Flash Marriage เธอต้องแต่งงานกับฉัน - ตอนที่ 1348
บทที่ 1348 ไม่เป็นไปตามคาด
ในห้องผู้ป่วย
ฉินซีนอนนิ่งเงียบราวกับตุ๊กตาไร้วิญญาณ อยู่บนผ้าปูที่นอนสีขาวบริสุทธิ์ บนตัวของเธอสวมชุดผู้ป่วยสีน้ำเงินเข้มขนาดใหญ่ ยิ่งทำให้เธอดูซีดเซียวมากขึ้น
เธอดูเหมือนกำลังหลับอยู่ แต่คิ้วยังคงล็อกแน่น
ฉินซีกำลังฝัน ฝันถึงเรื่องราวในตอนเด็ก ฝันถึงพ่อแม่ของตน ฝันถึงจ้านเซิน แล้วภาพสุดท้ายก็จับจ้องไปที่ใบหน้าอันหล่อเหลาของชายหนุ่ม แต่ดวงตาของเธอกลับถูกเมฆหมอกบดบัง ฉินซีทำยังไงก็มองไม่ชัดว่าใบหน้าของชายหนุ่มนั้นเป็นอย่างไร
เธอรู้สึกกระวนกระวายใจ อดไม่ได้ที่จะก้าวขาเดินเข้าไป
ปัดหมอกออก ใบหน้าของชายหนุ่มก็ชัดเจนขึ้นทีละน้อย
“ลู่เซิ่น!”
ฉินซีร้องออกมาด้วยความประหลาดใจ มองไปที่ใบหน้าที่คุ้นเคยตรงหน้า น้ำตาเอ่อคลออยู่ในดวงตาสีอำพัน
เธออดไม่ได้ที่จะวิ่งเข้าไปหาอย่างตื่นเต้น โผเข้าไปในอ้อมแขนของลู่เซิ่น “ลู่เซิ่น ในที่สุดนายก็มา นายมาเพื่อช่วยฉันหรอ?”
ฉินซีเปิดปากพูดด้วยเสียงสะอื้น พร้อมกับรอยยิ้มน้อยๆบนใบหน้า
ฉินซีในเวลานี้ขาดความรู้สึกปลอดภัยอย่างมาก การปรากฏตัวของจ้านเซิน ทำลายชีวิตที่สงบสุขของเธอ ทำให้เธอหวาดกลัวอีกครั้ง
ตอนนี้เธอต้องการการปลอบโยนจากลู่เซิ่น แต่เธอรู้ดี ตอนนี้ลู่เซิ่นยังไม่สามารถเปิดเผยได้
ดังนั้น ฉินซีจึงได้แต่แบกรับไว้ตัวคนเดียว
เธอกัดฟันยืนหยัด ต่อต้านความชั่วร้ายของจ้านเซินเพียงลำพัง แต่ในใจยังคงหวาดกลัว ขี้ขลาด ต้องการการเห็นใจจากลู่เซิ่น
……
จ้านเซินยืนร่างสูงอยู่ข้างเตียงผู้ป่วย
เขามองดูฉินซีคิ้วล็อคแน่น ท่าทางเดี๋ยวร้องไห้ เดี๋ยวยิ้ม ในใจรู้สึกไม่สบอารมณ์
จ้านเซินเองนึกว่า เขามีความอดทนอย่างมากกับฉินซีแล้ว
เพื่อให้เธออาการดีขึ้น ก็ไม่ลังเลที่จะส่งเธอออกมา เพื่อให้เธอฟื้นตัวได้เร็ว
ยังมีผู้ชายคนไหนสามารถทำได้ขนาดนี้?
แต่ว่า ฉินซีกลับมองไม่เห็นความดีของเขาเลยแม้แต่น้อย
เธอเอาแต่อยู่กับไอ้ลู่เซิ่นทั้งวัน คิดอยู่ตลอดว่าจะหลบหนีการควบคุมของเขายังไง
ลู่เซิ่นมันดีขนาดนั้นเลยหรอ ดีถึงขนาดทำให้ฉินซีไม่ลังเลที่จะออกจากองค์กร เขาไม่เชื่อว่าตนแย่ไปกว่าลู่เซิ่น
ทำไมฉินซีถึงไม่ชอบเขาล่ะ?
