Flash Marriage เธอต้องแต่งงานกับฉัน - ตอนที่ 1350
บทที่ 1350 ร่วมกันแบกรับ
แม้ว่าโจวซิงรู้ดี ว่าฉินซีจะไม่เชื่อใจตนง่ายๆ แต่คิดไม่ถึงว่า ความขี้ระแวงของเธอจะหนักหนาขนาดนี้
ภายใต้ความสิ้นหวัง โจวซิงจึงเป็นผู้นำในการโทรไปหาโจวเอ้อ
เขาถูกเรียกตัวมากะทันหัน ไม่มีเบอร์มือถือของลู่เซิ่น
แม้ว่าฉินซีจะมี แต่มือถือของเธออยู่ที่บ้าน ไม่ได้อยู่ข้างกาย
“ตู๊ดตู๊ดตู๊ด…..”
เสียงที่สะท้อนมาจากโทรศัพท์ ทำให้ใจที่เดิมทีสงบนิ่งของฉินซี เต้นแรงขึ้นมาอย่างอธิบายไม่ได้
เธอไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วตนเองกำลังคาดหวังหรือหวาดกลัว
โจวซิงโยนมือถือให้เธอ “เธอรีบโทร ฉันไปหน้าประตู”
เขาไม่กล้าล่าช้า เกรงว่าจ้านเซินจะกลับมาในช่วงเวลานี้
ฉินซีเม้มริมฝีปาก ไม่ได้พูดอะไร
เขาจ้องมองโจวซิงกลับไปที่หน้าประตู ถึงค่อยหยิบมือถือขึ้นมาอย่างระแวดระวัง วางไมค์ไว้ที่ข้างปาก
ฉินซีไม่ได้เอ่ยปาก รอให้ฝั่งนั้นพูดก่อน
ถ้าเธอได้ยินเสียงที่ไม่ใช่ลู่เซิ่นจากปลายสาย เธอจะตัดสายทันที ไม่ให้โอกาสใครได้ตรวจสอบเธอ
“ฮัลโหล โจวซิง”
เสียงที่คุ้นเคยสะท้อนมาจากปลายสาย ความจำของฉินซีดีมาก ครู่เดียวเธอก็จำได้ นี่เป็นเสียงของโจวเอ้อ เธอถอนหายใจยาว
โจวเอ้อมองมือถือด้วยความสงสัย เห็นเขาไม่พูดอะไร ในใจก็ว้าวุ่น “โจวซิง นายเป็นอะไร หรือว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับฉินซี?”
ฉินซีฟังความกังวลในคำพูดของเขาออก ในใจรู้สึกซาบซึ้ง
เธอถึงปล่อยวางความระแวงทั้งหมดที่มีในตัวโจวซิงไปได้ ฉินซีพูดเสียงต่ำ “โจวเอ้อ ฉันคือฉินซี ลู่เซิ่นอยู่ข้างนายไหม รบกวนนายส่งโทรศัพท์ให้เขา ฉันมีเรื่องจะพูดกับเขา”
ได้ยินเสียงของฉินซี ใบหน้าของโจวเอ้อก็เผยความปิติยินดี
เขารีบออกมาจากห้องทันที “เธอรอแป๊บนะ ฉันจะเอาโทรศัพท์ให้เขาเดี๋ยวนี้”
ในขณะเดียวกัน
ลู่เซิ่นกำลังจัดการธุระอยู่ในห้องหนังสือ
ความคิดที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ ทำให้ลู่เซิ่นกระวนกระวาย
เขาในตอนนี้ไม่ใช่เขาในอดีตแล้ว ต่อให้จ้านเซินคิดจะจัดการเขา ก็ต้องชั่งน้ำหนักตัวเองด้วยว่ามีความสามารถนั้นไหม
ถ้าหากจ้านเซินคิดจะพาฉินซีไป งั้นต่อให้เขาตาย ก็จะต้องสู้
ผู้ชายร่างกายเป็นเหล็กเลือดเข้มข้น เขาไม่อาจเฝ้าดูชายคนอื่นพาฉินซีไปได้ แต่เขากลับซ่อนตัวเหมือนไข่อ่อน หลบอยู่ในกระดองเต่า
ลู่เซิ่นไม่ยินยอมให้ผู้หญิงปกป้อง เขามีความหยิ่งทะนง และภาคภูมิใจในตัวเอง
ดังนั้น ลู่เซิ่นจึงวางแผน ว่าจะช่วยฉินซีออกมาจากการห้อมล้อมของจ้านเซินได้ยังไง โดยไม่เสียกำลังคน ล่าถอยออกมาได้
ช่วยฉินซีไม่ใช่เรื่องที่ยากลำบากอะไรมากมาย ที่ยากคือจะพาเธอออกมาอย่างเงียบๆ ในสถานการณ์ที่จ้านเซินไม่ไหวตัวได้ยังไง
“ปัง!”
