Flash Marriage เธอต้องแต่งงานกับฉัน - ตอนที่ 361
บทที่ 361 มาอยู่ข้าง ๆ ผม (1)
ณ บริษัทมู่ซื่อกรุ๊ป
เมื่อมู่เหิงกลับไป ฉินเฟยจึงรออยู่ที่ด้านนอกโดยตลอด
เวลาของเธอมีไม่มากแล้ว
“คุณฉินใช่ไหมครับ” น้ำเสียงของมู่เหิงเย็นชา
“มู่เหิง ฉันไม่มีทางปล่อยคุณไปหรอก” ฉินเฟยมองดูเขาอย่างอาฆาต
มู่เหิงสงบนิ่งเป็นอย่างมาก ทั้งสองมือสอดเข้าไว้ในกระเป๋ากางเกง และมองดูหญิงสาวด้วยความเหยียดหยาม “ผมกลับอยากรู้เสียอีกว่าคุณจะรั้งผมเอาไว้ยังไง”
“ถ้าเกิดฉันต้องติดคุก คุณเองก็ต้องติดคุกเหมือนกัน”
เมื่อได้ยินดังนั้น มู่เหิงหัวเราะขึ้นมาอย่างคาดไม่ถึง “ฉินเฟย คุณเก่งขนาดนั้นเลยเหรอ”
“ฉันทำไม่ได้หรอก แต่มีบางคนที่ทำได้”
ความเย็นชาปรากฏขึ้นมาภายในแววตาของมู่เหิง ทันใดนั้น ก็บีบคอของฉินเฟยเอาไว้แน่น “เธอกล้าไหมล่ะ”
“ทำไมฉันจะไม่กล้าล่ะ!”
“พ่อของเธอยังอยู่ที่โรงพยาบาลนะ” มู่เหิงเตือนความจำเธอ
ทันใดนั้น ฉินเฟยถลึงตาขึ้นมาทันที ตั้งแต่ที่บริษัทมู่ซื่อกรุ๊ปเกิดเรื่องขึ้น ฉินเจิ้งได้แต่นอนนิ่งเป็นผู้ป่วยติดเตียง
มู่เหิงคิดจะทำอะไรกันแน่……
“ฉินเฟย ก่อนที่จะลงมือทำเรื่องอะไรก็ตาม คิดถึงคนที่เธอรักเอาไว้ให้ดี”
มู่เหิงคลายมือออก หันหลังและเดินขึ้นรถไป น้ำเสียงของเขาเย็นชาถึงขั้นสุด เขารู้จุดอ่อนของฉินเฟยมาโดยตลอด
ที่หน้าประตูทางเข้าของบริษัทมู่ซื่อกรุ๊ป ฉินเฟยทรุดตัวลงกับพื้นอย่างช้า ๆ สภาพอากาศล่วงเลยเข้าฤดูหนาวแล้ว ความหนาวเย็นจากการไร้ซึ่งแหล่งพักพิงกลับเสียดแทงเข้ามา
เธอนิ่งเงียบอยู่เป็นเวลานานแสนนาน จากนั้น จึงใช้มือถือของเธอส่งอีเมลออกไปฉบับหนึ่ง
ณ โรงพยาบาลในเช้าตรู่วันรุ่งขึ้น
เกาเชียนรีบมาตั้งแต่เช้าตรู่ สีหน้าดูร้อนใจมากทีเดียว
“ประธานมู่ครับ ฉินเฟยหายตัวไป และฉินเจิ้งได้เสียชีวิตลงแล้วเมื่อเช้านี้”
เมื่อได้ยินดังนั้น แววตาทั้งสองข้างของมู่วี่สิงพลันเย็นชาขึ้นมาในทันที สีหน้ามืดหม่นเป็นอย่างมาก
“สาเหตุการตายคืออะไร”
“รายงานจากทางโรงพยาบาลระบุไว้ว่ากล้ามเนื้อหัวใจตาย”
“คุณไปตรวจสอบกล้องวงจรปิดทั้งหมดของเมื่อเย็นวานนี้ และตามหาฉินเฟยให้พบ” มู่วี่สิงออกคำสั่งกำชับ
“รับทราบครับ”
ไม่นานนัก ก็มีสายวิดีโอคอลจากคุณปู่โทรเข้ามา มู่วี่สิงกดเชื่อมต่อ
“คุณปู่”
