Flash Marriage เธอต้องแต่งงานกับฉัน - ตอนที่ 1528
แค่พูดออกไป เหยาจ้าวก็รู้แล้วว่าเธออยากพูดอะไร
เหยาจ้าวพยักหน้า: “จ้านเซินแปลกไปมากจริงๆ ผมอยากจะทำการตรวจเขาให้ครอบคลุม แต่ตอนนี้ในระยะนี้ เขาคงจะไม่เห็นด้วย”
ตอนนี้จ้านเซินไม่เชื่อใจเขา ความมุ่งมั่นของเขาแข็งแกร่ง ต่อให้เหยาจ้าวอยากจะบังคับให้เขาตรวจร่างกาย เขาก็คงปฏิเสธ ทำให้ดำเนินการตรวจต่อไปไม่ได้
พูดเรื่องนี้ ใบหน้าของถังย่ากับเหยาจ้าวก็ปรากฏความลำบากใจออกมาพร้อมกัน
พวกเขารู้นิสัยของจ้านเซินอย่างชัดเจน ถ้าเขาไม่อยากทำ ใครก็ฝืนใจเขาไม่ได้
ถังย่ากัดฟัน: “แต่จะปล่อยปละละเลยเขาต่อไปอย่างนี้ไม่ได้นะ!” เธอพูดขึ้นอย่างกระวนกระวาย บนใบหน้าสวยๆปรากฏความฉุนเฉียวออกมา
ถ้าวันไหนจ้านเซินเกิดเรื่องอะไรจริงๆ เธอควรจะทำยังไงดี?
ถังย่าไม่หวังให้ไปถึงขั้นนั้นจริงๆ ดังนั้นตอนนี้เธอจำเป็นต้องยืนขึ้นมาขัดขวาง
เห็นเธอค่อยๆลนลานขึ้นมา เหยาจ้าวจึงพูดอย่างจำใจ: “ถังย่า คุณอย่าเพิ่งรีบร้อน ใจเย็นหน่อย พวกเรามาหาวิธีด้วยกัน”
พูดจริงๆเขาก็หวังว่าเรื่องนี้จะมีบทสรุปที่ดี อย่างนี้ไม่เพียงแต่ฉินซีจะสามารถหนีออกไปจากองค์กรได้ เขาเองก็บรรลุความต้องการของตนเองอีกด้วย
ท่ามกลางเสียงปลอบโยนของเขาถังย่าค่อยๆใจเย็นลง เธอสูดหายใจเข้าลึกๆ: “คุณคิดว่าถ้าตามฉินซีกลับมา จ้านเซินจะดีขึ้นไหม?”
เธอลองถามดู ในหัวปรากฏวิธีการหนึ่งออกมา
ถังย่าคิดว่าถ้าตามฉินซีกลับมาได้จริงๆ แล้วให้เธอพูดโน้มน้าวจ้านเซิน บางทีจ้านเซินอาจจะยอมฟังก็ได้
แต่ว่า เธอไม่อยากใช้วิธีนี้สักเท่าไหร่
หลังจากเหยาจ้าวได้ฟังเธอพูดอย่างนี้ ก็ขมวดคิ้ว: “ถังย่า คุณพูดอย่างนี้หมายความว่าไง?”
