Flash Marriage เธอต้องแต่งงานกับฉัน - ตอนที่ 1369
โจวซิงหายใจเข้าลึกๆ และบังคับจิตใจไม่ให้ไปคิดเรื่องวุ่นวายสับสนเหล่านั้น แล้วหันไปมองทางเหยาจ้าว
ก้อนหมอกจางๆได้บดบังดวงตาของเหยาจ้าว เขาเดินมาตรงหน้าของโจวซิง แล้วยื่นมือออกมา : “ยินดีที่ได้ร่วมมือครับหมอโจว”
ท่าทางของเขาสงบนิ่งจนผู้อื่นไม่สามารถจับพิรุธใด ๆได้
ถ้าหากเวลานี้โจวซิงยังมีจิตใจคับแคบ ถือว่าเขานั้นอยู่ไม่เป็นแล้ว
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ โจวซิงจึงระงับความหงุดหงิดที่มีอยู่ในใจ แล้วทำการจับมือของเขา : “ยินดีที่ได้ร่วมมือครับหมอเหยา ต่อไปต้องคงขอคำแนะนำจากคุณหมอแล้ว”
เป็นการยากที่จะเห็นเขาแสดงความอ่อนน้อมถ่อมตน ทำให้จ้านเซินรู้สึกประหลาดใจ
แต่ท่าทางของเหยาจ้าวกลับยังคงสงบนิ่ง ริมฝีปากบางเบาได้ยกขึ้น : “หมอโจวถ่อมตัวเกินไปแล้ว ฝีมือทางการแพทย์ของคุณก็ไม่แตกต่างไปจากผม จะพูดถึงแนะนำได้อย่างไร”
ทั้งคู่ต่างฝ่ายต่างเกรงใจ แต่กลับเหมือนได้กลิ่นดินปืนที่มองไม่เห็นเล็ดลอดลอยออกมา
ฉินซีที่อยู่บนเตียง มองดูทั้งคู่ที่ต่อหน้ามะพลับลับหลังตะโก จึงได้ถอนหายใจอยู่ข้างในอย่างเงียบๆ
เธอจะต้องหาโอกาสบอกโจวซิง ว่าเหยาจ้าวเป็นคนของตัวเอง ให้เขาอย่าไปผิดใจกับเหยาจ้าว
“ครืดๆๆ…..”
ทันใดนั้นเสียงโทรศัพท์สั่นของจ้านเซินก็ดังขึ้นในเวลานี้
เขาหมุนตัวเดินออกไปจากห้องผู้ป่วย
แล้วมองดูสายเรียกเข้าที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอโทรศัพท์ จ้านเซินก็กดปุ่มรับสาย
“ฮาโหล”
“มีเรื่องอะไร”
น้ำเสียงของเขาเย็นชา ไม่มีอารมณ์แปรปรวนสักนิดเดียว
เสียงที่ใจเย็นของถังย่าดังมาจากโทรศัพท์ : “ลูกพี่ อีกสักครู่ฉันก็จะถึงแล้ว”
ก่อนหน้านั้นเธอไปทำภารกิจข้างนอก ตอนนี้เพิ่งจะกลับมา
จ้านเซินพยักหน้า : “ผมรู้แล้ว คุณไปเฝ้าทางฝั่งลู่เซิ่นเถอะ ดูว่าพวกเขามีความเคลื่อนไหวอย่างไร”
จากการคาดเดาของจ้านเซิน เมื่อฉินซีถูกเขาพามา ลู่เซิ่นจะต้องลงมืออย่างไม่นิ่งดูดาย
เขาจะต้องรู้ความเคลื่อนไหวของลู่เซิ่นก่อน ว่าจะเป็นไปทิศทางไหน จะได้ทำการเตรียมพร้อม
“ค่ะ”
ถังย่าพยักหน้าด้วยความเคารพ
“ยังมีเรื่องอะไรอีกไหม”
จ้านเซินเห็นเธออ้อมแอ้ม อยากพูดไม่อยากพูด เขาถึงได้ถามขึ้น
“ไม่มีค่ะ ฉินซีตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง ยังรุนแรงอยู่หรือเปล่า”
ถังย่าก็แค่ต้องการอยากพูดกับเขา ดังนั้นจึงดึงเรื่องของฉินซีมาพูด
เมื่อพูดถึงฉินซี จ้านเซินก็ขมวดคิ้วขึ้น : “เป็นไปตามที่คุณพูดก่อนหน้านี้ ฉินซีอาการดีขึ้นจริงๆหลังจากที่ออกไปจากองค์กร แต่ว่าตอนนี้อาการกำเริบอีกแล้ว”
