทำตัวขี้ขลาด ในสายตาเธอที่มีต่อตัวเขาก็คงมีแต่ความดูแคลน
– น่าเสียดายที่เธอไม่ได้อ่อนแอแบบนั้น
“ทั้งตระกูลมู่กำลังหาฉันอยู่เหรอคะ?” ฉินซีถาม
โจวเอ้อพยักหน้า” ครับ แต่ตอนนี้ยังไม่พบเบาะแสของคุณ”
ฉินซีเข้าใจ อีกด้านหนึ่งสาเหตุคือเพราะลู่เซิ่น ส่วนอีกด้านคือเป็นเพราะองค์กรเป็นเหตุ ร่องรอยหรือเบาะแสของเธอ ไม่ใช่จะหาได้ง่าย
เธอหันหน้าไปมองโจวเอ้อ”นี่คือเหตุผลที่คุณเรียกฉันมาที่นี่เหรอคะ?