Flash Marriage เธอต้องแต่งงานกับฉัน - ตอนที่ 1385
บทที่ 1385 ไม่เจอกันนาน
โจวเอ้อมองเขาแปลกใจ ถามอย่างไม่แน่ใจ
“แน่ใจ”
ลู่เซิ่นเงยหน้า มองเขาตรงๆ
สายตาของเขาสงบนิ่งขนาดนั้น ทำให้จิตใจของโจวเอ้อค่อยๆ สงบลง
โจวเอ้อเห็นเขาไม่ตื่นตูม สูดลมหายใจลึก ตัดสินใจพนันกับลู่เซิ่น
เขาก็เก็บอาวุธ พึมพำ “ได้ งั้นเปิดประตูนะ”
ข้างนอก ถังย่ารอจนหงุดหงิดแล้ว
ขณะที่ถังย่าเตรียมให้ ซิวหน่ายซิง ที่มาด้วยกันถีบประตู ก็ได้ยินเสียง “แกร๊ก!”
โจวเอ้อเปิดประตูคฤหาสน์ มองเห็นใบหน้าสวยสะดุดตาของถังย่า
ถังย่ามองเห็นเขา สายตามีประกายนิดหนึ่ง
“สวัสดีค่ะ”
ถังย่าทำมือ ทักทายเขาอย่างกันเอง
ด้านหลัง ซิวหน่ายซิง ก็มองเขายิ้มแย้ม ในใจรู้สึกหนาว
ต้องรู้ว่า ถังย่าปกติไม่ยิ้มดีใจขนาดนั้น ทุกครั้งที่เธอแสดงออกอย่างนี้ มักจะมีคนโชคร้าย
โจวเอ้อมองเธออย่างสงสัย แต่ไม่พูดอะไร
“ฉันมาหาลู่เซิ่นค่ะ เขาอยู่ไหมคะ”
ถังย่าเห็นเขาไม่สนใจตัวเอง ก็ไม่โกรธ
เธอมองเข้าไปข้างใน การแสดงออกสบายๆ ราวกับมาหาเพื่อนที่บ้าน
ลู่เซิ่นได้ยินเสียงเขา ริมฝีปากบางขยับ “โจวเอ้อ ให้เธอเข้ามา”
เขาวางถ้วยชาในมือลง มองไปทางประตู
ข้างนอก ถังย่าได้ยินเสียงของเขา มุมปากเผยอนิดหนึ่ง “รบกวนหลบหน่อยค่ะ ลู่เซิ่นให้ฉันเข้าไปค่ะ”
เธอพูดพลาง เดินเข้าไปใกล้โจวเอ้อ
รอยยิ้มของถังย่ามีเสน่ห์น่าหลงใหล แต่โจวเอ้อกลับรู้สึกว่าอันตรายกำลังคืบคลานเข้ามา
โจวเอ้อไม่รู้ว่าเป็นภาพลวงตาหรือเปล่า แต่เขารู้ดี เธอติดตามจ้านเซินได้นานขนาดนี้ กลายเป็นมือแขนของเขา ไม่มีทางสมองทึ่มแน่
คนในองค์กรส่วนใหญ่เป็นผู้ชาย เธอสามารถโดดเด่นท่ามกลางผู้ชายที่แข็งแกร่งขนาดนั้น พิสูจน์ได้ว่าถังย่าเก่งกาจแค่ไหน
คิดถึงตรงนี้ โจวเอ้อระมัดระวังถังย่ามากขึ้น
มองเห็นเขาเกร็ง ถังย่ายิ้ม “ไม่ต้องกังวลค่ะ วันนี้ฉันไม่ได้มาหาเรื่อง แค่มีเรื่องอยากจะคุยกับลูกพี่พวกคุณหน่อย”
ถังย่าเดินเข้ามา ยืนประจันหน้าโจวเอ้อ ตบไหล่เขาเบาๆ พูดปลอบใจเขา
ทว่า ท่าทางของเธอ ไม่ทำให้โจวเอ้อหยุดสงสัย
