Flash Marriage เธอต้องแต่งงานกับฉัน - ตอนที่ 369
บทที่ 369 เขาเป็นคนอุ้มเธอกลับมา (9)
“ทำไม คิดจะให้มู่เหิงไปส่งหรือไง” มู่วี่สิงกล่าวด้วยเสียงเย็นชา
น้ำเสียงของเขาทำให้เวินจิ้งตกใจกลัว มันช่างน่ากลัวเสียเหลือเกิน
คิดอยากจะดึงมือของตัวเองกลับมา แต่กลับถูกเขาคว้าเอาไว้อย่างแน่นหนา
เธอขมวดคิ้ว และหยุดเดิน
“ฉันกำลังเรียกรถอยู่ต่างหาก” เธอเอ่ยปากอธิบาย
ทันใดนั้น เธอก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ จึงหันหลังกลับไปมองรถยนต์สีดำคันหรูที่เคลื่อนตัวออกไปไกลแล้วคันนั้น
เธอเคยเห็นรถยนต์คันนี้มาก่อน มีรายงานข่าวว่า ฉินเฟยเคยขึ้นรถยนต์คันนี้
ในตอนนั้นเอง เธอยังนึกว่ารถยนต์คันนั้นเป็นของมู่วี่สิงด้วย
แต่เมื่อมองดูให้ดี กลับเป็นมู่เหิงอย่างนั้นเหรอ
“อย่าติดต่อกับมู่เหิง” มู่วี่สิงหรี่ตาลง สีหน้าหม่นหมองเป็นอย่างมาก
ทันใดนั้น ออร่าความเยือกเย็นของเขาทำให้เวินจิ้งไม่กล้าออกเสียงใด ๆ
เพียงแต่ว่าเมื่อมองดูสีหน้าของมู่วี่สิงนั้น กลับนุ่มนวลขึ้นมาก
อย่างน้อยก็สามารถยืนยันได้อย่างหนึ่งว่า มู่วี่สิงไม่เคยเข้าข้างฉินเฟย
“ฉันเปล่าเสียหน่อย” เธอเอ่ยปาก
“คอยอยู่ข้าง ๆ ผมไว้” เมื่อพูดจบ เขาก็ให้เวินจิ้งขึ้นรถไป
เมื่อได้ยินคำพูดของมู่วี่สิง เวินจิ้งก็ชะงักไปครู่หนึ่ง
และไม่เข้าใจในสิ่งที่มู่วี่สิงต้องการจะสื่อ
จึงไม่ยอมขึ้นรถ
“คุณนายมู่” คำกระซิบอันแสนคุ้นเคยที่ดังขึ้นที่ข้างใบหู ทำให้ทั่วทั้งสรรพางค์กายของเวินจิ้งอ่อนแรงไปหมด
เมื่อเงยหน้าขึ้น ก็สบเข้ากับสายตาอันลึกซึ้งของมู่วี่สิง จูบอันเร่าร้อนของเขาประทับลงมาในทันที
มันประทับติดแน่น จนทำให้เธอแทบจะหายใจหอบ
เธออยู่ภายในอ้อมแขนของเขา และอ่อนแรงไปทั้งตัวจนแทบยืนไม่อยู่
เธอทำได้แต่เพียงแอบอิง และตะเกียกตะกายผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าเธอเท่านั้น
“คุณ….จะมากเกินไปแล้วนะ” เวินจิ้งตำหนิเขา
มู่วี่สิงอุ้มเธอขึ้นรถเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และช่วยคาดเข็มขัดนิรภัยให้กับเธอ
เวินจิ้งเหนื่อยเหลือเกิน การผ่าตัดดำเนินไปทั้งสิ้นห้าชั่วโมงถ้วน ตอนนี้สภาพของเธอคือสามารถผล็อยหลับไปได้ในทันที เมื่อเธอหลับตา
“พักผ่อนให้สบายเถอะ” ปลายนิ้วอันเรียวยาวลูบไล้ที่ระหว่างคิ้วของหญิงสาว น้ำเสียงของเขาอ่อนโยนเหลือเกิน
เวินจิ้งลืมตาอยู่ แต่ทว่าไม่สามารถต้านทานบรรยากาศอันแสนสบายเอาไว้ได้ จึงผล็อยหลับไปในที่สุด
