Flash Marriage เธอต้องแต่งงานกับฉัน - ตอนที่ 391
บทที่ 391ผมเป็นผู้ฟังของคุณได้ตลอด
เวินจิ้งก็รู้สึกได้แล้วว่า มือไม่รู้จะเอาไปวางที่ไหน จึงรีบวิ่งไปบนเตียงแล้วใช้ผ้าห่มห่มตัวเองไว้
เพียงแต่มู่วี่สิง ก็เดินตามมาติดๆ
เวินจิ้งกัดริมฝีปาก ดวงตามองดูเขาอย่างไรเดียงสา
คอหอยมู่วี่สิงเคลื่อนไหว ดวงตารุกรานยิ่งอยู่ยิ่งมากขึ้น
แขนยาวยื่นออกไป เวินจิ้งที่อยากหลบถูกเขาคว้ามาแนบอก
“มู่วี่สิง คุณปล่อยฉัน…”เวินจิ้งดิ้นรน “คุณไปอาบน้ำ อาบน้ำ”
“ทำไม่ได้” ตอนนี้มู่วี่สิงเหมือนสัตว์ดุร้ายตัวหนึ่ง
เวินจิ้งแทบ…อยากจะร้องไห้แต่ไม่มีน้ำตาไหลออกมา
ผลักเขาออกก็ไม่ไหว หนีก็หนีไม่พ้น
ทำได้เพียงถูกเขากอดแนบอก การกระทำยิ่งอยู่ยิ่งควบคุมไม่ได้แล้ว…
ทั้งสองคนไม่ได้ทำเรื่องแบบนี้มานานมากแล้ว เวินจิ้งค่อนข้างกลัว
แต่มู่วี่สิงอ่อนโยนมาก ปลอบเธออย่างยั่วยวน เวินจิ้ง จึงค่อยๆคลายความต่อต้าน
ร่างกายผ่อนคลายลง เธอหลับตา มือกำผ้าปูที่นอนไว้แน่น
เวลาต่อมา เธอรู้สึกเหมือนมีน้ำอะไรอุ่นๆไหลออกมาจากภายในร่างกาย…
มือรีบยันมู่วี่สิงไว้ เธอหุบขาทั้งคู่
“ฉัน…อันนั้นมา” เธอแทบไม่กล้ามองสีหน้าของมู่วี่สิง
มืดดำมาก
สูดหายใจเข้าลึกๆ มู่วี่สิงเปลี่ยนเป็นกอดเวินจิ้งไว้แทน แล้วจูบเธอ
“ที่นี่มีอันนั้นไหม?” เวินจิ้งถาม
“อันไหน?” มู่วี่สิงขมวดคิ้ว ยังไม่เข้าใจในทันที
“ผ้าอนามัย…”
“ผมไปถามซือซือ”
ที่จริงมู่ซือซือหลับไปแล้ว ดึกดื่นเที่ยงคืนได้ยินเสียงเคาะประตูก็รู้สึกโกรธ เมื่อเปิดประตูก็เห็นพี่ชายตัวเองสีหน้าเคร่งเครียด คำที่อยากด่าก็พูดไม่ออก
ทำไมทำหน้าเหมือนอยากแล้วไม่สมปรารถนา?
“พี่ชาย มีอะไร?”
“ยืมผ้าอนามัย” น้ำเสียงมู่วี่สิงค่อนข้างลำบากใจ
“ฮ่าๆ” มู่ซือซือหัวเราะออกมาอย่างกลั้นไม่ไหว ต่อมาก็แสดงสีหน้าเหมือนเข้าใจอะไรบางอย่าง “เห็นทีอยากแล้วไม่สมปรารถนาแล้วจริงๆ”
สีหน้ามู่วี่สิงยิ่งเคร่งเครียด “อย่าพูดมาก”
“เอาเถอะ เอาไปสิ” มู่ซือซือโยนให้เขาห่อใหญ่
……………..
