Flash Marriage เธอต้องแต่งงานกับฉัน - ตอนที่ 26
บทที่ 26 ดื้อแพ่ง
โรงพยาบาลเหรินหมิน
เย่กวนกวนสลบไปนาน พอเช้าก็ฟื้นขึ้นมาในที่สุด มู่วิ่งรีบเข้ามาตรวจอาการเธอ
“คุณหมอมู่ นั่นคุณหรือคะ?” เย่กวนกวนลืมตา เห็นผู้ชายคนหนึ่งในชุดกราวนด์สีขาว ใบหน้าหล่อเหลา
“อืม” มู่วี่สิงสีหน้าเย็นชาดังเดิม
“ฉันรู้อยู่แล้วว่าคุณทนเห็นฉันตายไม่ได้” จิตใต้สำนึกสั่งให้เย่กวนกวนดึงแขนเสื้อของเขาไว้
มู่วี่สิงปลดมือเธอออกอย่างไม่ชอบใจนัก เขาวางเคสคนไข้ลง “คุณหนูเย่ ผมเป็นหมอ คุณคือผู้ป่วย ความสัมพันธ์ของพวกเราทั้งคู่มีเทียงเท่านี้”
“คุณพูดจาเพ้อเจ้อ คุณพ่อบอกกับฉันแล้วว่าคุณเฝ้าฉันทั้งคืน ชีวิตของฉันก็เป็นคุณที่ช่วยกลับมา คุณหมอมู่คะ คุณคือผุ้มีพระคุณของฉัน” เย่กวนกวนร่างกายอ่อนแอทว่ากลับพูดเสียงดัง
เพียงแต่ไม่รู้ว่ามู่วี่สิงฟังเข้าหูรึไม่ เขาส่งยาให้เย่กวนกวน กำชับเธอเล็กน้อยแล้วจึงจากไป
เย่กวนกวนไม่สามารถลงจากเตียงไปขวางเขาได้ จึงให้บอดี้การ์ดหน้าห้องขวางเขาไว้
“คุณหนูเย่ ผมยังมีงานต้องทำ” มู่วี่สิงหันหน้ากลับมา น้ำเสียงไม่พอใจ
“พ่อฉันคุยกับผู้อำนวยการแล้วว่าก่อนที่ฉันจะหายดี คนไข้ที่คณต้องรับผิดชอบมีแค่ฉันคนเดียว” เย่กวนกวนเอ่ยอย่างโอหัง
เธอคือบุตรสาวคนเดียวของตระกูลเย่ ฐานะสูงส่ง ตั้งแต่เล็กจนโตก็ดื้อนเพ่งแบบนี้ ไม่มีใครกล้าขัด
สิ้นคำ มู่วี่สิงก็มองหลี่ซานที่อยู่ด้านข้าง เธอพยักหน้าอย่างใจตุ้มๆต่อมๆ
ชัดเจนว่านี่เป็นสิ่งที่ผู้อำนวยการบอกมาเมื่อเช้า เธอยังไม่ทันได้บอกกับมู่วี่สิง
“มีอะไรที่สมควรก็กดกระดิ่งเรียก” มู่วี่สิงบอกอย่างเย็นชา ยังคงจากไปดังเดิม
บอดี้การ์ดตรงประตูขวางเขาไม่ได้ด้วยซ้ำ
เย่กวนกวนโกรธจนอยากจะเขวี้ยงหมอนแต่เสียที่ร่างกายยังอ่อนแอ สุดท้ายก็ทำได้แค่มองมู่วี่สิงจากไป
พลบค่ำ เวลาเลิกงาน
เวนจิ้งเก็บของ คิดถึงมู่วี่สิงที่เมื่อคืนบอกว่าจะมารับตน ไม่รู้ว่าเขาลืมไปแล้วหรือยัง
ตอนลงมาจากอาคาร หน้าประตูก็ปรากฏรถคันคุ้นตาจริงๆ เวินจิ้งรีบวิ่งลงไป ขึ้นรถอย่างรวดเร็วเพราะกลัวคนเห็น
มู่วี่สิงเอนพิงเบาะหลัง เวลานี้กำลังปิดเปลือกตาลง
เวินจิ้งมองใบหน้าหล่อเหลาทว่าดูซีดขาว ความเหนื่อยล้าที่ปิดไม่มิดทำให้เธอสงสารจับใจ
“เขาเพิ่งเลิกงานหรือคะ?” เวินจิ้งถามคนขับรถ
คนขับรถพยักหน้า ตัวรถเคลื่อนที่อย่างรวดเร็ว
“มู่วี่สิง” เธอนั่งลงใกล้ๆ วินาทีต่อมามือของมู่วี่สิงก็อ้อมมาจับไหล่เธอไว้ ทว่าเขายังคงหลับตาดังเดิม
เขาหลับจริงหรือว่าแกล้งหลับกันนะ?
ถูกเขาโอบแบบนี้ เวินจิ้งจึงทำได้แค่ซบลงบนอกเขา ไม่กล้าส่งเสียงดังรบกวนเขาและก็ไม่กล้าขยับอะไร
กลิ่นน้ำยาฆ่าเชื้อจางๆโชยมา เวินจิ้งฟังเสียงจังหวะหัวใจของเขา ช่วงเวลานี้ช่างสงบเหลือเกิน
ทว่าไม่นานแรงสั่นจากมือถือก็ทำงานช่วงเวลานี้ไปเสีย
มือถืออยู่ในกระเป๋าของมู่วี่สิง เวินจิ้งดึงมือถือเขาออกมา เบอร์ที่ปรากฏคือ ‘แผนกจิตเวช’
คงเป็นเรื่องงานกระมัง
“มู่วี่สิง คุณมีสายเข้าค่ะ” เวินจิ้งเตือนเขาเสียงเบา
“เปิดลำโพง” มู่วี่สิงบอกทั้งที่หลับตา
เวินจิ้งได้ยินก็กดปุ่มฟัง
“คุณหมอมู่ ฉันปวดหัวจะตายแล้ว ทรมานจังเลย…” เสียงร้องไห้ดังมาตามสาย
เวินจิ้งย่นคิ้ว เห็นมู่วี่สิงลืมตาขึ้นในที่สุด สีหน้าปรากฏแววรำคาญที่เก็บไว้ไม่อยู่ออกมาสายหนึ่ง
“เย่กวนกวน คุณช่วยหยุดให้ผมสักหน่อยเถอะ” เสียงมู่วี่สิงเย็นชา สิ้นคำวินาทีต่อมาเขาก็กดวางสาย
เวินจิ้งชะงัก เธอถูกอารมณ์ของมู่วี่สิงทำเอาเสียตกใจ เขาแทบไม่เคยระเบิดอารมณ์ต่อหน้าเธอมาก่อนเลย ที่ผ่านมาต่างก็อบอุ่นและสง่างาม
“ที่โรงพยาบาลมีเรื่องอะไรหรือคะ?” เธอถามอย่างใส่ใจ
“ไม่มีเรื่องอะไร” มู่วี่สิงหน้าครึ้มลง
“โอ” เวินจิ้งย่นคิ้ว คิดไปคิดมาก็เอ่ยถาม “ถ้าคุณมีงาน งั้นฉันกลับเองก็ได้นะคะ”
“คุณนายมู่ ถ้าผมต้องทำงานต่อก็คงได้ตายแบบฉับพลันแน่ๆ” มู่วี่สิงพูดเสียงเบาราวกับปุยเมฆในสายลม