Flash Marriage เธอต้องแต่งงานกับฉัน - ตอนที่ 322
บทที่ 322จะไม่กลับไปอีก
ในเวลานี้ โทรศัพท์ของเวินจิ้งดังขึ้น หลิงเหยาได้โทรศัพท์ให้เธอ และถามว่าตอนนี้เธออยู่ไหน
“ฉันอยู่ที่ร้านอาหารหงเซิงนอกมหาวิทยาลัย”
“พอดีเลย ฉันกับพี่ชายก็มากินข้าวที่นี่ เธอกลับมากินด้วยกันไหม”
“ฉัน …… ฉันกำลังกินข้าวกับมู่วี่สิงอยู่”
“อะไรนะ เธอกำลังกินข้าวอยู่กับสามีเก่าเหรอ” เสียงของหลิงเหยาก็ดังขึ้น
หลิงอี้หน้าก็ได้นิ่งลง และก็ได้วางเมนูลง
หลิงเหยาได้แอบยิ้ม “งั้นฉันไม่รบกวนแล้ว”
เมื่อวางสายโทรศัพท์ เวินจิ้งเงยหน้าขึ้น และได้ยินเสียงของมู่วี่สิง “ใครโทรมา”
“หลิงเหยา”
“คุณสนิทกับเขาเหรอ” เขาถาม
ช่วงที่มู่วี่สิงและหลิงเหยาได้รู้จักกันก็ไม่ได้สั้น เมื่อก่อนหลิงเหยามักจะมาหามู่ซือซือที่บ้านตระกูลมู่เพื่อไปเที่ยวด้วยกันบ่อยครั้ง ทั้งสองเจอกันก็หลายครั้ง
แต่ก็รู้ว่าเธอเป็นผู้หญิงที่เฉลียวฉลาดคนหนึ่ง
“หลิงเหยาเหรอ เธอสบายดี ตอนที่ฉันถูกสงสัยว่าโกงข้อสอบก่อนหน้านี้ เธอก็ได้ช่วยฉันไว้มากเลยทีเดียว/ช่วยฉันไว้ได้ไม่น้อย” เวินจิ้งยิ้ม
หลิงเหยาก็ไม่ได้เข้าถึงยากอย่างที่เธอคิดไว้ ในทางกลับกัน หลังจากนั้นทั้งคู่ก็กลายเป็นเพื่อนที่สนิทกัน
แต่ในความหมายนั้น …… ควรจะมีความข้องเกี่ยวกับหลิงอี้อยู่
“คนที่คุณเพิ่งประกันตัวออกมา คือใครเหรอ” เวินจิ้งถาม
เธออยากรู้ว่าจริงๆแล้วใครกันเป็นคนวางยาฉือซิน
สุดท้ายแล้วฉือซินก็เคยเป็นคนใกล้ชิดกับเธอมากเช่นกัน
“แม่ของซือซือ คือภรรยาคนที่สองของมู่เฟิง”
เวินจิ้งตกตะลึงสักพัก ปรากฏว่ามู่ซือซือและมู่วี่สิงไม่ได้เป็นพี่น้องกัน
“ทำไมเธอถึงต้องทำแบบนี้”
“อานเวยได้พุ่งเป้าไปที่ฉืออี้เหิง” มู่วี่สิงไม่ได้พูดอะไรมาก
เวินจิ้งก็ไม่ถามต่อ สีหน้าของมู่วี่สิงอึมครึม และเขาก็ไม่ต้องการพูดถึงมันอย่างชัดเจน
บรรยากาศของมื้ออาหารนั้นเป็นไปอย่างราบรื่น เวินจิ้งไม่คาดคิดว่าหลังที่หย่าร้างกัน เธอและมู่วี่สิงจะสามารถมานั่งกินข้าวด้วยกัน
………
ในวันหยุดสุดสัปดาห์ เนื่องจากตระกูลหลิงไม่ได้อยู่ในหนานเฉิง หลิงเหยาก็เลยไปที่บ้านตระกูลมู่เพื่อจะไปเที่ยวกับมู่ซือซือ
เวินจิ้งอ่านหนังสืออยู่ที่หอพักด้วยตัวเอง ระหว่างนั้นหลินเวยได้โทรศัพท์หาเธอ ให้เธอกลับไปกินข้าว