คิดมาถึงตรงนี้ ในใจของจ้านเซินก็พองตัวด้วยความโกรธที่ไร้ที่มาทันที
เขาโกรธแล้วจริงๆ โกรธที่ในสายตาของฉินซีไม่มีเขาอยู่
แต่ว่า เมื่อจ้านเซินได้เห็นตอนที่เธอร้องไห้เป็นสายฝน ความโกรธภายในใจก็สงบลงเล็กน้อย
จ้านเซินโน้มตัวลง ปลายนิ้วที่หยาบกร้านลูบไปที่แก้มขาวนุ่มนวลของฉินซีเบาๆ เขาเอ่ยปากด้วยเสียงแหบแห้ง “ฉินซี เธออยากให้ฉันทำยังไงกันแน่ เธอถึงจะดีใจ…..”
ฉินซีที่หลับฝันอยู่ รู้สึกได้ว่ามีคนลูบแก้มของเธอ
เธอขมวดคิ้ว หลบเลี่ยงโดยไม่รู้ตัว
กลับไม่รู้เลยว่าตนได้ทำให้จ้านเซินโมโหขึ้นทันที อย่างไม่ต้องสงสัย
จ้านเซินดึงมือกลับด้วยความโกรธ หรี่ตาลงอย่างรวดเร็ว มองไปที่ฉินซี
เขาพูดอย่างเย็นชา “ฉินซี ไม่ว่าเธอจะคิดยังไง ฉันก็จะไม่ปล่อยเธอไป”
เขาพูดให้คำมั่นสัญญา คำพูดเต็มไปด้วยความหมายที่โหดร้าย “ชั่วชีวิตนี้ เธอเลิกคิดที่จะไปจากผม”
คำพูดเหล่านี้ เวลาที่อยู่ต่อหน้าฉินซี เขาไม่อาจพูดได้
เพราะถังย่าบอกเขาไว้ ว่าสภาพจิตใจของฉินซีในตอนนี้แย่มาก
ทางที่ดีอย่ากดดันเธอมากเกินไป ไม่อย่างนั้น ไม่อย่างนั้นจะได้ผลลัพธ์ตรงกันข้าม บังคับให้ฉินซีออกไป
เดิมทีจ้านเซินนึกว่าฉินซีไม่ใช่คนที่อ่อนแอขนาดนั้น แต่หลังจากเห็นเธอทรุดลงครั้งแล้วครั้งเล่า ก็ค่อยๆรับฟังคำพูดของถังย่า
เขาระงับความครอบครองของตนเอง เก็บซ่อนความหวาดระแวงไว้ในความมืด
ในขณะเดียวกัน
โจวซิงหลังจากที่เสร็จจากการโทรคุยกับลู่เซิ่นและโจวเอ้อแล้ว ก็กลับไปที่ห้องผู้ป่วยอีกครั้ง
เขาผลักประตูเปิด มองเห็นจ้านเซินยืนอยู่หน้าห้องผู้ป่วยของฉินซี ขมวดคิ้ว
จ้านเซินที่ผ่านการฝึกฝนมาอย่างเข้มงวด ได้ยินเสียงฝีเท้าของโจวซิง นานก่อนที่เขาจะเปิดประตูแล้ว
เขารีบเก็บมือกลับ ใส่ไว้ในกระเป๋ากางเกง แสร้งทำทีเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
โจวซิงเอ่ยขึ้นนิ่งๆ น้ำเสียงห่างเหิน “คุณจ้าน ฉินซีตอนนี้ต้องการความเงียบอย่างสมบูรณ์ สภาพจิตใจของเธอตอนนี้แย่มาก ต้องการการฟื้นฟูที่ดี”
น้ำเสียงของเขาแม้ว่าจะสงบนิ่ง แต่กลับออกรสอย่างไม่ต้องสงสัย
“ถ้าหากคุณยังวางแผน ว่าจะสะกดจิตเธอยังไง ผมขอแนะนำคุณว่าอย่าหุนหันพลันแล่น ด้วยความสามารถในการรองรับของฉินซีตอนนี้ ไม่แน่ว่าอาจไม่ฟื้นอีกเลย”
โจวซิงพูดด้วยใบหน้าเคร่งขรึม เขามองตรงไปที่จ้านเซิน แววตามีไฟลุกโชน
