Flash Marriage เธอต้องแต่งงานกับฉัน - ตอนที่ 1352
บทที่ 1352 ความทรงจำในวัยเด็ก
น้ำเสียงของฉินซีช่างอ่อนโยน จนทำให้จ้านเซินประหลาดใจเล็กน้อย
นับตั้งแต่ครั้งนั้นเป็นต้นมา นานมาแล้วที่ฉินซีไม่ได้พูดกับเขาด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนเช่นนี้
ท่าทางของเธอเช่นนี้ จ้านเซินมักเห็นเธอทำกับลู่เซิ่นบ่อยๆผ่านจากกล้องวงจรปิด
ความผิดปกติของฉินซี ทำให้ในใจของจ้านเซินรู้สึกสับสน
จ้านเซินยังคงยืนอยู่ที่เดิม ร่างสูงมองลงมาที่เธอพลางเม้มริมฝีปาก
สิ่งแรกที่เขานึกถึงไม่ใช่นิสัยที่เปลี่ยนไปของฉินซี แต่เป็นความสงสัย
หรือนี่จะเป็นแผนการของฉินซี ตอนนี้เธอวางแผนจะทำอะไรบางอย่างหรือเปล่า
บางที นี่อาจเป็นนิสัยที่สั่งสมมานาน จนทำให้จ้านเซินคิดถึงแต่เรื่องเลวร้ายโดยไม่รู้ตัว
ฉินซีเองก็อยู่เคียงข้างจ้านเซินมานาน แน่นอนว่าเธอรู้ความคิดของเขามากกว่าคนอื่นๆ
เธอเงยหน้าขึ้น สบตาเข้ากับดวงตาเรียวยาวคู่นั้นของจ้านเซิน ภายใต้สายตาที่จ้องมองมาของเขา เธอค่อยๆเอ่ย “จ้านเซิน ฉันไม่มีอะไรแอบแฝง ไม่มีแผนการ คำที่เพิ่งพูดไป มันก็แค่คำที่มาจากใจฉันเท่านั้น”
เธอเริ่มเอ่ยปาก โดยละทั้งความเป็นตัวเอง และแสดงมันออกมาอย่างสมบูรณ์แบบต่อหน้าจ้านเซิน
ฉินซีหวังว่าด้วยวิธีนี้จะทำให้ได้รับความไว้วางใจจากจ้านเซิน เพื่อให้สามารถดำเนินการขั้นตอนต่อไปได้
แววตาของเธอใสสะอาด ราวกับไม่เคยสัมผัสกับสิ่งสกปรกอย่างไรอย่างนั้น
จ้านเซินหลับตาลงพลางเอ่ยขึ้นอย่างแผ่วเบา “โอเค”
เขาพยักหน้าด้วยสีหน้าที่เรียบเฉย ทำให้คนที่เห็นดูไม่ออกว่าเขากำลังโกรธหรือพอใจ
แต่ฉินซีกลับรู้สึกได้ว่ารังสีที่แผ่รอบตัวเขานั้นลดลง ความหนาวเหน็บรอบข้างเองก็ไม่มากเช่นกัน
โจวซิงไม่รู้ว่าฉินซีคิดจะทำอะไร แต่เมื่อเห็นว่าเธอทำดีกับจ้านเซิน ในใจก็รู้สึกไม่สบอารมณ์นัก
แต่เขายังคงอดกลั้นมันเอาไว้ และยืนอยู่ที่เดิมอย่างเงียบๆ ไม่ได้แสดงท่าทีอะไรออกมา
เขารู้ดีว่าถ้าเขาระเบิดมันออกมา ก็ไม่ต้องคิดถึงชะตาชีวิตเลย
ถึงเวลานั้น แม้ฉินซีเองก็จะติดพันไปด้วย
โจวซิงเป็นคนที่มีความรับผิดชอบสูงคนหนึ่ง เมื่อเขารับปากว่าจะช่วย เขาก็จะทำมันออกมาให้ดีที่สุด
ฉินซีพูดขึ้นทันที “นายถืออะไรไว้ในมือน่ะ ใช่อาหารเสริมที่นายซื้อให้ฉันหรือเปล่า”
ตั้งแต่ที่จ้านเซินก้าวเข้ามา เธอก็ได้กลิ่นของอาหารทันที
จ้านเซินที่จมอยู่ในความคิดของตัวเองอยู่นั้น เมื่อได้ยินเธอพูดเช่นนี้ ก็นึกขึ้นได้ว่าตัวเองเพิ่งจะออกไปซื้ออาหารมาให้ฉินซี