เขาพูดเรียบๆพร้อมกับความกังวลที่ผสมอยู่ในน้ำเสียงของเขา
ถังย่าติดตามเขามาเป็นเวลานาน ย่อมฟังออกในน้ำเสียงที่ผิดปกติของเขา
ในใจเธอเกิดความรู้สึกแปลกๆที่อธิบายไม่ถูก อัดอั้นอยู่ข้างใจ ทำให้เธอรู้สึกอึดอัดจนไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี
ถังย่าถอนหายใจเข้าลึกๆ บังคับให้ตัวเองผ่อนคลายลง
เธอพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล : “ฉินซีเข้มแข็งขนาดนั้น ฉันเชื่อว่าเธอจะต้องไม่เป็นอะไร คุณอย่าได้เป็นกังวลเลยนะ ดังนั้นตอนนี้คุณอยากจะพาเธอกลับมาที่องค์กรใช่ไหม”
ถังย่าพูดวกกลับมาถึงเรื่องที่ตัวเองเป็นกังวลที่สุด เธออยากรู้ว่าจ้านเซินจะสามารถทำเพื่อฉินซีได้ในระดับไหน
จ้านเซินไม่ได้ปิดบัง : “กลับ แต่ว่าไม่ใช่ตอนนี้”
คนที่เขาไว้ใจที่สุดก็คือถังย่า
ถังย่าไม่ต่างไปจากฉินซี หรืออาจจะเล็กกว่าด้วยซ้ำตอนที่ถูกพาเข้ามาในองค์กร
ฉินซีมีพ่อแม่ แต่พ่อแม่นั้นใจจืดใจดำ
ส่วนถังย่าเธอนั้นถูกทอดทิ้ง และถูกสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้ารับเลี้ยงไว้ในตอนนั้น
เพียงแต่ถังย่าในตอนนั้นตัวผอมบอบบาง นิสัยขี้อาย ไม่ชอบเข้ากลุ่ม ไม่กล้าคุยกับเพื่อนๆคนอื่นๆ ดังนั้นถังย่าจึงมักจะถูกกีดกัน
อีกทั้ง ครูใหญ่ในสถานที่รับเลี้ยงเด็กกำพร้านั้นเป็นเหมือนสัตว์ร้าย
เขาเห็นถังย่าหน้าตาน่ารักสะสวย อยากจะทำมิดีมิร้ายต่อเธอ ถังย่าแม้จะเป็นเพียงเด็กน้อย แต่ก็รู้ว่าสิ่งใดที่ไม่ควรทำ เธอรู้สึกอึดอัด เธอก็เลยหนีออกมา
หลังจากที่ถังย่านี้ออกมาแล้ว ไม่มีข้าวกินไม่มีน้ำดื่ม นอนอาศัยอยู่ตามใต้สะพาน
ต่อมา เธอหิวจัด จึงเดินร่อนเร่อยู่บนถนน ด้วยเนื้อตัวมอมแมม
มีคนใจดี อยากจะพาเธอไปส่งที่สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้า แต่ว่าถังย่าในตอนนั้นมีความรู้สึกไม่ดีต่อสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้า เมื่อได้ยินว่าจะต้องกลับไปที่นั่น เธอจึงได้หนีไปอีกครั้ง
ต่อมา พ่อของจ้านเซิน ก็คือผู้นำคนก่อนขององค์กร
ถูกชะตากับถังย่า จึงได้พาเธอกลับไปที่องค์ก่อน
ถึงแม้ว่าถังย่าจะยังเป็นเด็ก แต่เธอกลับมีวุฒิภาวะความเป็นผู้ใหญ่และสุขุมกว่าเด็กรุ่นราวคราวเดียวกัน
ความสามารถทางความคิดของเธอ มีความก้าวหน้ามากกว่าคนทั่วไปนับตั้งแต่ตอนนั้น
ด้วยความที่พ่อของจ้านเซินถูกชะตากับถังย่า จึงพาเธอกลับมาที่องค์กร หลังจากนั้นก็ดำเนินการให้เธอได้รับการฝึกซ้อมอย่างเข้มงวด หวังว่าสักวันหนึ่ง เธอนั้นจะสามารถรับผิดชอบงานได้ และคอยช่วยเหลือ เป็นแขนเป็นขาให้กับจ้านเซินได้เมื่อเติบโตขึ้น