เช้ารุ่ง เวินจิ้งตอนขึ้นมาในอ้อมกอดของมู่วี่สิง
มือแนบอยู่ตรงหน้าอกเขา สัมผัสได้ถึงอุณหภูมิในร่างกายที่อบอุ่นของเขา
ใบหน้าแดงอย่างขวยเขิน คิดถึงภาพเมื่อคืนที่เกือบต้องฝ่าไฟแดง
คางถูกเชยขึ้น มู่วี่สิงตื่นเช้ากว่าเธอ มองดูเธอนอนอย่างสบาย ริมฝีปากบางยักขึ้นบางเบา
“จะไม่สบายไหม?” เสียงของผู้ชายในตอนเช้าจะแหบอย่างมีเสน่ห์
เวินจิ้งส่ายหัว เธอปวดท้องเวลาเป็นประจำเดือนน้อยมาก เมื่อก่อนก็มีปวดบ้าง มู่วี่สิงก็จะคอยดูแลเธอ
วันเวลาแบบนี้ คิดไม่ถึงว่ายังสามารถกลับมามีได้อีก
ทานอาหารเช้าเสร็จแล้ว มู่วี่สิงส่งเธอกลับไปยังมหาวิทยาลัยหลินไห่ก่อน
“คืนนี้รอผมอยู่ที่ห้องทำงาน” เขาสั่งไว้
เวินจิ้งพยักหัว “ผลตรวจของคุณปู่คุณไปเอาด้วยนะ มีอะไรก็บอกฉัน”
“อืม” มู่วี่สิงโอบไหล่เธอมากอด แล้วก็จูบเธอก่อนจะไป
กลับมาถึงบริษัทมู่ซื่อกรุ๊ป เกาเชียนรออยู่ตั้งแต่เช้าแล้ว
“ท่านประธานมู่ บริษัทฉีซื่อกรุ๊ปได้เงินลงทุนแล้ว” เกาเชียนรายงาน
ได้ยินเช่นนี้แล้ว สีหน้ามู่วี่สิงเคร่งขรึม “ใครให้เงินลงทุน?”
“สืบไม่พบ”
ข้อมูลของคนที่ลงทุนนี้ลึกลับมาก เกาเชียนสะกดรอยติดตามฉีเซินอยู่ตลอด แต่ก็ไม่พบอะไรเลย
มู่วี่สิงจับระหว่างคิ้วอย่างอ่อนล้า “สืบต่อไป”
ตอนบ่าย เวิยจิ้งเลิกเรียนแต่เช้าแล้ว จึงไปโรงพยาบาลเพื่อไปเอาผลตรวจร่างกายของเธอ
ก่อนหน้านี้ที่เธอไปเอานั้น น่าจะถูกมู่วี่สิงเปลี่ยนแล้วแต่แรก เธอจึงต้องไปตรวจด้วยตัวเองอีกครั้งหนึ่ง
เมื่อได้เจอหมอ เวินจิ้งรู้สึกกลัวอย่างบอกไม่ถูก
ถึงแม้จะพอรู้อาการของร่างกายตัวเอง แต่ตอนนี้ต้องเผชิญหน้าด้วยตัวเอง เธอจึงยังคงตื่นเต้น
“คุณเวิน ผมดูผลตรวจเอกซเรย์ของคุณแล้ว ก้อนเนื้องอกในสมองของคุณที่จริงสามารถตัดออกได้ แต่อาจเป็นเพราะตำแหน่งค่อนข้างพิเศษ หากตัดออกอาจมีผลกระทบต่อระบบประสาท และส่งผลกระทบต่ออาการอย่างอื่น อย่างไม่อาจคาดการณ์ ผมจึงแนะนำว่าไม่ต้องตัดออก ไม่อย่างนั้นในระหว่างผ่าตัดก็มีความอันตรายแล้ว” คุณหมอพูดอย่างหนักแน่น
สีหน้าเวินจิ้งเศร้า เธอเองก็กำลังเรียนเกี่ยวกับระบบประสาท จึงรู้ถึงความอันตรายที่มี แต่ความจริงนี้ เธอคาดหวังให้คนอื่นเป็นคนบอกเธอ
เป็นแบบนี้จริงๆ
สีหน้าเธอค่อยๆซีดลง
“ฉันยังมีเวลาอีกเท่าไหร่”
“หากใช้ยารักษา ตามที่เคยมีประวัติการรักษามา หากโชคดีสามารถมีชีวิตอยู่ได้ห้าปี แต่ปกติแล้วก็จะประมาณสามปี”
เวินจิ้งพยักหัว อยากที่จะปรับสติอารมณ์ของตัวเองให้ดีนั้นยากมากเลย
เธอไม่รู้ตัวเลยว่าออกมาจากโรงพยาบาลได้อย่างไร ลมเย็นๆด้านนอกพัดผ่าน เธอโอบไหล่ไว้ คุกเข่าลงอย่างทรมาน ดวงตายิ่งอยู่ยิ่งแดง
หนาวเย็นจนถึงกระดูก
ผ่านไปสักพัก ก็มีเสียงฝีเท้าค่อยๆเข้ามาใกล้ หลิงอี้ถอดเสื้อคลุมตัวนอกออก แล้วคลุมบนตัวเวินจิ้ง
“เวินจิ้ง” เขาร้องเรียก
แต่ยังไงเธอก็ไม่หันมามอง
หลิงอี้ยืนอยู่ด้านข้างเธอ ช่วยเธอบังลมเย็นๆที่พัดมา
ตอนที่เวินจิ้งลุกขึ้นยืน ขาก็อ่อนไปทั้งหมดจนแทบยืนไม่ไหว
หลิงอี้ประคองเธอไว้มั่น
เหนื่อยน่ามองดูเห็นเป็นหลิงอี้ เวินจิ้งดูแปลกใจมาก
เสื้อคลุมบนตัวไหลหล่นลง เวินจิ้งตัวแข็ง
“ขอบคุณ ฉันไม่หนาว” เวินจิ้ง เอาเสื้อคลุมยื่นคืนให้เขา
แต่หลิงอี้ไม่รับ
สายตายังคงมองเธออย่างลึกซึ้ง
“เป็นอะไร?”