“ช่วงนี้กับเวินจิ้งเป็นยังไงบ้างล่ะ กลับมาแต่งงานกันใหม่หรือยัง”
เมื่อเปรียบเทียบกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นในบริษัทมู่ซื่อกรุ๊ปแล้ว มู่เฉิงกลับดูจะเป็นห่วงเรื่องการแต่งงานของหลานชายเสียมากกว่า
เมื่อได้ยินดังนั้น มู่วี่สิงก็ขมวดคิ้วขึ้น
“ยังเลยครับ”
“พวกหลาน….พวกหลานสองคนช่วงนี้ก็กะหนุงกะหนิงกันดีไม่ใช่เหรอ!” มู่เฉิงกล่าว
เห็นได้ชัดว่าตอนที่โทรศัพท์มาหาหลานชายก่อนหน้านี้ เวินจิ้งมักจะคอยอยู่ข้างกายเขาเสมอ
“มันเป็นภาพลวงตาครับ” น้ำเสียงของมู่วี่สิงนิ่งเรียบ
ช่างเป็นเรื่องที่ทำให้มู่เฉิงรู้สึกโกรธจนควันออกหูเสียจริง
เมื่อวางสาย มู่เฉิงรู้สึกทนเฉยต่อไปไม่ได้ จึงโทรศัพท์ไปหาเวินจิ้ง
“เสี่ยวจิ้ง นี่ปู่เองนะ”
“คุณปู่” เวินจิ้งเพิ่งเลิกเรียน และได้รับสายจากมู่เฉิงที่โทรเข้ามาโดยบังเอิญ
“เลิกเรียนหรือยัง” มู่เฉิงถามด้วยความกังวล
“อื้อ เพิ่งเลิกเลยค่ะ”
“ปู่เพิ่งโทรศัพท์ไปคุยกับวี่สิงมาเมื่อสักครู่นี้ ดูเหมือนว่าเขาต้องเข้าผ่าตัดแล้ว ปู่ไม่ได้อยู่ข้าง ๆ เขา เลยอยากวานให้หนูช่วยไปดูเขาแทนปู่ทีจะได้ไหม”
“ผ่าตัด เขาเป็นอะไรเหรอคะ” เวินจิ้งถามอย่างกังวล และรีบออกจากชั้นเรียนไปในทันที
“ปู่เองก็ไม่รู้ อาการขาอยู่ไม่สุขของเขาคงจะบาดเจ็บขึ้นมาอีกแล้ว ปู่รู้สึกกังวลมากทีเดียว แต่ตอนนี้ปู่ไม่สามารถจะไปหาเขาได้ในทันที….” น้ำเสียงของมู่เฉิงไร้ซึ่งหนทางเลือกเป็นอย่างมาก
เวินจิ้งขมวดคิ้ว และกล่าวอย่างนุ่มนวลว่า “คุณปู่ไม่ต้องกังวลไปนะคะ เดี๋ยวหนูจะรีบไปดูอาการเขาให้ในทันที”
“จริงเหรอ มันจะรบกวนเวลาของหนูหรือเปล่า ต้องโทษเจ้าเด็กนั่น ซุ่มซ่ามเสียเหลือเกิน……” มู่เฉิงกล่าววนไปวนมา
“ไม่หรอกค่ะ ที่นี่อยู่ใกล้กับโรงพยาบาลจงซินมาก หนูไปดูอาการของมู่วี่สิงก่อน แล้วเดี๋ยวจะรายงานให้คุณปู่ทราบนะคะ”
“แบบนี้ดีมากเลย เวินจิ้ง ลำบากเธอแย่เลยนะ”
“ไม่ลำบากเลยค่ะ ไม่ลำบากเลย…..”
หลังจากวางสาย เวินจิ้งก็รีบออกเดินทางในทันที
มือของเธอทนไม่ไหวจนต้องสั่นเทิ้มอยู่ตลอดเวลา มู่วี่สิงต้องเข้ารับการผ่าตัดอย่างกะทันหันได้อย่างไรกัน
จริงอยู่ที่ขาทั้งสองข้างของเขาบาดเจ็บ หรือว่าเขาจะหกล้มขึ้นมาอีกแล้วกัน
เขาไม่รู้จักดูแลตัวเองให้ดีเอาเสียเลย!
