Flash Marriage เธอต้องแต่งงานกับฉัน - ตอนที่ 1434
ความต้องการของลู่เซิ่น ทำให้ฉินซีสับสน
หัวใจเต้นอย่างรุนแรง ฉินซีอยู่ในความตื่นตระหนก
ฉินซีเองก็อยากเจอลู่เซิ่นมาก แต่เธอไม่กล้าพูดเรื่องนี้มาโดยตลอด
ฉินซีกังวลว่าหลังจากตนพูดไปแล้ว ความคิดถึงจะท่วมล้นจนเป็นหายนะ
ความคิดนี้ไม่อาจหยุดยั้งได้อีกต่อไป
เธอพยายามข่มอารมณ์ของตัวเอง บังคับให้ตัวเองใจเย็นลง
ถึงกระนั้น ตอนนี้ลู่เซิ่นกลับกลายเป็นคนที่ไม่ใจเย็น
เหยาจ้าวฟังความสั่นเคลือในน้ำเสียงของเธอออก มองไปท่าทีของเธอที่ปรารถนาจะได้เจอลู่เซิ่น แต่ก็ไม่กล้า ก็ปวดใจมาก “ลูเซิ่นบอกว่า เขาจะยืนอยู่จุดที่ไม่มีใครพบเห็น มองเธอซักแวบนึง ก็จะไป”
ทีแรกเหยาจ้าวก็ไม่อาจเข้าใจได้ ว่าทำไมฉินซีต้องจ่ายเพื่อความรักมากมายขนาดนั้น
เหยาจ้าวอยากที่จะออกจากองค์กร เพียงแค่เพราะต้องการอิสระ
แม้ว่าเขาจะมีอายุมากกว่าฉินซี แต่จนถึงทุกวันนี้ก็ยังไม่เคยมีความรัก
เหยาจ้าวไม่รู้ว่าความรักมีรสชาติแบบไหน ยิ่งไม่รู้เลยว่าเมื่อคนสองคนมีความห่วงใยซึ่งกันและกันแล้ว จะสามารถทำเรื่องที่สะเทือนฟ้าดินขนาดไหนได้
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ประสบกับความยากลำบากของความรักและความน่าประทับใจของความรัก
ถ้าเป็นเขา หลังจากผ่านเรื่องยากลำบากมามากมายขนาดนั้น ก็อาจจะยอมแพ้ไปนานแล้ว
เหยาจ้าวรู้สึกว่า ใช้ชีวิตคนเดียว ก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไร
ยี่สิบกว่าปีก่อนหน้านี้ พวกเขาก็มีชีวิตที่สวยงามไม่ใช่หรอ?
ทำไมต้องให้คนที่จู่ๆก็โผล่มา มาเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตเดิมของตน
แต่ว่า ในช่วงเวลาที่ผ่านมานี้ เหยาจ้าวเห็นฉินซีกับลู่เซิ่นพยายามอย่างไม่หยุดหย่อน เพื่อที่จะได้อยู่ด้วยกัน ในใจก็สับสน
เขาก็เป็นเหมือนกับฉินซี ไม่มีครอบครัวแล้ว
บนโลกใบนี้ ไม่มีใครจะมาสนใจเขาอีกแล้ว
ถ้ามีวันหนึ่ง เขาเสียชีวิตกะทันหัน ก็อาจจะไม่มีใครรับรู้เลย
แล้วยังไม่มีใครถือช่อดอกลิลลี่ไปกราบไหว้เขาที่สุสาน ในช่วงเทศกาลเช็งเม้ง
แต่สำหรับฉินซีนั้นไม่เหมือนกัน เธอมีคนรักใคร่ มีคนห่วงใย มีคนทะนุถนอม
ต่อให้วันไหนเกิดเรื่องขึ้นกับฉินซี จากโลกนี้ไปแล้ว แต่เธอก็จะยังมีชีวิตอยู่ในหัวใจของลู่เซิ่นไปตลอด
จนถึงตอนนี้ เหยาจ้าวถึงพบว่า ตนเองนั้นเดียวดายมาก
ฉินซีได้ยินเขาพูดแบบนี้ ก็ขมวดคิ้ว
เธอพิจารณาเล็กน้อย เอ่ยถามอย่างไม่แน่ใจ “นายคิดว่าลู่เซิ่นทำแบบนี้ได้ไหม?”