เมื่อได้ยินเสียงหลินเวยดูเหมือนไม่สบาย เวินจิ้งรู้สึกไม่สบายใจอยู่ตลอดเวลา และได้เรียกรถแท็กซี่
ขณะที่เพิ่งลงจากรถ ร่างที่คุ้นเคยก็ได้เดินออกมาจากหน้าประตู
เมื่อเห็นเวินจิ้ง ฉินเฟยก็รู้สึกประหลาดใจเช่นกัน
รอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นในไม่ช้า “นี่ไม่ใช่สาวน้อยร้อยชั่งของตระกูลหลินเหรอ”
เวินจิ้งไม่ได้สนใจเธอ และเดินมุ่งเข้าไปที่บ้านตระกูลฉี
แต่ฉินเฟยกลับเดินตามมา ด้วยน้ำเสียงที่ไพเราะ “เวินจิ้ง เธอคิดว่าทำไมเธอถึงได้โชคดีขนาดนี้นะ ที่ได้สืบทอดทรัพย์สินหลายพันล้าน ทำไมฉันไม่มีชีวิตแบบนี้บ้าง”
เวินจิ้งหน้านิ่งลง “ฉินเฟย คุณคิดจะพูดอะไร/คุณคิดจะพูดอะไร”
“ฉันคิดจะพูดอะไรเหรอ เวินจิ้ง ฉันจะบอกเธอให้นะ บัญชีของเรายังไม่ได้คิดเลยนะ ฉันจะไม่ปล่อยเธอไปแน่”
“ทำไมน้องฉินถึงไม่ปล่อยฉันไป” เวินจิ้งเย้ยหยัน
“เธอยังไม่รู้อีกเหรอ ว่าสิทธิบัตรและสิทธิ์ของการจัดจำหน่ายยาหลักที่ขายภายใต้ชื่อของบริษัทมู่ซื่อกรุ๊ปทั้งหมดนั้น ถูกโอนไปให้บริษัทฉินซื่อกรุ๊ปในราคาถูก ซึ่งนี่เป็นการช่วยบริษัทฉินซื่อกรุ๊ปให้รอดพ้นจากวิกฤต/ความหายนะในช่วงนี้ ผู้ที่ตัดสินใจครั้งนี้ ก็คือมู่วี่สิง ผู้ชายคนที่เธอสนิทที่สุด”
ได้ยินดังนั้น สีหน้าเวินจิ้งก็ได้ซีดเซียว มู่วี่สิงกำลังจะช่วยบริษัทฉินซื่อกรุ๊ปเหรอ
ก่อนหน้านี้บริษัทฉินซื่อกรุ๊ปเกือบจะล้มละลาย แต่ภายหลังมาก็ได้ถูกซื้อโดยบริษัทฉีซื่อกรุ๊ป
ถ้าตอนนี้ยังมีสิทธิ์เหล่านี้อยู่ ไม่แน่ก็อาจจะสามารถพลิกกลับมาได้
“เวินจิ้ง หากไม่ใช่ฉันที่ทำร้ายเธอ แต่เป็นมู่วี่สิงล่ะ ไม่อย่างนั้นทำไมเขาถึงช่วยฉันมาตลอดล่ะ” พูดจบ ฉินเฟยพลางย่ำรองเท้าส้นสูง และทิ้งความภาคภูมิใจไว้
เวินจิ้งอึ้งตั้งแต่แรก คำพูดของฉินเฟยไม่ต้องสงสัยเลย มู่วี่สิง……..
ใช่ เธอเคยเห็นภาพที่รถของมู่วี่สิงรับส่งฉินเฟย เขาไม่ได้ส่งหลักฐานทางอาญาเกี่ยวกับการที่เธอได้ใส่ร้ายบริษัทการผลิตยาเทียนอีหมิ่นประมาทวันที่เธอได้
บวกกับตอนนี้
เธอเปิดโทรศัพท์ขึ้นมาทันที และค้นหาข่าวของบริษัทมู่ซื่อกรุ๊ป เป็นจริงอย่างที่ฉินเฟยพูดไว้
ทำไมมู่วี่สิงถึงได้ทำอย่างนี้
เธอไม่เชื่อฉินเฟย! เธอไม่เชื่อ!
แต่เรื่องจริงทั้งหมดนี้อยู่ตรงหน้าเธอ!