เมื่อคิดได้ถึงตรงนี้ เวินจิ้งก็รู้สึกกังวลมากขึ้นกว่าเดิม
“คุณลุงคะ ช่วยขับเร็วกว่านี้หน่อยได้ไหมคะ” สีหน้าของเวินจิ้งซีดเผือดเป็นอย่างมาก
“ข้างหน้ารถมันติดมากเลยนะ ลุงเองก็อยากขับเร็วอยู่หรอก แต่มันเร็วไม่ได้เนี่ยสิ!” ความอดทนของคนขับรถก็หมดลงเช่นกัน
ดูเหมือนว่าถนนด้านหน้าจะมีอุบัติเหตุเกิดขึ้น รถติดอยู่บนถนนเส้นนี้เป็นเวลาเกือบจะหนึ่งชั่วโมงแล้ว
เวินจิ้งกดเปิดแอปนำทาง เพื่อดูระยะทางที่เหลืออยู่ ยังเหลืออีกสองกิโลเมตร
เธอจึงรีบจ่ายเงินและลงจากรถ เธอแทบจะวิ่งไปในทันที ท้องฟ้าช่างแดดจ้าเหลือเกิน เมื่อไปถึงยังโรงพยาบาล เธอเกือบจะเป็นลมจนยืนไม่อยู่
เธอเดินมุ่งตรงไปที่ห้องผ่าตัดอย่างไม่รีรอ แต่กลับไม่เห็นมู่วี่สิง เธอจึงรีบขึ้นไปยังแผนกผู้ป่วยในทันที
ทันทีที่มาถึงยังห้องผู้ป่วยของมู่วี่สิง เมื่อบอดี้การ์ดเห็นเธอเข้า ก็รีบเปิดประตูให้ในบัดดล
เวินจิ้งเดินเข้าไป และกล่าวอย่างตึงเครียดว่า “มู่วี่สิง เกิดอะไรขึ้น!”
ความวิตกกังวลปรากฏขึ้นไปทั่วบนใบหน้าของเธอ ทั่วทั้งสรรพางค์กายคือเม็ดเหงื่อ เมื่อสักครู่นี้เธอวิ่งมาโดยตลอด และอากาศยังร้อนมากจนทำให้หน้าแดงก่ำด้วย
และในช่วงเวลานั้น มู่วี่สิงกำลังนอนอยู่บนเตียงผู้ป่วย พร้อมกับกำลังจัดการเอกสารของบริษัทอย่างใจจดใจจ่อ
เวินจิ้งมองหน้าเขาอย่างแน่นิ่งอยู่พักใหญ่ และตะลึงงันเมื่อพบว่าเขาไม่ได้มีบริเวณไหนที่ได้รับบาดเจ็บมากถึงขนาดที่ต้องเข้ารับการผ่าตัดเลยสักนิดเดียว……
มู่วี่สิงเองก็มองดูเธอด้วยความงุนงงเช่นกัน เขาไม่สะดวกลงจากเตียง จึงบอกให้เวินจิ้งเดินเข้ามาหา
เวินจิ้งยืนนิ่งอยู่ที่หน้าประตู และไม่มีการเคลื่อนไหวใด ๆ
“คุณสบายดีเหรอ” เธอถาม
“ผมกำลังยุ่งน่ะ” มู่วี่สิงขมวดคิ้ว
“คุณผ่าตัดหรือยัง”
มู่วี่สิงเม้มริมฝีปาก ตอนนี้เขายังคงไม่เข้าใจในความหมายของเวินจิ้ง
“คุณปู่บอกว่าคุณกำลังเข้ารับการผ่าตัด เลยวานให้ฉันมาดูคุณแทนท่าน……” เวินจิ้งกล่าวด้วยเสียงเบา ๆ
“อืม มาอยู่ข้าง ๆ ผมสิ”
ในตอนนี้ มู่วี่สิงเข้าใจอย่างชัดเจนแจ่มแจ้งแล้ว
คาดเดาได้ว่าชายชราคงกังวลอย่างมาก จึงพูดโกหกออกไป ก็เพื่อเร่งพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเวินจิ้ง
“ถ้าคุณไม่เป็นอะไร ฉันจะกลับแล้ว” ดูเหมือนว่าเวินจิ้งจะเริ่มเข้าใจขึ้นมาแล้ว