ใบหน้าของเขาอึมครึมขึ้นมาทันที ในน้ำเสียงมีความไม่พอใจ
เหยาจ้าวรู้สึกว่าถังย่าสติเลอะเลือนไปแล้ว ไม่ง่ายเลยกว่าที่ฉินซีจะหนีไปได้ จะเป็นไปได้ยังไงที่จะยอมกลับมา
นอกจากว่าถังย่าจะส่งคนไปจับฉินซีกลับมาเอง แต่อย่างนั้นมีแต่จะทำให้ฉินซีไม่พอใจ
อยากให้ฉินซีนั่งคุยกับจ้านเซินอย่างใจเย็น เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว
แม้ฉินซีจะยินยอม แต่จ้านเซินก็คงไม่เห็นด้วยอย่างแน่นอน
ถังย่ารู้สึกได้ว่าตนเองพูดผิดไปแล้ว จึงเม้มปาก: “ช่างเถอะ ฉันจะหาวิธีอื่นดูอีกที”
……
เรื่องภายในองค์กร ฉินซีกับลู่เซิ่นไม่รู้เรื่องด้วยอยู่แล้ว
กี่วันนี้ทั้งสองคนตกหลุมรักชีวิตในชนบทไปแล้ว ทุกๆวันตามคุณปู่เช่ไปปลูกผักด้วยกัน ไปจับปลาที่แม่น้ำ พัฒนาคุณภาพชีวิต
พวกเขาได้สูดอากาศที่สดชื่น ใช้ชีวิตอย่างอิสระ ไม่ถูกบังคับ แล้วก็ไม่ต้องแยกจากกันอีก
จู่ๆฉินซีก็เข้าใจแล้ว ทำไมคุณปู่เช่ถึงชอบใช้ชีวิตตามลำพังบนภูเขา
ช่วงเวลาสบายๆอิสรเสรี มักจะสั้นเสมอเลย
ตอนบ่าย ฉินซีกับลู่เซิ่นกำลังจับปลาอยู่ที่แม่น้ำ
จู่ๆมือถือของลู่เซิ่นก็สั่นขึ้นมา
“ตื้ดตื้ดตื้ด……”
เพื่อหลีกเลี่ยงเสียงที่ดังจนเกินไป ลู่เซิ่นจึงตั้งใจปรับมือถือเป็นระบบสั่นโดยเฉพาะ
ทั้งสองคนสบตากัน ลู่เซิ่นจึงรับสาย
“ฮัลโหล ลู่เซิ่น ของที่พวกนายต้องการ ฉันเตรียมเอาไว้เรียบร้อยแล้ว”
เสียงที่เบิกบานของโจวเอ้อลอยเข้ามา เขาไม่เคยเนรคุณกับความคาดหวังของลู่เซิ่นเลย
ตอนที่ลู่เซิ่นรับโทรศัพท์ ก็รู้สึกได้อยู่แล้ว
ดังนั้นคำพูดที่โจวเอ้อพูดออกมานี้ จึงไม่ประหลาดใจเลยสักนิด
ลู่เซิ่นพยักหน้า: “อื้ม”
เขาวางอุปกรณ์จับปลาในมือลง เดินขึ้นฝั่ง
โจวเอ้อไม่ได้ยินความผิดปกติในน้ำเสียงของเขา: “งั้นตอนนี้ให้ฉันส่งของไปให้นายเลยไหม? พวกนายอยู่ที่ไหน?”
เขาพูดอย่างรอไม่ไหว หวังว่าจะได้เจอลู่เซิ่นเร็วๆ
แต่ทว่า ลู่เซิ่นกลับยังไม่ให้เขามา: “นายเป็นเป้าหมายที่ชัดเจนเกินไป เปลี่ยนคนดีกว่า”
เขาพูดเรียบๆ มองทิวทัศน์รอบด้าน จู่ๆก็รู้สึกอาลัยอาวรณ์
เช่นเดียวกัน ฉินซีก็ไม่อยากจากที่นี่ไป
โจวเอ้อขมวดคิ้ว บนใบหน้าปรากฏความผิดหวังออกมา
เขาก็รู้ ถ้าเขาไปเอง คงเห็นได้ชัดเกินไปจริงๆ
ตามที่โจวเอ้อสืบมาก็รู้ว่า ช่วงนี้อารมณ์ของจ้านเซินฉุนเฉียว ตามหาตำแหน่งของลู่เซิ่นกับฉินซีไปทั่วทุกที่ เรียกได้ว่าใช้ทุกวิถีทางถ้าไม่ได้ด้วยเล่ห์ก็เอาด้วยกล
ถ้าตอนนี้เขาใช้ใบหน้าที่คุ้นเคยออกไปข้างนอก ต้องกลายเป็นเป้าหมายหลักของจ้านเซินแน่ๆ
นึกถึงตรงนี้ จู่ๆโจวเอ้อก็ชะงักเล็กน้อย
“ลู่เซิ่น ฉันสวมหน้ากากหนังคนที่นายให้ฉันได้นะ!”
