Flash Marriage เธอต้องแต่งงานกับฉัน - ตอนที่ 432
บทที่ 432 เตรียมการแต่เนิ่น
ฉีเซินปากจิบ และนั่งนิ่งเงียบไปนาน
“ฉันจะออกไป” เวลาผ่านไปเนิ่นนาน ถึงจะพูดด้วยเสียงอันหนักแน่นออกมา
“คุณคิดว่ามันเป็นไปได้หรือ? นอกเหนือจากผลิตยาปลอม ในมือมู่วี่สิงยังมีหลักฐานที่คุณข่มขืนมู่ซือซือในปีนั้นด้วย อาชญากรรมทั้งสองนี้ เพียงพอสำหรับคุณนั่งยองในคุกตลอดชีวิต” หลินเวยส่ายหัว
ฉีเซินยิ้มด้วยรอยยิ้มอันเย็นชา ไม่เคยคิดว่าจะมีวันนี้
แต่ว่า เขาได้เตรียมการแต่เนิ่น
“เวินจิ้งทำการผ่าตัดหลังจากที่เกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์ ระหว่างที่ทำการผ่าตัด ในสมองของเธอได้ถูกชิปไว้ ควบคุมโดยการใช้ยาอย่างเดียว และไม่สามารถเอาออกได้”
“อะไรนะ?” สีหน้าหลินเวยซีดลงทันที
“คุณคิดว่าผมกำลังโกหกคุณเหรอ? หากคุณไม่เชื่อ ก็คอยดูเวินจิ้งถูกชิปนั้นคุกคาม ความทรงจำของเธอจะค่อยๆหายไป รอจนความทรงจำนั้นหายไปหมด เธอก็จะเสียชีวิตในที่สุด”
“แกมันไร้สาระ” หลินเวยโกรธจนทนไม่ได้
ทนไม่ไหวจนต้องลุกขึ้น ดวงตาสีแดงก่ำ จ้องไปที่ฉีเซิน
แต่เขายังคงมีท่าทีที่สงบนิ่งดั่งเมฆที่เบาบางและลมที่พัดเบาๆ
“จริงหรือ? งั้นตอนนี้คุณก็ออกไปได้แล้ว พวกไม่มีอะไรที่จำเป็นต้องคุยกันอีกแล้ว”
หลินเวยอยากที่จะออกจากที่นี่ แต่เท้าเหมือนกับถูกยึดติดไว้ ไม่สามารถขยับได้
จิตใจของเธอค่อยๆเย็นลง
“ทำไมคุณถึงทำเช่นนี้” เวลาผ่านไปนานโข แล้วเธอก็เลือกที่จะนั่งลง
“ผมรู้ความสามารถมู่วี่สิง เขาไม่ปล่อยผมไปหรอก ผมได้แต่ชิงลงมือก่อน” ฉีเซินพูดด้วยน้ำเสียงอันหนักแน่น
หลินเวยลดสายตาลง ในมือกำหมัดไว้แน่น แต่ก็รู้สึกกลัวจนสั่นไปทั้งตัว
เธอต้องไม่ปล่อยให้ลูกสาวของเธอมีปัญหา
“สิ่งที่ฉันทำได้ ก็แค่ช่วยได้เพียงลดโทษให้คุณเท่านั้น” น้ำเสียงของหลินเวยก็อ่อนลงมาก
“ภายในสามปี” ฉีเซินกล่าว
“ฉันจะหาวิธีเอง ยาอยู่ที่ไหน?” หลินเวยถามอย่างประหม่า
“ตู้ใบที่สามในห้องหนังสือ แต่ว่ามีเพียงพอสำหรับหนึ่งเดือนเท่านั้น จากนั้น ก็คอยดูว่าคุณแม่จะทำอย่างไร” ฉีเซินยิ้มด้วยชัยชนะ
หลินเวยไม่รู้ว่าตัวว่ากลับบ้านตระกูลฉีได้อย่างไร รถยนต์จอดหน้าประตูเป็นเวลานานแล้ว
ร้องไห้จบไปนานแล้ว เหลือเพียงแต่ความเจ็บปวดในใจเท่านั้น
เธอเลี้ยงลูกสารเลวคนนี้เติบโตมาได้อย่างไร
“คุณนาย?” เห็นสีหน้าของหลินเวยไม่สู้ดีนัก คนขับรถเรียกเธออย่างตกอกตกใจ
รถจอดอยู่หน้าประตูเป็นเวลานานแล้ว
หลินเวยรู้สึกตัวอีกที ก็เข้าไปเอายาที่ห้องหนังสือ จากนั้นก็รีบไปที่โรงพยาบาล
ช่วงเวลานี้มู่วี่สิงยังคงคอยดูแลเวินจิ้งอยู่ในห้องผู้ป่วย คนหนึ่งอ่านหนังสือ คนหนึ่งจัดการงานของบริษัท