“ทำไมถึงร้องไห้?” หลิงอี้ยังคงเอาเสื้อคลุม คลุมบนตัวเธออย่างดื้อรั้น
“ไม่ได้ร้องไห้” เวินจิ้งหันหน้าไปทาง
แต่ดวงตาสีแดงกลับใบหน้าที่สีขาวซีดของเธอไม่สามารถปิดบังได้
“ต้องการไหล่ของผมให้คุณพิงไหม?” หลิงอี้ถาม
เวินจิ้งส่ายหัว “ไม่เป็นอะไรจริงๆ”
“งั้นให้ผมไปส่งคุณได้ไหม?”
“ได้”
เข้าไปนั่งในรถ เวินจิ้ง เหม่อลอย ในสมองมีแต่คำพูดของหมอ
เหมือนกับตอนนั้นที่เธอได้ยินคำสนทนาด้านนอกห้องทำงาน
สามปี
เธอมีเวลาเพียงแค่สามปี
ทั้งตัวเวินจิ้งประกายความรู้สึกที่เจ็บปวด หลิงอี้รู้สึกได้อย่างชัดเจน
ขมวดคิ้วไว้ เขาไม่ได้ขับรถไปที่มหาวิทยาลัย แต่ขับไปที่ห้างสรรพสินค้าห้างหนึ่ง
เวินจิ้งรู้สึกตัว แล้วมองดูเขายังสงสัย
“ลงรถ ผมพาคุณไปสถานที่แห่งหนึ่ง”
หลิงอี้พาเธอไปยังห้องคาราโอเกะขนาดเล็กห้องหนึ่ง เวินจิ้งนั่งลงแล้วก็ยิ่งสงสัย
“เวินจิ้ง อยู่ที่นี่อยากร้องไห้ก็ร้องเลย”
พูดเสร็จ หลิงอี้ก็ช่วยเธอสวมหูฟัง ปรับเสียงดนตรีให้ดังที่สุด
เวินจิ้งกระพริบตา ฟังเสียงดนตรีที่เปิดอยู่ในหูฟัง ผ่อนคลายสบาย อารมณ์ก็ค่อยๆดีขึ้นไม่น้อย
ไมโครโฟนถูกส่งมาตรงหน้าเธอ เวินจิ้งเงยหน้าขึ้น หางตาหลิงอี้กำลังยิ้มอยู่
“ฉันร้องเพลง…ไม่น่าฟัง” เวินจิ้งเกรงๆ
เธอร้องเพลงไม่ถูกจังหวะมาตั้งแต่เด็ก
“ไม่เป็นไร ผมเป็นผู้ฟังของคุณได้ตลอด”
เวินจิ้งรับเอาไมโครโฟนมา เพียงร้องง่ายๆไม่กี่คำ น้ำตาก็เปียกดวงตา เธออดทนไว้ไม่ให้ไหลออกมา
สูดจมูกเข้าลึกๆ ในที่สุดเธอก็อารมณ์ดีขึ้นมาบ้าง
ก่อนออกจากห้องร้องคาราโอเกะขนาดเล็ก เวินจิ้งมองดูหลิงอี้ “ขอบคุณนะ”
“ไปทานข้าวไหม?” ถึงแม้หลิงอี้จะถาม แต่ก็ได้พาเธอมาถึงห้องอาหารร้านหนึ่งแล้ว
เป็นร้านสุกี้ร้านหนึ่ง แขกเยอะมาก แต่ดูเหมือนผู้จัดการจะรู้จักหลิงอี้ ข้างนอกยังมีคนรออยู่ไม่น้อย แต่หลิงอี้กลับได้ที่นั่งแล้ว
“ทานอะไรเผ็ดๆหน่อย อยากร้องไห้ก็ร้องไห้”