โจวเอ้อถอยหลังครึ่งก้าว หลบเธอ “คุณถัง เชิญครับ”
เขาพูดเรียบๆ สายที่มองถังย่าเต็มไปด้วยการป้องกันตัว
“อ้อ ค่ะ”
มือถังย่าชะงักกลางอากาศอย่างเก้อเขิน รอยยิ้มที่มุมปากเกร็งนิดหนึ่ง
แต่ครู่เดียว ถังย่าก็ปรับอารมณ์ กลับมาปกติ เดินไปทางห้องรับแขก
ถังย่าเมื่อเดินเข้าไป ก็เห็นลู่เซิ่นนั่งบนโซฟา กำลังมองเธอ
สายตาคมกริบเช่นนี้ ทำให้เธอนึกถึงจ้านเซิน
ในสายตาของถังย่า ลู่เซิ่นคล้ายกับจ้านเซินมาก
แต่อุปนิสัยของจ้านเซินเลือดเย็นกว่า ขณะที่ลู่เซิ่นมีชีวิตชีวามากกว่า
ความแตกต่างนี้ ทั้งหมดเป็นเพราะสภาพแวดล้อมที่เติบโตมาต่างกัน การศึกษาก็ต่างกัน จึงทำให้นิสัยของทั้งสองคนต่างกันคนละขั้ว
ทัศนคติและวิธีการจัดการเรื่องต่างๆ จ้านเซินยิ่งแตกต่างจากลู่เซิ่นมาก
“ประธานลู่ ไม่เจอกันนานนะคะ”
ถังย่าฉีกยิ้มตามมาตรฐาน มองแล้วไม่มีอันตรายอะไร
แต่ลู่เซิ่นเคยเรียนรู้วิธีการของเธอมาแล้ว ยังคงระมัดระวังตัวมาก
ลู่เซิ่นมองเธอสายตาเย็นชา “คุณถัง เพิ่งปฏิบัติภารกิจเสร็จ ก็รอไม่ไหวรีบมาหาผมถึงบ้าน น่าจะรีบด่วนจริงๆ”
เขาพูดจาประชดประชัน สีหน้าบอกบุญไม่รับกับถังย่า
เมื่อลู่เซิ่นพูดให้เธอลำบากใจ ถังย่าก็ไม่โกรธ
ถังย่ายิ้มบางๆ ที่มุมปาก สายตาที่มองลู่เซิ่นเป็นประกายเหมือนแสงดาว “ประธานลู่ ฉันไม่ได้เจอคุณนาน ก็เลยคิดถึงคุณไม่ได้หรือคะ”
หลังเรียนรู้จากข้างนอกเมื่อครั้งก่อน ตอนนี้ถังย่าเปลี่ยนไปมาก
สิ่งที่องค์กรสอนมีประโยชน์มากก็จริง แต่เมื่อออกไปปฏิบัติภารกิจข้างนอก ย่อมเจอสถานการณ์ต่างๆ มากมาย ไม่ใช่ทุกอย่างจะเหมือนในชั้นเรียน
คนที่ปฏิบัติภารกิจ ต้องเรียนรู้ที่จะปรับตัวให้กลมกลืน
คนที่ไม่อาจปรับตัวเข้ากับสังคมได้ ในที่สุดก็จะถูกคัดออกไป นี่คือกฎการเอาตัวรอดของสิ่งมีชีวิต
เมื่อก่อนถังย่าไม่เข้าใจจุดนี้ รู้แต่เพียงใช้กำลังด้านเดียวเท่านั้น
เธอรู้สึกมาตลอด เบื้องหน้าอาวุธที่มีแสนยานุภาพ อย่างอื่นเป็นแค่ศาสตร์เล็กๆ
ต่อมา ขณะถังย่าทำงานหนึ่ง เสียเปรียบหนักมาก เกือบจะไม่มีชีวิตรอดกลับมา ถึงได้เข้าใจ สายตาของตัวเองที่มองโลกนั้นแท้จริงแล้วตื้นเขินขนาดไหน