ดูเหมือนว่าจะกลายเป็นความเข้าใจโดยปริยายระหว่างคนทั้งสอง
เมื่อหลินเวยเข้ามา เขาก็ได้ปรับอารมณ์ของเขาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
หลังจากที่มองมู่วี่สิงไปกระพริบตาหนึ่ง เธอพูดด้วยเสียงต่ำว่า “คุณมู่ ฉันมีเรื่องอยากจะคุยกับเวินจิ้ง”
มู่วี่สิงพยักหน้า “ผมจะไปเอาอาหารเย็นพอดี”
ในหน้าผู้ป่วยเพียงคนสองคน
หลินเวยเดินเข้ามา เมื่อมองไปที่เวินจิ้ง สายตาของเธอก็ไม่สามารถซ่อนความทุกข์นั้นได้
“เสี่ยวจิ้ง ยังมีอาการปวดหัวหรือไม่?” หลินเวยถามด้วยความกังวล
“ดีขึ้นแล้วค่ะ รู้สึกไม่สบายก็ยังมีบ้าง บางครั้งที่คิดเรื่องต่างๆก็จะรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย แต่ว่าเรื่องความทรงจำของฉันไม่ดีเหมือนเมื่อก่อนแล้ว” เวินจิ้งสารภาพ
บางครั้งตอนเช้าอ่านหนังสือ เมื่อถึงตอนบ่ายกลับลืมไปหมดแล้ว
สิ่งนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
“คุณแม่ ท่านร้องไห้ทำไมค่ะ?” เวินจิ้งเงยหน้า สัมผัสกับสายตาของหลินเวย เธอรู้สึกตระหนกเล็กน้อย
หลินเวยหันหลังให้เธอ เมื่อได้ยินคำพูดของเวินจิ้ง น้ำตาเหมือนกับจะแตกออกมา
“แม่ก็เพียงแต่สงสารลูกมากเกินไป”
“คุณหมอมู่บอกว่าสิ่งเหล่านี้จะดีขึ้นในอนาคต คุณแม่ ท่านวางใจเถอะ”
“ฉันไม่ไว้ใจ” หลินเวยพูดด้วยอาการตัวสั่น
เธอมานี่ก็เพื่อเอายามาให้เวินจิ้ง ส่วนเรื่องจริงที่ฉีเซินบอกกับเธอนั้น เธอทนไม่ได้ที่จะบอกเวินจิ้ง
แต่ว่า เมื่อเธอเอายาให้แก่เวินจิ้ง เธอก็จะรู้เรื่องนี้
“คุณแม่”
“แม่ก็แค่มาเยี่ยมเธอ คุณหมอมู่ได้บอกไหมว่าจะได้ออกจากโรงพยาบาลเมื่อไร?”
“ประมาณอีกหนึ่งอาทิตย์ค่ะ”
“พักผ่อนเยอะๆนะ แม่กลับก่อนละ”
เมื่อคำพูดจบลง หลินเวยออกไปอย่างรวดเร็ว เกรงว่าเห็นเวินจิ้งแล้ว จะควบคุมอารมณ์ไม่อยู่
หลังจากหยุดไปชั่วครู่ เธอก็ก้าวเท้าไปทางห้องทำงานของมู่วี่สิง
“คุณนายหลิน” มู่วี่สิงเรียกอย่างสุภาพ
หลินเวยพยักหน้า นั่งลงฝั่งตรงข้ามเขา
ทราบว่าเขามีเรื่องจะคุยด้วย มู่วี่สิงเดินไปปิดประตูไว้
ดวงตาของหลินเวยแดงระเรื่อ ดูเหมือนร้องไห้มาพักหนึ่งแล้ว
“หลังจากที่เวินจิ้งเกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์ระหว่างทำการผ่าตัดนั้นฉีเซินได้ฝังชิปไว้ในสมองเธอ”
เมื่อตอนมาเยี่ยมผู้ป่วยคำพูดของฉีเซินที่พูดคุยกับหลินเวย หลินเวยได้เล่ารายละเอียดทั้งหมดออกมา
มู่วี่สิงเป็นถึงคุณหมอ ก่อนอื่นเขาจำเป็นต้องถามให้แน่ใจเสียก่อนว่าสามารถกำจัดชิปนี้ได้หรือไม่ ถ้าหากได้ อย่างนั้นก็สามารถเลี่ยงภัยคุกคามจากฉีเซินได้
ถึงแม้ว่าเขาจะรู้สึกว่าความเป็นไปได้ มันน้อยมาก
มู่วี่สีรีบหาภาพเอกซเรย์ของเวินจิ้งมาเปรียบเทียบดู สายตาจ้องมองไปที่จุดสีดำๆฝั่งสมองซีกขวา