พูดตามตรง ฉินซีอยากเจอลู่เซิ่นมากจริงๆ แต่เธอกลัวว่าเพราะผลกระทบจากอารมณ์ของตนเอง หัวร้อน แล้วตัดสินใจผิดพลาดไป
ดังนั้นฉินซีไม่กล้าตอบในทันที เธออยากถามความเห็นของเหยาจ้าว
คนนอกมักจะมองปัญหาได้ชัดเจนกว่า ตอนนี้อยู่ในองค์กร ฉินซีกล้าเชื่อใจเพียงแค่เหยาจ้าว
เหยาจ้าวมองความกังวลขอองเธอออก ถอนหายใจยาว “เธออยากเจอเขามากใช่ไหม?”
เขาถามออกมาตรงๆ แววตาเผยแสงที่ลึกซึ้ง
“อืม”
ฉินซีพยักหน้า ฟันกัดริมฝีปากล่างแน่น
เธออยากเจอลู่เซิ่นจริงๆ ทั้งๆที่แยกจากกันมาสี่สิบห้าวัน ฉินซีกลับรู้สึกเหมือนเป็นเวลาหลายปีแล้ว
ช่วงนี้เวลาที่ฉินซีนอน มักจะฝันถึงลู่เซิ่นในฝัน ฝันถึงภาพที่เธอออกจากองค์กร
เหยาจ้าวก้าวไปข้างหน้าสองก้าว มือใหญ่เรียวยาววางลงบนไหล่ที่บอบบางของเธอ
เดิมทีเขาคิดที่จะพูดเกลี้ยกล่อมฉินซี ให้เธอใจเย็นลงหน่อย ข่มอารมณ์ของตัวเองไว้ อย่าหุนหันพลันแล่น หลีกเลี่ยงการละทิ้งความพยายามที่ผ่านมา
ทนมาได้นานขนาดนี้แล้ว ทนต่ออีกหน่อยจะเป็นไรไป
แต่ในตอนที่มือของเหยาจ้าวสัมผัสกับร่างที่ผอมบางของฉินซี ความคิดในใจก็เปลี่ยนไปทันที
แม้ว่าฉินซีจะมีความสามารถมากกว่าผู้หญิงทั่วไป แต่เธอก็เป็นเพียงเด็กสาวที่พึ่งจะอายุยี่สิบสี่ปี
เด็กสาวที่มีอายุเท่าเธอหลายคน ล้วนกำลังเรียนอยู่มหาวิทยาลัย
แต่ฉินซีกลับต้องแบกรับมากมาย กับสิ่งที่คนอายุเท่าเธอไม่ควรต้องมาแบกรับ
ในฐานะลูกผู้พี่ของฉินซี เหยาจ้าวรู้สึกรับไม่ได้
คนทั่วไปมีความรักกันอย่างง่ายดาย พอมาถึงฉินซี แม้แต่ความปรารถนาเล็กๆที่เรียบง่ายที่สุดก็กลายเป็นซับซ้อนแบบนี้
เหยาจ้าวไม่อยากกดดันเธออีก ดังนั้นจึงตัดสินใจว่าในครั้งนี้ จะทำตามความปรารถนาของเธอ “ลองดูสิ ถ้าเกิดทำได้ ให้พวกเธอสองคนได้เจอกันจากที่ไกลๆ ขอแค่ไม่ถูกจ้านเซินรู้เข้า ฉันคิดว่าก็ทำได้นะ”
เขาไม่อยากเห็นท่าทางที่สับสนเพราะความรู้สึกของฉินซี ตัดสินใจลองดู
ฉินซีเดิมทีไม่ได้คาดหวังมากนัก
เหยาจ้าวในฐานะแพทย์ ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็ต้องมีสติสัมปชัญญะ
ฉินซีคิดอย่างแน่นอนว่า ในตอนที่เธอถามอย่างนั้นออกไป เหยาจ้าวก็จะคัดค้านเธอในทันที แต่กลับนึกไม่ถึงว่าเหยาจ้าวจะยอมรับ
ดวงตาสีอำพันเผยความประหลาดใจ ถ้ามองอย่างละเอียด ก็จะสามารถมองเห็นความดีใจและความคาดหวังด้วย
“จริงหรอ?”