ดังนั้น ถังย่าจึงเปลี่ยนแปลงตัวเอง
การเปลี่ยนแปลงอย่างนี้ ทำให้ลู่เซิ่นรู้สึกประหลาดใจมาก
บอกว่าไม่เจอกันนาน ที่จริงผ่านไปแค่ไม่ถึงหนึ่งเดือนเท่านั้น
ถังย่าเปลี่ยนไปราวกับคนละคน
ถังย่าเป็นแบบนี้ไม่รู้ว่าเป็นมาอย่างไร ลู่เซิ่นมองเธอ ความระมัดระวังในสายตามากขึ้น “คุณจะทำอะไรกันแน่ ที่นี่ไม่ใช่ที่คุณนึกจะมาก็มา นึกจะไปก็ไปนะ”
ในตอนแรก ถังย่าหาข้ออ้างเข้าใกล้ฉินซี คอยตามเธอเป็นเงาตลอด
แกล้งทำเป็นช่วยฉินซี ที่จริงคอยจับตาดูฉินซี และยังเอาความเคลื่อนไหวทั้งหมดของฉินซี ไปรายงานให้จ้านเซินรับรู้โดยละเอียดไม่มีตกหล่น
ฉินซีดูเหมือนอยู่ข้างนอกเป็นอิสระหนึ่งปี ที่จริงถูกองค์กรและจ้านเซินควบคุมอยู่ตลอดเวลา
เมื่อคิดถึงตรงนี้ ลู่เซิ่นก็รู้สึกเสียใจมาก
เพราะจ้านเซินเป็นสาเหตุ ลู่เซิ่นยิ่งโกรธถังย่ามากขึ้น
ถังย่ารู้สึกได้ชัดถึงอารมณ์ของเขาที่เปลี่ยนไป รอยยิ้มยังไม่หายไป “ในเมื่อประธานลู่รีบร้อนอยากจะรู้ งั้นฉันจะบอกตรงๆ นะคะ”
เธอไม่เพียงแต่เชิญตัวเองเข้ามา ยังนั่งลงบนโซฟาด้วย
ซิวหน่ายซิง ยืนอยู่ข้างหลังเธออกสั่นขวัญแขวน อดที่จะถอนหายใจอยู่เงียบๆ ไม่ได้ “สมแล้วที่เป็นลูกพี่ ในด้านความกล้าหาญ บอกว่าถังย่าเป็นที่สอง ก็ไม่มีใครกล้าเป็นที่หนึ่งแล้ว”
ถังย่านั่งสบายๆ บนโซฟา ท่าทางนั่น อย่างกับอยู่ที่บ้านตัวเอง ส่วนลู่เซิ่นต่างหากที่เป็นแขกรับเชิญ
“ฉันหวังว่าจากนี้ไปคุณจะตัดสัมพันธ์กับฉินซี พวกคุณสองคนไม่มีวันเป็นไปได้”
ถังย่าพูดตรงไปตรงมา สายตามองลู่เซิ่นเป็นประกาย
เธอพูดเช่นนี้เพราะหวังดีกับลู่เซิ่นและฉินซี
เพราะมีลู่เซิ่นอยู่ ฉินซีถึงได้อยากจะออกจากองค์กรใจจะขาด
เมื่อก่อนฉินซีไม่ใช่อย่างนี้ เธออยู่ในองค์กร แม้อารมณ์ความปรารถนาเรื่องพวกนี้จะไม่ถูกควบคุม แต่ลูกน้องในองค์กรก็เชื่อฟังเธอทั้งนั้น
ถังย่าถึงกับรู้สึกว่า เป็นเพราะลู่เซิ่นชักนำ ถึงได้ทำให้ฉินซีสับสนทีละนิด เกิดความคิดต่อต้าน ไม่อยากอยู่กับองค์กรอีก
เสียงเย็นเยียบดังขึ้นหลังเธอพูดจบ
“ไม่มีทาง!”