ประตูห้อง ถูกเปิดออกกะทันหัน
ลู่เซิ่นที่ถูกขัดจังหวะการใช้ความคิด ขมวดคิ้ว สีหน้าไม่พอใจปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา
พอเขาเห็นโจวเอ้อถือโทรศัพท์อย่างร้อนรน แล้วรีบวิ่งเข้ามาหาเขา ก็สบถในใจ “เชี่ย!” เกิดลางสังหรณ์ไม่ดีขึ้นในใจ
“เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”
ลู่เซิ่นละทิ้งเรื่องที่ทำอยู่เมื่อครู่ทันที กระตุกเล็กน้อย แล้วลุกขึ้นจากเก้าอี้
ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความตึงเครียดและกังวล แทบทนไม่ไหวที่จะบินไปอยู่ข้างกายฉินซีในวินาทีต่อไป
โจวเอ้อเห็นเขาตกใจมาก จึงรีบพูดปลอบ “ไม่มีอะไร แกอย่าพึ่งตื่นเต้น ฉินซีฟื้นแล้ว บอกว่าอยากจะโทรหาแก ฉันก็เลยรีบมา”
เขารู้ว่าโจวซิงกับฉินซี ตอนนี้อยู่ในการควบคุมของจ้านเซิน จะโทรศัพท์แต่ล่ะทีลำบากแค่ไหน ดังนั้นจึงไม่กล้าเสียไปแม้สักวินาที
ได้ยินว่าฉินซีไม่เป็นอะไร ใจที่เต้นแรงของจ้านเซิน ก็ถือว่าสงบลงแล้ว
ลู่เซิ่นรีบก้าวไปข้างหน้า รีบโทรศัพท์ของเขามา “ฮัลโหล ฉินซี”
เขาเอ่ยปากอย่างร้อนรน โดยมีความรักที่ลึกซึ้งอยู่ในนั้น
ปลายสายโทรศัพท์ ฉินซีได้ยินเสียงของเขา ใจที่เดิมทีแข็งแกร่ง ก็อ่อนลงทันที
ฉินซีที่ไม่กลัวฟ้ากลัวดิน จู่ๆกลับตาแดงก่ำขึ้นมา
ฉินซีเอ่ยปากเรียกชื่อเขาด้วยเสียงที่แหบแห้ง “อาเซิ่น…..”
เธอเริ่มคัดจมูก น้ำตาเอ่อล้นอยู่ในดวงตาสีอำพัน
ฉินซีก็ไม่รู้ว่าทำไมเธอถึงงอแงขนาดนั้น แต่ก่อนเธอไม่ใช่แบบนี้ แม้ว่าจะเจอเรื่องอัปยศมากมาย เธอก็แข็งแกร่งอย่างมาก เป็นผู้หญิงเข้มแข็งที่ยืนได้ด้วยตัวเอง
เหมือนกับว่าหลังจากได้เจอลู่เซิ่นแล้ว เขาได้ซ่อมแซมหัวใจเด็กสาวของเธอทีละน้อย เวลาเกิดเรื่อง มักจะยืนอยู่หน้าเธอเป็นคนแรกเสมอ ปฏิบัติกับเธอเหมือนเป็นผู้หญิงตัวเล็กๆ ดูแลปกป้องเธอ รักใคร่เธอเหมือนเป็นเจ้าหญิงตัวน้อย ชดเชยความรักที่เธอขาดไปในวัยเด็ก ทำให้เธออ่อนโยนขึ้นทีละน้อย
“ทำไมร้องไห้ล่ะ อย่าร้อง ไม่เป็นไรนะ มีฉันอยู่ ฉันจะไม่ปล่อยให้จ้านเซินทำร้ายเธอ”