เมื่อตื่นขึ้นมา ฟ้าก็สว่างเสียแล้ว
อย่างที่คิดไว้……
ไม่ปรากฏร่างของมู่วี่สิงอยู่ที่ข้างกายของเธอ หรือว่าเธอจะอยู่ที่…..หอพักกัน
เวินจิ้งหันไปมองดูโดยรอบ เธอกลับมาได้อย่างไรกัน
ในตอนนั้น ก็มีเสียงดังขึ้นที่หน้าประตู เมื่อหลิงเหยาเห็นว่าเธอตื่นขึ้นมาแล้ว จึงเดินไปหาและยิ้มอย่างกรุ้มกริ่มเป็นอย่างมาก……
“แหม ๆ นึกว่ายังอยู่กับมู่วี่สิงหรือจ๊ะ”
เวินจิ้งเงียบ
“มู่วี่สิงมาส่งฉันเหรอ”
“เขาเป็นคนอุ้มเธอกลับมาน่ะ”
น้ำเสียงของหลิงเหยาเน้นย้ำไปที่คำว่า “กอด” อย่างหนัก
เวินจิ้งเงียบ
เธอเกาศีรษะของเธอ และลุกออกจากเตียง
“การผ่าตัดเมื่อคืนดึกมาก เขาเลยมาส่งฉัน……”
“ฉันรู้ ไม่ต้องอธิบายหรอกน่า ฉันเข้าใจแล้ว”
เมื่อได้ยินน้ำเสียงหลิงเหยาเข้า เวินจิ้งก็รู้แล้วว่าเธอจะต้องคิดไม่ดีอย่างแน่นอน……
เธอเองก็บอกไม่ถูก…..
แต่ทว่า ทำไมมู่วี่สิงถึงไม่ปลุกเธอกันเล่า!
เมื่อมองดูเวลา ตอนนี้ใกล้เที่ยงแล้ว
เธอรีบล้างหน้าบ้วนปาก และไปยังห้องทดลองในทันที วันนี้เป็นวันเสาร์ ต้องเข้าร่วมการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ยาของบริษัทมู่ซื่อกรุ๊ป……..
เมื่อมาถึงยังห้องทดลอง แต่ภายในกลับไม่มีคนอยู่สักคนเดียว เวินจิ้งจึงชะงักไปครู่หนึ่ง ประตูกลับล็อกอยู่อย่างแน่นหนา
นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่
เธอกดเปิดโทรศัพท์ ตัดสินใจถามเพื่อนร่วมชั้นที่ต้องเข้าร่วมการวิจัยและพัฒนาครั้งนี้ด้วย แต่กลับพบว่ามีประกาศแจ้งเตือนเข้ามาเมื่อคืนวานนี้ เนื่องจากยังไม่มีการจัดวางบุคลากรให้เรียบร้อย การวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ยาของหลินด๊าในปัจจุบันจึงต้องถูกระงับเป็นการชั่วคราว
เนื่องจากการผ่าตัดดำเนินต่อไปจนถึงเวลาดึกมาก ถึงจะเสร็จสิ้นลง เธอจึงพลาดข้อความนั้นไป
ยิ่งไปกว่านั้น ตอนบ่ายวันนี้ เธอจะต้องเดินทางไปที่โรงพยาบาล เพื่อจัดการกับเอกสารหลังการผ่าตัดด้วย
…….
ที่ตระกูลมู่
เมื่อเห็นว่าส้งวี่มาที่นี่ ทันใดนั้น สีหน้าของมู่ซือซือก็เคร่งเครียดขึ้นมาทันที
ขณะที่กำลังจะปิดประตู แต่ทว่าส้งวี่กลับเข้ามาภายในห้องได้เสียก่อน
รูปร่างอันสูงใหญ่โน้มตัวเข้ามาใกล้ มู่ซือซือจ้องมองไปที่เขา
“คุณมาทำอะไรที่นี่”
“ซือซือ อย่าไล่ผมเลย ให้ผมอยู่เป็นเพื่อนคุณนะ”
“ฉันไม่ต้องการ! ส้งวี่ คุณกลับไปได้แล้ว!”