เนื่องจากมีขนาดเล็กมาก ดังนั้นจึงถูกจัดประเภทเป็นปมอ่อนโยนโดยอัตโนมัติ
แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่า มันจะไม่ใช่แล้ว
“หากจะวินิจฉัย จำเป็นต้องผ่าตัดเปิดสมองอีกรอบ แต่ว่าเวินจิ้งเพิ่งจะมีการผ่าตัดครั้งสำคัญ ไม่สามารถทำแบบนี้อีก” มู่วี่สิงกุมหน้าลง
“ฉีเซินให้ยาฉันบางส่วน บอกว่าสามารถใช้ควบคุมอาการของเวินจิ้งได้ แต่การทานยาตลอดมักจะมีผลข้างเคียง ยิ่งไปกว่านั้นของสิ่งนี้มันอยู่ในสมองของเสี่ยวจิ้ง อย่างไรก็เป็นบ่อเกิดของอาการ” หลินเวย กล่าวด้วยน้ำเสียงต่ำๆ
แต่เมื่อครู่ได้ยินคำพูดของเวินจิ้ง เธอเริ่มมีอาการความทรงจำเลือนรางแล้ว
เธอไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไรดี
“ผมต้องเอายานี้ไปตรวจสอบส่วนผสมก่อน คุณนายหลินครับ ฉีเซินได้พูดเงื่อนไขอะไรกับท่านบ้างครับ” มู่วี่สิงถามด้วยความกระตือรือร้น
“เขาขอให้ฉันช่วยเขาพ้นโทษ แต่ฉันบอกว่า ฉันทำได้เพียงช่วยลดโทษเท่านั้น”
มู่วี่สิงหลับตาลง มือค่อยๆกำจนแน่น
“มู่วี่สิง หากไม่ทางออกจริงๆ ก็ให้ฉีเซินออกมาเถอะ บริษัทมู่ซื่อกรุ๊ปจะไปฟ้องแล้ว” หลินเวยอ้อนวอน
ขอเพียงบริษัทมู่ซื่อกรุ๊ปเปลี่ยนคำให้การ รวมทั้งเรื่องของมู่ซือซือในปีนั้นไม่ให้แพร่งพรายออกไป ความผิดของฉีเซินก็ยังมีโอกาสถูกยกฟ้องได้
แต่ว่า เรื่องนี้สำหรับมู่วี่สิงแล้ว มันยากเกินไป
หลินเวยก็ไม่มีทางเลือกถึงเอ่ยปากพูด
เธอไม่ทราบว่าตัวเองพูดถูกหรือไม่ แต่เพื่อเวินจิ้งแล้ว เธอจำเป็นต้องทำเช่นนี้
“คุณนายหลินครับ เดี๋ยวผมให้คนไปส่งนะครับ” มู่วี่สิงยังไม่ตอบคำถามของเธอ
ในห้องทำงานกลับมาเงียบเหมือนเดิม มู่วี่สิงนำยานั้นไปตรวจสอบหาส่วนผสมด้วยตัวเอง เมื่อเห็นผลลัพธ์แล้ว สีหน้าของเขาก็หมองคล้ำลง
ไม่ได้กลับไปที่ห้องผู้ป่วยของเวินจิ้ง แต่มู่วี่สิงกลับไปที่บ้านเก่าของตระกูลมู่
มู่ซือซือมองพี่ชายอย่างคาดไม่ถึง เขาไม่กลับมานานมากแล้ว
“พี่ชายคะ คืนนี้ลมอะไรพัดคุณมาถึงที่นี่คะ” มู่ซือซือลงมาจากชั้นสอง
“นี่คือบ้านผม” มู่วี่สิงขมวดคิ้ว
“แน่นอนฉันรู้ แต่ช่วงนี้บ้านคุณอยู่ที่โรงพยาบาลนี่” มู่ซือซือพึมพำ
“ไม่อยากเห็นพี่ชายเหรอ”
“แน่นอนว่าไม่ใช่ ดึกขนาดนี้ฉันจะเข้านอนแล้วนะ เชิญคุณตามสบายนะคะ” คำพูดจบลง มู่ซือซือก็กลับไปที่ห้องนอน
ช่วงนี้ฉีเซินถูกจับแล้ว เธอดีใจเป็นอย่างมาก นอนเช้าตื่นเช้าเพื่อชีวิตและสุขภาพที่ดี
มองเห็นด้านหลังของน้องสาว ใต้ดวงตาที่ลึกเข้าไปของมู่วี่สิงค่อยๆแพร่กระจาย
หลายวันต่อมา เวินจิ้งก็ไม่ได้เจอมู่วี่สิง
หลิงเหยามาเยี่ยมทุกวัน เวินจิ้งก็ไม่น่าจะเบื่อเกินไป
แต่เมื่อมู่วี่สิงไม่อยู่ ไม่ว่าจะเป็นหลิงเหยาก็รู้สึกแปลกๆ