“อืม หมอโจวบอกว่าช่วงนี้อาการเธอไม่ดีมาก ไม่เพียงแค่ด้านสภาพจิตใจเท่านั้น ด้านร่างกายเองก็ต้องการการบำรุงเช่นกัน เพราะงั้นผมเลยให้คนตุ๋นซุปกระดูกชิ้นใหญ่มา
จ้านเซินยื่นกล่องอาหารกลางวันให้เธอ น้ำเสียงของเขายังคงไม่เปลี่ยนแปลง แต่กลับแสดงความอ่อนโยนออกมาอย่างชัดเจน
ฉินซีมองกล่องอาหารกลางวันที่อยู่ใกล้มือ รอยยิ้มเล็ก ๆ ปรากฏบนใบหน้าเล็กซีดเซียว “ไม่ได้ดื่มซุปกระดูกชิ้นใหญ่มานานแล้ว ขอบคุณนะคะ”
เธอกะพริบตาปริบ ๆ พลางมองไปยังจ้านเซิน เธอพูดยอเขาอย่างไม่มีกั๊ก ตลอดที่ผ่านมา ฉินซีพยายามหลบเลี่ยงจ้านเซินมาตลอด
ยกเว้นครั้งแรกที่เธออยู่ในองค์กร เธอยังเป็นเด็กและไม่รู้เรื่อง
คิดว่าจ้านเซินที่ตัวสูงใหญ่ จะสามารถพึ่งพาได้
ฉินซีในตอนเด็กๆมักจะพึ่งพาจ้านเซิน เธอคิดกับเขาเหมือนเป็นพี่ใหญ่ คนที่สามารถปกป้องเธอได้
จนกระทั่งต่อมา หลังจากไปทำภารกิจ
ฉินซีค่อยๆตระหนักได้ว่า แท้จริงแล้ว จ้านเซินคือคนที่นำพาความเจ็บปวดมาสู่เธอ
เธอต้องเชื่อฟังคำสั่งของจ้านเซิน และไม่สามารถมีความคิดเป็นของตัวเองได้ เธอเป็นเครื่องมือ เป็นเหมือนทาสที่จะถูกลงโทษหากเธอทำงานไม่สำเร็จ
ฉินซีมีชีวิตที่ปราศจากเสรีภาพและความเป็นมนุษย์มามากพอแล้ว
ริมฝีปากบางของจ้านเซินเปิดออก “ระหว่างเราสองคน ไม่ต้องเกรงใจหรอก”
นี่คือคำพูดจากใจของจ้านเซิน เพราะเขาชอบฉินซี ถ้าหากได้ดูแลเธอ แน่นอนว่าหัวใจของเขาจะมีความสุข
และแน่นอนว่ามูลเหตุสำคัญนั้นก็คือ ฉินซีต้องล้มเลิกความคิดที่จะออกจากองค์กรและหนีตามไปกับลู่เซิ่น
“อืมๆ ฉันรู้แล้ว”
เธอพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม ดวงตาของเธอหรี่เล็กลงเพื่อปกปิดการถากถางที่ปรากฏในดวงตาของเธอ
ในมุมของฉินซี นี่เป็นเพียงวิธีการที่จ้านเซินใช้โน้มน้าวให้เธอกลับไปยังองค์กรก็เท่านั้น
ต้องบอกว่า ตอนนี้วิธีการในองค์กรเก่งขึ้นเรื่อย ๆ
แม้กระทั่งคนหัวดื้ออย่างจ้านเซิน ก็เรียนรู้ที่จะใช้คำพูดสวยหรูเพื่อล่อลวงอีกฝ่าย
ดูเหมือนว่า ความปรารถนาที่อยากจะหนีไปจากองค์กรของเธอจะยิ่งลำบากขึ้นเรื่อยๆ
ฉินซีถอนหายใจในใจ เธอพยายามควบคุมตัวเองไม่ให้เผยความรู้สึกที่แท้จริงออกมา
จ้านเซินเปิดกล่องอาหาร พลางหยิบช้อนยัดใส่มือของเธอ “รีบกินตอนมันร้อนๆสิ”
เขาไม่ได้พูดอะไรมากมาย ความเป็นห่วงทั้งหมดอยู่ในการกระทำนั้นแล้ว
หากเป็นคนอื่น เมื่อได้รับความเมตตาของจ้านเซิน แน่นอนว่าต้องรับมันไว้