เมื่อเห็นว่าส้งวี่กำลังโน้มตัวเข้ามาใกล้มากขึ้นเรื่อย ๆ หนามทั่วทั้งตัวของมู่ซือซือแทบจะตั้งตระหง่านขึ้นมา และคว้าหมอนที่อยู่ข้างตัวขึ้นมา และฟาดไปที่เขา
ส้งวี่รับเอาไว้ได้อย่างแน่นิ่งไม่ไหวติง
“ซือซือ ใจเย็นหน่อย ผมก็แค่อยากช่วยคุณเท่านั้น” ส้งวี่ขมวดคิ้ว และไม่เข้าไปใกล้เธออีก
“พี่ชายฉันจะต้องช่วยฉันได้แน่ อย่างร้ายที่สุดก็แค่เข้าคุก ฉันทำใจไว้แล้วน่า” มู่ซือซือกล่าวอย่างกระวนกระวาย
เมื่อได้ยินดังนั้น ความเย็นชาในแววตาของส้งวี่ก็แผ่ซ่านออกมาอย่างรุนแรง
เขาเดินมาหา และกอดมู่ซือซือเอาไว้แน่น “คุณจะไม่ต้องเข้าคุก ไม่มีทางแน่นอน”
ผ่านไปครู่ใหญ่ อารมณ์ของมู่ซือซือถึงจะผ่อนคลายลงเล็กน้อย
เธอสูดจมูกของเธอ และเงยหน้าขึ้นมามองส้งวี่ “ฉันอยากไปหาเขา”
เขาที่ว่านั้น ส้งวี่รู้โดยธรรมชาติในทันทีว่าคือฉีเซิน
“ไม่ได้”
“ฉันไม่ทำอะไรเขาหรอก”
“ตอนนี้คุณต้องพักผ่อน ไม่ต้องคิดอะไรแล้ว เข้าใจไหม” ส้งวี่โอ๋หญิงสาวด้วยเสียงเข้ม
“ฉันเข้าใจแล้ว”
“ตอนเที่ยงอยากกินอะไรล่ะ” ส้งวี่ถามอย่างอดทน
“ร้านซาลาเปาทอดที่อยู่ทางเหนือของเมือง แต่ว่ามันอยู่ไกลมากเลยนะ” มู่ซือซือถอนหายใจ น้ำเสียงไม่อาจซ่อนความผิดหวังเอาไว้ได้
ส้งวี่ปลอบโยนเธอด้วยความเอ็นดู “คุณนั่งรออยู่ที่นี่แล้วกัน ผมจะไปซื้อมาให้”
“คุณโกหกฉันอีกแล้ว” เห็นได้ชัดว่าน้ำเสียงของมู่ซือซือไม่เชื่อใจเขาเลยแม้แต่น้อย
“ผมจะกล้าโกหกคุณได้ยังไงกัน รอผมอยู่ที่นี่นะ”
เมื่อพูดจบ เขาก็รีบออกไปอย่างรวดเร็ว
มู่ซือซือยืนอยู่ที่ระเบียง และมองดูส้งวี่ขับรถออกไป เธอกัดริมฝีปากอย่างรุนแรง
ผ่านไปครู่ใหญ่ เธอเปลี่ยนเสื้อผ้าและเดินทางออกไป
เมื่อเวินจิ้งมาถึงยังโรงพยาบาล มีรถแท็กซี่คันหนึ่งจอดอยู่ที่ข้างหน้าเธอ และคนที่ลงจากรถนั้นกลับไม่ใช่คนอื่นคนไกล แต่เป็นมู่ซือซือนั่นเอง
เธอมาที่นี่ได้อย่างไร
และเห็นได้ชัดว่ามู่ซือซือเองก็เห็นเวินจิ้งแล้ว แต่เธอกลับไม่สนใจเวินจิ้ง และเดินตรงไปที่แผนกผู้ป่วยในทันที
เวินจิ้งนึกขึ้นมาได้ว่า ฉีเซินยังคงนอนรักษาตัวอยู่ที่นี่!