หรือว่าคุณปู่ได้โกหกเธอเข้าแล้วกัน
ถึงแม้ว่าเธอกับมู่วี่สิงจะหย่ากันแล้ว แต่ความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับคุณปู่นั้น ก็ดำเนินไปได้ด้วยดีเสมอ
แต่ทว่าหากคุณปู่ต้องโกหกเพื่อให้เธอมาที่นี่ มันก็ชักจะมากเกินไปหน่อยแล้ว
“ขาทั้งสองข้างของผมขยับไม่ไหวแล้ว” น้ำเสียงของมู่วี่สิงรู้สึกผิดเล็กน้อย
เวินจิ้งมองดูเขาด้วยความสงสัย
“คุณปู่หวังจะให้คุณมาดูแลผม คุณอย่าไปโทษเขาเลย” เขามองออกว่าเวินจิ้งกำลังโกรธ
เวินจิ้งเม้มปาก และไม่พูดอะไรเหมือนเช่นเดิม
“ฉันต้องกลับโรงเรียนแล้ว” เวินจิ้งหันหลัง
เธอจะไม่มีทางใจอ่อน ไม่เด็ดขาด……
แต่ทว่าในอีกไม่กี่วินาทีต่อมา ก็มีเสียง “ปัง” ดังขึ้นมาจากด้านหลังอย่างฉับพลัน เมื่อเวินจิ้งหันหลังกลับไป ก็เห็นว่ามู่วี่สิงล้มลงไปนอนขาชี้ฟ้าอยู่บนพื้น……
ท่าทางนั้น ทำให้เวินจิ้งระเบิดเสียงหัวเราะเอิ๊กอ๊ากออกมาในทันที
มันตลกมากเหลือเกิน!
คุณหมอมู่ผู้อ่อนโยนสุภาพและสง่างามสูงส่งอยู่เสมอคนนั้น ในตอนนี้ ขาของเขาทั้งสองข้างกลับถูกห่อหุ้มไปด้วยเฝือกขนาดใหญ่ และนั่งอยู่ที่พื้นอย่างจนตรอกเสียเหลือเกิน
เธอหันหลังไป และเดินเข้าไปประคองเขาขึ้นมา
แต่ทันทีที่มือของเธอไปแตะเข้าที่บ่าของมู่วี่สิง ก็ถูกเขาดึงตัวเข้าไปหา จนทำให้เธอล้มลงไปอยู่ในอ้อมกอดของเขาอย่างช่วยไม่ได้
แต่ด้วยความที่กลัวว่าจะไปโดนบาดแผลของเขาเข้า จึงทำได้แต่เพียงนั่งยอง ๆ อย่างระมัดระวัง
“คุณรีบลุกขึ้นมาเร็วเข้า” เวินจิ้งเก็บรอยยิ้มเอาไว้ และมองดูเขาด้วยความกังวล
แต่มู่วี่สิงกลับเอาแต่กอดเธอเอาไว้ในอ้อมแขน สูดดมกลิ่นของเธอที่แนบชิดกายอยู่กับตัวเขา และไม่ยอมปล่อยมือจากเธอเป็นเวลานาน
เวินจิ้งถูกชายหนุ่มกอดเอาไว้แน่น ด้วยแรงขนาดนี้ ราวกับจะบดขยี้ตัวเธอให้เข้าไปอยู่ในกระดูกเสีย
เธอแน่นิ่งตัวแข็งทื่อ โดยหวังว่าช่วงเวลานี้ จะคงอยู่เช่นนี้ต่อไปเป็นเวลานานแสนนาน
ความรู้สึกในขณะที่อยู่ภายในอ้อมแขนของมู่วี่สิง ล้วนแต่ทำให้เธอรู้สึกสบายใจเสมอ
แต่ทว่าความเงียบสงบนี้ก็คงอยู่ต่อไปไม่นาน เมื่อได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวภายในแผนกผู้ป่วยดังขึ้น อาจจะมีหมอสักคนกำลังเดินทางมาที่ห้องนี้ภายในเร็ววัน
“คุณมู่ครับ……”