แต่ทว่าฉินซีกลับรู้สึกหดหู่
เธอเค้นรอยยิ้มออกมา “อืมๆ”
ฉินซีหยิบช้อนขึ้นมา และดื่มมันเข้าไปเล็กน้อย
เธอเป่าและชิมรสชาติ “รสชาติไม่เลวเลย นายอยากจะชิมหน่อยไหม”
ฉินซีดันชามมาทางเขา สื่อความหมายว่าให้เขาลองชิมดู
ในองค์กรตอนที่ยังเป็นเด็ก พวกเขามักเป็นเช่นนี้กันอยู่บ่อยๆ แต่เมื่อโตขึ้น ก็ไม่เคยเกิดขึ้นอีกเลย
การกระทำเช่นนี้ ทำให้หัวใจของจ้านเซินอ่อนยวบไปในชั่วพริบตาเดียว
เขาก้มหน้ามองฉินซี ภายในใจกำลังรู้สึกว้าวุ่น
ฉินซีเห็นว่าเขาไม่ขยับอยู่นาน มือที่ถือชามอยู่นั้นก็รู้สึกเมื่อยเล็กน้อย
เธอเริ่มรู้สึกเมื่อย ดวงตาสีเหลืองอำพันเป็นประกาย พลางเอ่ยด้วยเสียงทุ้มต่ำ “ทำไมเหรอ หรือว่านายรังเกียจงั้นเหรอ…”
ฉินซีขบริมฝีปาก แสดงออกว่ากำลังเสียใจ
แม้ว่าจ้านเซินจะคิดว่าการแสดงของเธอนั้นจะดูเสแสร้งแกล้งทำ แต่ใจกลับเต้นตึกตัก
จ้านเซินก้มหน้าลง เปลี่ยนด้านของถ้วยและดื่มมันเข้าไป
แท้ที่จริงแล้ว เขาดื่มมันแล้วตั้งแต่ตอนที่อยู่ข้างนอก
รสชาติของร้านนี้พอใช้ได้ ไม่ได้อร่อยเป็นพิเศษ ไม่มีเชฟที่ได้รับเชิญเป็นพิเศษจากองค์กรให้มาทำอาหารให้
แต่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร ตอนที่ดื่มไปเมื่อครู่นี้ รสชาติมันกลับอร่อยมาก
หัวใจของจ้านเซินกลับไปกลับมาไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบ แน่นอนว่าเขาไม่มีทางแสดงความรู้สึกเหล่านี้ออกมาต่อหน้าฉินซี
เขากลัวว่าตัวเองจะทำให้ฉินซีตกใจ จนทำให้เธอ ตีตัวออกห่างจากเขาไป
จ้านเซินเพียงแค่จิบเล็กน้อย จากนั้นก็ดันถ้วยกลับคืน “รสชาติค่อนข้างดีเลยล่ะ เธอดื่มเยอะๆนะ ถ้าไม่พอล่ะก็ เดี๋ยวผมไปซื้อให้อีก ”
เขาหยิบกระดาษทิชชู่ขึ้นมาซับ แม้จะบอกว่าอร่อย แต่ใบหน้ากลับไม่มีรอยยิ้มเลยแม้แต่น้อย
ตอนที่ยังเป็นเด็ก หลายคนมักจะพูดว่า จ้านเซินเป็นโรคใบหน้าอัมพาตครึ่งซีก ซึ่งไม่สามารถร้องไห้หรือหัวเราะได้
เพราะเขามักจะแสดงออกเพียงสีหน้าเดียว นั้นก็คือสีหน้าที่เย็นชา ราวกับมีคนติดหนี้แล้วไม่คืนเงินอย่างไรอย่างนั้น
ในตอนแรก ฉินซีเองก็เหมือนกับเด็กคนอื่นๆที่รู้สึกว่าจ้านเซินนั้นน่ากลัว ดูๆแล้วไม่น่าจะเข้ากันได้ เพราะดังนั้นจึงไม่กล้าที่จะเล่นกับเขา
แต่หลังจากนั้น มีอยู่ครั้งหนึ่ง
ฉินซีได้รับบาดเจ็บจากระหว่างการฝึก
การฝึกในตอนนั้นโหดร้ายมาก
เมื่อฉินซีนึกย้อนไป ก็รู้สึกเสียวสันหลังวาบ องค์กรแบบไหนกันที่ไร้มนุษยธรรมได้ถึงขนาดนั้น