ถังย่าก็ไม่ได้ทำให้พ่อของจ้านเซินผิดหวังจริงๆ ในบรรดาเด็กกลุ่มเดียวกันที่เข้ามาในองค์กร ไม่ว่าจะด้านของสมรรถภาพทางกาย หรือความสามารถในการเรียนรู้ ถังย่ามักจะเป็นคนที่โดดเด่นที่สุด
เธอเป็นผู้นำมาตลอด ภายใต้การฝึกฝนขององค์กร กิเลสตัณหาของเธอก็ค่อยๆถูกกำจัดลง
เมื่อถังย่าอายุได้สิบแปดปี ก็ประสบผลสำเร็จในการยืนเคียงข้างจ้านเซิน ช่วยเขาทำภารกิจที่ยุ่งยากต่างๆนานาจนสำเร็จ การดำเนินการในแต่ละครั้งก็ทำออกมาได้ยอดเยี่ยม
เธอคือผู้มีอำนาจอันดับสองที่อายุน้อยที่สุดในองค์กร ไม่มีใครกล้าดูถูกเธอ ชักสีหน้าใส่เธอเพียงเพราะคิดว่าเธอเป็นผู้หญิง
จ้านเซินก็ให้การยอมรับในความสามารถของเธอเช่นกัน ตลอดเวลาที่ผ่านมา เมื่อมีเรื่องยากให้ต้องจัดการ คนแรกที่นึกขึ้นได้ก็คือถังย่า เขาเชื่อมั่นว่าจะได้ข้อสรุปที่สวยงาม
ถังย่าเป็นมีดที่ดีที่สุดของจ้านเซิน เป็นผลผลิตที่ดีที่สุดขององค์กรจากทดลอง
ชีวิตของเธอนั้นได้รับการช่วยเหลือจากพ่อของจ้านเซิน ทั้งชีวิตของเธอ อยู่ก็เป็นคนขององค์กร ตายก็เป็นผีขององค์กร
เดิมทีถังย่าคิดว่า ทั้งชีวิตของตัวเองนั้นจะไม่สามารถรู้สึกหวั่นไหวได้อีก
เธอรู้สึกว่าตัวเองนั้นเหมือนกับหุ่นยนต์ที่ไม่มีความรู้สึก แต่หลังจากที่เธอออกไปพบเห็นความรู้สึกระหว่างลู่เซิ่นกับฉินซี จิตใจเธอก็ค่อยๆเปลี่ยนไป
ถังย่าเข้าใจมาตลอดว่าความรู้สึกที่ตัวเองมีต่อจ้านเซินนั้น ก็แค่ความรู้สึกของผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาที่มีต่อผู้บังคับบัญชาเท่านั้น ตอนนี้เพิ่งจะตระหนักได้ว่า แท้ที่จริงแล้วมันไม่ใช่เป็นเพียงแบบนั้น
แต่เธอรู้ว่าสิ่งที่จ้านเซินเกลียดที่สุดก็คือคนในองค์กรจมปลักอยู่กับความรักของคนหนุ่มสาว เขาคิดว่าคนทุกคนไม่ควรมีกิเลสตัณหา
เพราะฉะนั้น เมื่อถังย่าตระหนักได้ถึงความรู้สึกที่มีต่อจ้านเซิน วินาทีแรกพี่คิดได้ ไม่ใช่การไปสารภาพความรักของตัวเองที่มีต่อจ้านเซิน แต่เธอเลือกที่จะเก็บซ่อนความรู้สึกนี้ให้อยู่ในก้นบึ้งสุดลึกของหัวใจ
เธอกังวลแม้กระทั่งว่า หากหลังจากที่จ้านเซินรู้ความรู้สึกของตัวเองที่มีต่อเขาแล้ว เขาจะโกรธจนไม่สนใจตัวเองอีก แล้วก็ไล่เธอออกไป
ถังย่าไม่ต้องการที่จะแยกจากจ้านเซิน เธอต้องการที่จะอยู่ข้างๆจ้านเซิน แม้จะเป็นแค่เพียงมีดเล่มหนึ่งของเขาก็ตาม
ความรักของเธอแม้จะดูต่ำต้อยในสายตาคนอื่น แต่ถังย่ากลับรู้สึกว่ามันคุ้มค่ากับการทำแบบนี้เพื่อจ้านเซิน ในใจเธอนั้นเขาคือสิ่งที่ดีที่สุด
ด้วยอานุภาพความรักของถังย่า เธอยอมบุกน้ำลุยไฟเพื่อจ้านเซิน
ไม่ใช่ว่าเธอจะตีรันฟันแทงไม่เข้า บางครั้งเธอก็เจอภารกิจที่ยากจะทำสำเร็จได้เช่นกัน