หรือว่ามู่ซือซือจะมาหาฉีเซินกัน
ด้วยความกังวลว่าเธอจะมาก่อเรื่องเข้า จึงรีบรายงานมู่วี่สิงในทันที จากนั้นจึงเดินตามเข้าไป
ห้องผู้ป่วยของฉีเซินเป็นห้องเดี่ยว เมื่อมู่ซือซือขึ้นไปยังชั้นบน จะมีพยาบาลคอยห้ามเธอเอาไว้
แต่ทว่าเธอกลับใช้แรงอย่างมากผลักพยาบาลคนนั้นออกไป และบุกเข้าไปในห้องผู้ป่วยของฉีเซินทันที
ห้องผู้ป่วยของฉีเซินมีบอดี้การ์ดคอยคุ้มกันอยู่ เมื่อเห็นมู่ซือซือเข้า จึงรีบหยุดเธอเอาไว้ในทันที
ฉีเซินนั่งอยู่บนเตียง และมองดูมู่ซือซือที่กำลังโกรธเคือง ด้วยแววตาที่แสนเย็นชา
เขากำชับบอดี้การ์ดว่า “ให้เธอเข้ามา”
มู่ซือซือเย้ยหยัน และมองดูฉีเซินที่กำลังบาดเจ็บสาหัสตั้งแต่หัวจรดเท้า เขาช่างเล่นละครได้สมบทบาทเสียจริง!
เธอลงมือทำร้ายเขาหนักเสียขนาดนั้นที่ไหนกัน แต่ทว่าตอนนี้ฉีเซินกลับบาดเจ็บไปทั่วทั้งร่างกาย!
เพื่อให้เธอต้องรับโทษ เขาถึงกับลงทุนยอมทำถึงขนาดนี้เชียว!
“หรือว่าคุณมู่จะมาเยี่ยมไข้ผมเหรอครับ” ฉีเซินกล่าวติดตลก
“ฉันมาดูว่าคุณตายแล้วหรือยังต่างหาก!” มู่ซือซือกล่าวอย่างโกรธจัด
“คุณตีผมเบาเกินไปหน่อยนะ”
คำพูดนี้ยั่วให้มู่ซือซือโกรธจนควันออกหูอย่างไม่ต้องสงสัย มือของเธอเงื้อขึ้นมา นัยน์ตามองเห็นเกือบจะบีบคอของฉีเซิน
แต่ทว่าเขากลับรวดเร็ว และคว้าข้อมือของมู่ซือซือเอาไว้ได้ทัน
ในตอนนั้นเอง ที่มู่วี่สิงก็ผลักประตูเข้ามาพอดี
เขารีบสาวเท้าก้าวเข้ามาอย่างรวดเร็ว เพื่อดึงตัวมู่ซือซือออกไป
“คุณฉีครับ ขอโทษที่รบกวนด้วย” มู่วี่สิงมีสีหน้าเย็นชา พร้อมกับลากมู่ซือซือออกไปจากห้อง
แต่ทว่ามู่ซือซือยอมเสียที่ไหนกัน เธอดิ้นรนขัดขืนอย่างสุดกำลัง และไม่ยอมออกไปอย่างเด็ดขาด
“พี่ ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้!”
“เลิกก่อเรื่องได้แล้ว มู่ซือซือ!”
ขณะที่กำลังมองดูทั้งสองคนออกไปจากห้อง ฉีเซินไม่มีทางปล่อยโอกาสนี้ให้หลุดรอดไปอีกแน่นอน จึงกล่าวด้วยเสียงดังว่า “โทรแจ้งตำรวจให้ฉันที มีคนจงใจขู่ฆ่าฉัน!”
เมื่อได้ยินดังนั้น บอดี้การ์ดที่คอยคุ้มกันอยู่เสมอไม่กล้าที่จะเพิกเฉยไปได้ ขณะที่กำลังจะเตรียมตัวโทรแจ้งตำรวจนั้น มู่วี่สิงใช้มือข้างเดียวของเขาคว้าโทรศัพท์มือถือของชายคนนั้นเอาไว้ และปาไปที่กำแพงอย่างเหี้ยมโหด
“นาย…….” แววตาของมู่วี่สิงเต็มไปด้วยความมุ่งร้าย มันน่ากลัวจนไม่กล้าที่จะพูดอะไรออกมาได้
“โทรแจ้งตำรวจเดี๋ยวนี้! มันยืนงงอะไรกันอยู่เล่า!” เสียงของฉีเซินดังขึ้นมาเหมือนเช่นเดิม
มู่วี่สิงหยุดชะงักไป สายตามองดูฉีเซินอย่างเยือกเย็น “ฉีเซิน นี่ไม่ใช่การขู่ฆ่าหรอก แต่มันคือการเอาคืน!”
การเอาคืน…….