“เวินจิ้ง” ฉีเซินเดินออกมา เมื่อเห็นสีหน้าซีดของเวินจิ้ง จึงคิดอยากช่วยเธอด้วยความกังวล
แต่กลับถูกเธอผลักออกอย่างโกรธเคือง
ฉีเซินหรี่ตาแคบ “เจอฉินเฟยมาเหรอ”
เขารู้ว่าถ้าฉินเฟยได้เจอกับเวินจิ้ง ก็จะพูดอะไรไม่ดีอย่างแน่นอน
เวินจิ้งเม้มริมฝีปาก และไม่ได้พูดอะไร
เธอยังคงคิดเกี่ยวกับคำพูดของฉินเฟย
ในเวลานี้ ฉีเซินได้เห็นโทรศัพท์มือถือของเธอ เป็นข่าวที่ประกาศล่าสุดของบริษัทมู่ซื่อกรุ๊ป
เขายิ้มขึ้นมาทันที “บริษัทฉินซื่อกรุ๊ปกำลังร่วมมือกับบริษัทมู่ซื่อกรุ๊ป พวกเรามักจะพูดถึงการรับซื้อกิจการกับบริษัทมู่ซื่อกรุ๊ปกันเป็นปกติ คาดไม่ถึงว่าเขาและฉินเฟยนั้นมีความสัมพันธ์อันดี จนทำให้โอนได้ในราคาต่ำ”
“สถานการณ์ของบริษัทมู่ซื่อกรุ๊ปช่วงนี้ไม่ค่อยดีนัก” เวินจิ้งขมวดคิ้ว จู่ๆก็นึกถึงความวุ่นวายที่เกิดขึ้นกับบริษัทมู่ซื่อกรุ๊ป
เนื่องจากอานเวยมีส่วนเกี่ยวข้องในคดีฆาตกรรม บริษัทมู่ซื่อกรุ๊ปก็ตกอยู่ในภาวะวิกฤตความน่าเขื่อถือ ตัวตนของอานเวยได้รับการขยายใหญ่ขึ้น จริงๆแล้วไม่มีผลกระทบต่อบริษัทมู่ซื่อกรุ๊ป แต่คนที่อยู่เบื้องหลังพยายามจะเอาชนะบริษัทมู่ซื่อกรุ๊ปอย่างชัดเจน
“มันเป็นความจริง แต่ฉันก็คิดไม่ถึงว่าหมู่วี่สิงจะเบิกบานใจได้ถึงขนาดนี้ ในความเป็นจริงเราก็ยังให้ความช่วยเหลือบริษัทมู่ซื่อกรุ๊ปด้วย นอกจากบริษัทฉีซื่อกรุ๊ปอยู่เบื้องหลังของบริษัทฉินซื่อกรุ๊ปแล้ว แต่มีเพียงไม่กี่บริษัทที่กล้าจะขายสิทธิบัตรยาที่ขายดีที่สุดและสิทธิ์ทางการตลาด” ฉีเซินพูดอย่างมั่นใจ
คราวนี้ คิดยังไงกับการที่บริษัทฉินซื่อกรุ๊ปมีรายได้อย่างต่อเนื่อง
แต่เวินจิ้งมักรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ
บางทีมันอาจเป็นจิตใต้สำนึกของเธอที่มักจะเชื่อในมู่วี่สิง
แต่ความสัมพันธ์ของเขาและฉินเฟย เขาไม่เคยอธิบาย
“แม่กำลังรอเธออยู่ เข้าไปเถอะ”
เวินจิ้งกลับมามีสติ เพิ่งจะรู้ตัวว่ายืนอยู่นาน และเท้าก็เริ่มชา
เมื่อขยับก็เกือบจะล้มลง
ฉีเซินรีบช่วยเธอทันที เม้มริมฝีปากยิ้มและพูดว่า “ผมคิดว่าคุณจะส่งกอดมาให้ผมหน่ะ”
เวินจิ้งจ้องที่เขา “คุณปล่อยฉัน”
“ได้อยู่แล้ว แม่ฉันกำลังมองอยู่” ฉีเซินได้คลายมือ
เวินจิ้งเพิ่งจะได้เห็นหลินเวยที่ได้เดินออกมา
เธอถูกห่อด้วยผ้าคลุมไหล่ สีหน้าซีดมาก และจามอยู่ตลอดเวลา
“แม่ เป็นหวัดหนักแล้ว แม่รักษาตัวเองดีๆ ฉันจะไม่กลั่นแกล้งเวินจิ้งแล้ว”
หลินเวยขมวดคิ้ว เมื่อเห็นเวินจิ้งเดินมา ใบหน้ามีรอยยิ้มเล็กน้อย
“คุณนายหลิน” เวินจิ้งทักทายอย่างสุภาพ
ฉีเซินขมวดคิ้ว และรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยจากการทักทายคำนั้นของเวินจิ้ง
“เธอไม่เรียก แม่ ล่ะ”
“ใช่ เสี่ยวจิ้ง หรือเรียกแม่ของฉัน ดีไหม” ท่าทางการขอร้องของหลินเวย ทำให้เวินจิ้งทนไม่ได้
อย่างไรก็ตาม เธอไม่ต้องการเกี่ยวข้องกับตระกูลหลิน
เมื่อมองไปที่เวินจิ้งที่มีอาการไม่พอใจ หลินเวยถอนหายใจ “คุณตาของเธอไม่อยู่แล้ว ข้างกายฉันก็มีเด็กอย่างพวกเธอแค่สองคนแล้ว พวกเธอต่างก็อยู่ และก็เป็นครอบครัวที่สมบูรณ์แบบ”
เวินจิ้งได้ขมวดคิ้ว เหมือนจะนานมากแล้ว และก็ไม่เคยเห็นใครอื่นจากตระกูลฉี
เธอรู้เพียงว่าพ่อผู้ให้กำเนิดของเธอเสียชีวิตมานานแล้ว และเธอก็ไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับตระกูลฉี
“คุณนายฉี พักร้อนฉันจะกลับมา” เวินจิ้งกล่าว
ตอนนี้เธอได้ย้ายออกจากการ์เด้นมูเจียวานแล้ว สถานที่แห่งนั้นที่เธอเคยคิดว่าเป็นบ้าน และไม่สามารถกลับไปได้อีกแล้ว