ฉินซีเอ่ยถามด้วยเสียงสั่นเครือ เธอคว้าข้อมือของเหยาจ้าวไว้
ฉินซีในตอนนี้ ราวกับเด็กสาวที่ไม่มีกระดูกสันหลัง
มองดูท่าทางที่ไม่อยากจะเชื่อของฉินซี เหยาจ้าวก็ยิ้มแล้วพยักหน้า “จริงสิ”
เหยาจ้าวดึงฉินซีเข้ามาในอ้อมแขน ลูบหลังของเธออย่างอ่อนโยน พูดเสียงเบา “ฉินซี เธอก้าวไปข้างหน้าอย่างกล้าหาญ อย่าไปกลัว ฉันจะปกป้องเธอเอง”
แม้ว่าเขากับฉินซีพึ่งจะรู้จักกันตอนมาอยู่ในองค์กร แต่สายสัมพันธ์ทางสายเลือด ได้ฝังลึกลงไปในกระดูกแล้ว ไม่ว่าคุณจะเป็นยังไง ก็ไม่อาจกำจัดมันได้
หลังจากที่เหยาจ้าวกับฉินซีได้พบกันแล้ว ปัจจัยที่ซ่อนอยู่ในกระดูก ก็เริ่มขยายตัวอย่างไม่สิ้นสุด
ทุกครั้งที่เห็นฉินซีเป็นทุกข์ เหยาจ้าวก็จะรู้สึกเจ็บปวด
ปีนั้นฉินซีตกไปสู่จุดที่น่าสังเวช เหยาจ้าวไม่รู้เรื่อง ไม่อาจยื่นมือไปช่วยเหลือ
ตอนนี้เขาอยู่ข้างกายฉินซีแล้ว ฉินซีตกที่นั่งลำบาก เป็นธรรมดาที่เขาจะต้องกำจัดอุปสรรคที่ขวางหน้าอย่างสุดกำลัง ให้ฉินซีสามารถเดินได้อย่างราบรื่น
ฉินซีถูกเขากอดแน่นไว้ในอ้อมแขน ทันใดนั้นก็รู้สึกว่าทั้งตัวถูกห่อหุ้มไปด้วยความอบอุ่น
เธออดทนต่อความกลัวอยู่ในองค์กรมาหลายวัน ทุกวันแสร้งทำเป็นเข้มแข็งการเสแสร้งของเธอเกือบจะหลอกตัวเองได้แล้ว แต่กลับหลอกสายตาของเหยาจ้าวไม่ได้
ในเวลานี้ จู่ๆฉินซีก็รู้สึก ว่าโลกสว่างสดใสขึ้นมา
สัมผัสได้ถึงกลิ่นหอมจางๆของไม้จันทร์บนตัวเหยาจ้าว ฉินซีก็หลับตาลงช้าๆ
เบ้าตาเธอแดงเล็กน้อย น้ำตาเอ่ออยู่ในดวงตา
ฉินซีมีความสุขมากจริงๆ ที่เธอมีลูกพี่ลูกน้องที่เข้าใจคนอื่นอย่างเหยาจ้าว
เธอกลั้นน้ำตาไว้ไม่ให้ไหล พูดอย่างซาบซึ้งใจ “พี่ ขอบคุณนะ พี่ดีกับฉันมากจริงๆ”
ฉินซีโชคดีมาก ที่ข้างกายเธอมีคนกลุ่มนี้ เพื่อความสุขของเธอแล้ว ยอมทุ่มเทไม่หยุด พยายามไม่หยุด
เธอเองก็จะยืนหยัดต่อไป ไม่ให้คนเหล่านี้ที่ดีต่อเธอต้องผิดหวัง
หลังจากฉินซีออกไปได้แล้ว เธอจะต้องตอบแทนพวกเขาอย่างแน่นอน เรื่องที่จะทำอย่างแรก ก็คือช่วยลูกผู้พี่ของเธอที่ยังติดอยู่ในองค์กรไม่สามารถหลบหนีได้ออกมา
เธอจะเจรจากับจ้านเซิน จนกว่าเขาจะตกลง