ราวกับว่าเขากำลังหยุดยั้งจ้านเซินไม่ให้ทำผิดต่อไปตามจรรยาบรรณของแพทย์ แต่จ้านเซินกลับไม่เชื่อ เอาแต่คิดว่า จะต้องมีการสมรู้ร่วมคิดกันแอบแฝงอยู่
อย่างเช่น เสียงฝีเท้าของโจวซิงเมื่อกี้ เบากว่าคนทั่วไปมากอย่างเห็นได้ชัด
นั่นแปลว่าเขามีศิลปะการต่อสู้ หรือไม่ก็เคยได้รับการฝึกฝนมา
เปรียบเทียบกันแล้ว จ้านเซินเชื่อว่าความเป็นไปได้ของอย่างหลังนั้นมีมากกว่าหน่อย
ด้วยสายตาของจ้านเซินมองว่า บนตัวของโจวซิงมีความน่าสงสัยอยู่
เขาดูเหมือนเป็นหมอที่มีศีลธรรมสูงส่ง มีทักษะทางการแพทย์ กระทั่งเพื่อคนไข้แล้ว ไม่ลังเลที่จะละทิ้งความกตัญญูที่ยิ่งใหญ่ มีกำลังน้อยนิด แต่กล้าที่จะต่อต้านเขา
นี่ชัดเจนว่าไม่ใช่ทางที่คนฉลาดควรเลือก แท้จริงแล้วโจวซิงนั้นดีหรือไม่ดี บริสุทธิ์ซื่อตรงจริง หรือว่ามีแผนการอื่น จ้านเซินจะ—-ตรวจสอบให้ชัดเจน
เดิมทีจ้านเซินก็เป็นคนขี้ระแวงอยู่แล้ว ประสบการณ์หลายปีมานี้ ทำให้เขาไม่กล้าเชื่อใจคนข้างกายแม้แต่คนเดียว มีแต่ตัวเองเท่านั้นที่จะไม่ทรยศตัวเอง
โจวซิงไม่รู้ ว่าเขาถูกจ้านเซินสงสัยแล้ว
เขายังคงเล่นบทคุณหมอต่อไป “คุณจ้าน คุณฟังที่ผมพูดอยู่หรือเปล่า?”
จ้านเซินไม่พูดอะไรอยู่นาน เอาแต่จ้องไปที่ฉินซีไม่กระพริบตา โจวซิงอดไม่ได้ที่จะเรียกเตือนสติ
ครั้งนี้ลู่เซิ่นกับโจวเอ้อมาหาเขา ก็เพื่อปกป้องฉินซี
ถ้าหากจ้านเซินหมายจะลงมือกับฉินซี งั้นเขาก็ได้แต่ต้องหาวิธีแอบพาฉินซีหนีไป ไม่งั้นฉินซีจะทรุดไปจริงๆ
“คุณหมอโจวผมเข้าใจที่คุณพูดแล้ว รบกวนคุณดูแลฉินซีด้วย”
จ้านเซินวางสายตาไว้บนตัวของโจวซิงอย่างเป็นกลาง เอ่ยปากพูดด้วยเสียงแหบแห้ง
เขายืนอยู่ตรงข้ามกับโจวซิง แต่เหมือนมีสิ่งลึกลับสีดำ ทำให้คนมองไม่ออกว่าในใจเขากำลังคิดอะไร
โจวซิงแม้ว่าจะเรียนเอกจิตวิทยา แต่กับจ้านเซินกลับไร้หนทาง
ผู้ชายคนนี้ผ่านการฝึกฝนที่เข้มงวดมาตั้งแต่เด็ก ทำให้เขาห่อหุ้มตัวเองไว้ เว้นแต่อีกฝ่ายจะมีกำลังจิตใจที่แข็งแกร่งกว่าเขา ไม่อย่างนั้น ก็ไม่มีใครมองเขาออก ยิ่งไม่ต้องหวัดจะงัดอะไรออกจากปากเขาได้
เดิมทีองค์กรต้องการฝึกฉินซีให้เป็นแบบนี้ แต่เพราะเร่งรีบเกินไป จึงทำให้ได้ผลตรงข้าม
โจวซิงเกลียดเวลาที่เขาพูดเหมือนหุ่นยนต์ น้ำเสียงไร้ซึ่งอารมณ์ แต่เขาก็ยังอดทนไว้ พยักหน้าอย่างเป็นมิตร “คุณจ้าน คุณเกรงใจเกินไปแล้ว”