ลู่เซิ่นได้ยินเสียงสะอื้นในน้ำเสียงเธอ หัวใจที่เย็นชาก็อ่อนลงทันที เขารู้สึกไม่สบายใจ ลดเสียงปลอบโยนเธอ น้ำเสียงนุ่มนวลราวกับน้ำผึ้ง
ฝ่ามือใหญ่ที่วางอยู่ข้างตัวเขา กำหมัดแน่น ตอนนี้เขาอยากที่จะรนหาที่ตายไปหาจ้านเซิน ให้เขาปล่อยฉินซีไป
ผู้ชายคนหนึ่ง ใช้วิธีการที่น่ารังเกียจ ดักจับผู้หญิงคนหนึ่งไว้ข้างกายแบบนี้มันคือความสามารถอะไรกัน
แต่ถึงอย่างไร ตัวจ้านเซินเองก็เป็นคนไม่มีศีลธรรมอยู่แล้ว
องค์กรฝึกฝนให้พวกเขากลายเป็นหุ่นยนต์ที่ไร้มนุษยธรรม สิ่งที่เรียนรู้แต่เด็กคือทำอย่างไรให้ได้มาซึ่งสิ่งที่ตนต้องการด้วยวิธีการที่ไร้ยางอาย ไม่เคยคำนึงถึงความรู้สึกของผู้อื่น
ไม่ว่าจะใช้วิธีการไหน ตราบใดที่สามารถบรรลุผลได้ นั่นคือดีที่สุด
แต่ก่อนฉินซีก็ไม่รู้สึกว่าเรื่องนี้แปลกอะไร แต่หลังจากทำภารกิจไปทีละอย่าง เห็นสิ่งต่างๆมากขึ้น ก็ค่อยๆเริ่มรังเกียจ
จนกระทั่งได้พบกับลู่เซิ่น เธอถึงได้มีใจที่อยากจะออกจากองค์กรถึงที่สุด
เดิมทีสิ่งนี้ก็ไม่ถูกต้องอยู่แล้ว การมีมุมมองที่แตกต่าง องค์กรที่บิดเบือนคุณค่า ฉินซีรู้สึกว่าตัวเองจะบ้าคลั่ง หดหู่
ฉินซีได้ยินคำปลอบโยนของเขา แทนที่จะสงบลง ความโหยหาเขาภายในใจกลับหยั่งลึกขึ้นเรื่อยๆ
เธอสูดหายใจ พูดเสียงอู้อี้ “อาเซิ่น ฉันสบายดี ฉันไม่เป็นอะไร นายอย่าหุนหันพลันแล่น ฉันจะต้องหาวิธีออกไปได้แน่ แก้ไขปัญหาเรื่องจ้านเซินเสร็จแล้ว จะใช้ชีวิตอย่างคนธรรมดากับนาย”
แม้ว่าจะมาถึงจุดนี้แล้ว ฉินซียังต้องเข้มแข็ง ไม่ยอมปล่อยให้คนข้างกายเป็นห่วง โดยเฉพาะทำให้ลู่เซิ่นวิตกกังวล
เพียงแต่ฉินซีไม่รู้ ยิ่งเธอแสดงท่าทีเข้าใจรู้เรื่องรู้ราวมากเท่าไหร่ ในใจของลู่เซิ่นก็ยิ่งเจ็บปวดมากเท่านั้น
องค์กรที่โหดร้ายนั่น ฝึกฝนฉินซีจนกลายเป็นอะไรไปแล้ว
อายุอย่างเธอ หญิงสาวที่สวยงามแบบนี้ เดิมทีควรจะมีชีวิตโดยเป็นที่รักของคนอื่น อย่างมีความสุข แต่ฉินซีกลับรู้วิธีที่จะทำให้คนทุกข์ใจ
ในใจลู่เซิ่นราวกับมีหินก้อนใหญ่ติดอยู่ ขวางทางทำให้เขาหายใจไม่ออก “ฉินซี เธอไม่ต้องแบกรับทุกอย่างด้วยตัวเอง ฉันเป็นสามีของเธอ พวกเราเป็นสามีภรรยากัน พวกเราจะแบกรับไปด้วยกัน”