โจวเอ้อเอ่ยปากด้วยความยินดี บนใบหน้าที่สุภาพเรียบร้อยปรากฏรอยยิ้มบางๆ
เขาเกือบจะลืมไปแล้ว ในมือของพวกเขายังมีของดีขนาดนี้อยู่อีกหนึ่งชิ้น
ลู่เซิ่นก็ไม่ได้นึกถึงจุดนี้ เห็นเขานึกขึ้นมาได้ แม้จะค่อนข้างกังวล แต่ก็ยังพยักหน้า: “ได้ งั้นนายมาได้เลย ตอนนี้ฉันอยู่ที่……”
เขาไม่ได้ขัดขวาง บอกตำแหน่งที่อยู่ให้เขารู้
“เราไปเจอกันที่ตีนเขา นายไม่ต้องขึ้นมา”
ที่นี่คดเคี้ยวเลี้ยวลด ถ้าวันนั้นไม่ได้ฉินซีเป็นคนนำทาง ต่อให้ลู่เซิ่นรู้ว่าคนอยู่บนภูเขาลูกนี้ ก็ไม่แน่ว่าจะขึ้นมาได้
ที่เขาด้านนี้มีภูเขามากมาย เพียงแค่คุณเดินผิดทางแยกเล็กน้อย งั้นจุดหมายปลายทางก็จะแตกต่างไปโดยสิ้นเชิง ดังนั้นลู่เซิ่นจึงไม่ให้เขาขึ้นมา
โจวเอ้อรู้สึกว่าอย่างนี้คงเร็วขึ้นหน่อย จึงตกลงอย่างรวดเร็ว: “อื้ม”
ทั้งสองคนนัดแนะเจอกันเรียบร้อยแล้ว โจวซิงที่ยืนอยู่ข้างๆ จึงพูดขึ้นด้วยความอิจฉา: “พี่ ผมไปด้วยได้ไหม?”
ยังไงก็มีหน้ากากหนังคนสองอัน เพิ่มเขาอีกคนหนึ่งก็คงไม่โดนจับได้
ใบหน้าที่เคร่งขรึมของโจวเอ้อมองเขา: “ไม่ได้ นายต้องเป็นคนสั่งการอยู่ที่นี่”
เขาพูดขึ้นอย่างเย็นชา สายตาคมกริบ
โจวซิงไม่พอใจขึ้นมาทันที: “มีเหตุผลอะไรถึงให้ผมอยู่ที่นี่ ผมก็อยากเจอฉินซีกับลู่เซิ่นเหมือนกัน พี่พาผมไปด้วยเถอะ”
จู่ๆเขาก็เอาแต่ใจขึ้นมา ทำให้โจวเอ้อปวดหัวมาก
เดิมทีลู่เซิ่นเตรียมจะวางสายแล้ว แต่กลับได้ยินโจวเอ้อกับโจวซิงเถียงกันขึ้นมาอย่างฉับพลัน
เขาก็ไม่ได้หลบฉินซี ฉินซีจึงได้ยินเสียงจากในโทรศัพท์ ยิ้มบางๆแล้วพูดขึ้น: “อาเซิ่น ส่งมือถือมาให้ฉัน”
เธอรู้สึกว่าโจวซิงก็เหมือนเด็กน้อยคนหนึ่ง ที่ต้องการคนปลอบโยน
แต่พ่อหนุ่มพวกนี้ ไม่มีความคิดอย่างนั้นหรอก ทำได้เพียงใช้กำลังป่าเถื่อนมากำราบ จึงต้องพึ่งเธอแล้วแหละ
ลู่เซิ่นมองเธอ ส่งมือถือให้
หลังจากฉินซีรับมา ก็พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน: “โจวเอ้อ คุณส่งมือถือให้โจวซิงหน่อย ฉันมีเรื่องต้องพูดกับเขา”
เธออยากคุยกับโจวซิงโดยตรง ไม่อยากให้โจวเอ้อพูดแทน
โจวเอ้อชะงักเล็กน้อย แล้วจึงพยักหน้า: “อื้ม”
เขาเปิดลำโพง แล้วส่งให้โจวซิง
โจวซิงเห็นมือถือส่งมาให้เขา ใบหน้าก็ปรากฏรอยยิ้มสดใส: “ฉินซี คุณจะคุยกับผม! มีเรื่องสำคัญที่อยากให้ผมทำใช่ไหม คุณสบายใจแล้วสั่งผมมาได้เลย ผมจะทำให้สำเร็จ”
เขาเหมือนกับเด็กน้อย อยากแสดงความสามารถของตนเองต่อหน้าผู้ใหญ่ โอ้อวดไปทั่วทุกที่
ตอนที่พูด เขายังไม่ลืมที่จะชำเลืองมองโจวเอ้ออีกด้วย ใครให้เขาเอาแต่ขัดขวางตนเองล่ะ