Flash Marriage เธอต้องแต่งงานกับฉัน - ตอนที่ 549
บทที่ 549 อยากเจอเขาจริง ๆ
นอกห้องผ่าตัดนั้น เห็นเพียงไฟสีแดงสว่างอยู่
หลิงเหยากอดพี่ชายไว้ ร้องไห้จนหมดแรง
แต่ยังคงฝืนลืมตา แล้วมองดูห้องผ่าตัดอย่างไม่กระพริบตา
สามชั่วโมงผ่านไป ไฟสีแดงในห้องผ่าตัดได้ดับลง
หมออีกคนเดินออกมา หลิงเหยาจึงรีบเข้าไปจับแขนเขาแน่น ๆ “คุณหมอ……คุณเป็นหนูเป็นยังไงบ้าง”
หมอคนนั้นปิดปาก ไม่ได้พูดอะไร
หลังจากนั้นมู่วี่สิงเดินออกมา เขาถึงพูดเบา ๆ “ขอโทษด้วยจริง ๆ”
หลิงเหยาลืมตาข้างไว้ และตอนนี้เธอไม่สามารถยืนอยู่ได้อีก เธอหมดสติไปในอ้อมแขนของหลิงอี้
หลิงอี้ดูสีหน้านิ่ง ๆ แต่นัยน์ตาค่อย ๆ แพร่กระจายความเจ็บปวดไปทั่วทุกที่
“แม่ของผม……”
“พวกคุณอาจจะได้เห็นแกครั้งสุดท้ายแล้ว” มู่วี่สิงถอดหน้ากากออก แล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่หนักหน่วง
ต่อมา หลิงอี้คว้าคอเสื้อของมู่วี่สิงไว้แน่น ๆ ชายสองคนที่สูงเท่ากันได้เผชิญหน้าต่อกัน
เมื่อเห็นสถานการณ์แบบนี้ หมอที่อยู่ข้าง ๆ ก็พูดเตือนสติเขา “ญาติผู้ป่วยครับ รบกวนระงับอารมณ์ด้วยนะครับ”
หลิงอี้หรี่ตาลงและกำหมัดไว้แน่น ๆ ผ่านไปสักพัก เขาถึงค่อย ๆ ปล่อยมู่วี่สิง
มู่วี่สิงพูดอย่างเคร่งขรึม “เสียใจด้วยนะ”
หลิงอี้สั่งให้ผู้ช่วยส่งหลิงเหยากลับไปก่อน ส่วนเขาจะเข้าไปห้องผู้ป่วย
แต่ว่า คุณนายหลิงหลับตาไปแล้ว เธอพยายามเปิดปากจะพูดอะไรสักอย่าง แต่ไม่สามารถพูดออกมาได้
หลิงอี้ยืนอยู่ข้าง ๆ น้ำตาอุ่น ๆ นั้น ค่อย ๆ ไหลออกมาจากดวงตา
เขาตัวสั่นไปหมด เขาก้มตัวลงแล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเศร้า “แม่……”
สองชั่วโมงต่อมา หลิงเหยาตื่นขึ้นมาในห้องผู้ป่วยอีกห้องด้วยสายตาอันอ้างว้าง
พยาบาลเข้ามาดึกเข็มน้ำเกลือออก เธอจึงถามอย่างรีบร้อนขึ้นมา “แม่ของฉันล่ะ……”
พยาบาลไม่ทราบสถานการณ์เหมือนกัน จึงตอบเธอไม่ได้
หลิงเหยาจึงรีบลุกขึ้นเดินอย่างโซเซ แล้วพยาบาลคนนั้นก็พยายามห้ามเธอ “คุณหลิง คุณต้องหยอดน้ำเกลือต่อนะคะ”
“ไม่หยอดแล้ว!”
เธอรีบเดินออกมาตรงทางเดิน และไม่รู้ว่าตอนนี้อยู่ชั้นไหน จึงรีบวิ่งไปทางลิฟต์ เมื่อประตูลิฟต์เปิดออก มู่วี่สิงที่สวมชุดคลุมสีขาวเดินออกมา
หลิงเหยาวิ่งเข้าไปกอดเขาไว้ “วี่สิง แม่ฉัน……พาฉันไปหาแม่ที!”
เสียงของหลิงเหยานั้นเศร้ามาก และเธอจับแขนเสื้อของมู่วี่สิงไว้แน่น ๆ ด้วยสายตาที่คาดหวัง
แม่ของเธอต้องไม่เป็นอะไร
ไม่มีทาง
มู่วี่สิงขมวดคิ้ว แล้วพยักหน้าเบา ๆ
แต่ ที่ที่เขาจะพาหลิงเหยาไปนั้นไม่ใช่ห้องผู้ป่วยอีก แต่เป็น……ห้องเก็บศพ
สีหน้าหลิงเหยาซีดเซียวลงทันที ลืมตากว้าง ๆ แล้วมองหน้ามู่วี่สิงไว้ เธอยังคงส่ายหัวและพึมพำไม่หยุด “ไม่……วี่สิง คุณพาฉันไปหาแม่ คุณแม่ไม่ได้อยู่ที่นี่……”
ที่ไม่ไกล เห็นหลิงอี้กำลังสูบบุหรี่อยู่ เขาดับบุหรี่นั้นแล้วเดินเข้ามากอดหลิงเหยาไว้
“แม่ไปอย่างสงบแล้ว สิ่งที่แกควรสั่งเสีย แกบอกพี่หมดแล้วนะ”
“พี่ หนูไม่เชื่อพี่หรอก……พวกพี่กำลังโกหกหนูอยู่ใช่มั้ย!” น้ำเสียงของหลิงเหยาฟังแล้วทำให้ใจสลาย
แม้ว่าเธอรู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าอัตราความสำเร็จของการผ่าตัดอยู่ที่ 50 % แต่เธอคิดว่า ถ้าเป็นมู่วี่สิงเป็นคนผ่าตัดให้ แม่ของเธอต้องไม่เป็นอะไรอย่างแน่นอน
แต่ความเป็นจริงมันช่างเจ็บปวดเหลือเกิน
“พี่ พาหนูไปหาแม่ที ขอร้องแล้วล่ะ……” หลิงเหยายังคงไม่ตายใจ
หลิงอี้ไม่พูดอะไร เขาดึงหลิงเหยาเข้ามากอดไว้แน่น ๆ อีกครั้ง แล้วค่อยพูด “เหยาเหยา ต่อจากนี้พี่จะดูแลเธอให้ดีที่สุดนะ”
เสียงร้องไห้ของหลิงเหยาค่อย ๆ ดังขึ้น หลิงอี้จึงกอดเธอแล้วเดินจากไป แต่เธอก็ได้หันมองมาที่มู่วี่สิงด้วยสายตาอันลึกซึ้ง
ตอนค่ำวันนั้น คาเยนน์สีดำขับเข้าไปใน มหาวิทยาลัยF
รถของมู่วี่สิงขับเข้าไปจอดที่ชั้นล่างของหอพักหญิงแล้วดับเครื่องลง จากนั้นเขาเงยหน้าขึ้น
หอพักของเวินจิ้งอยู่ชั้นห้า เขาสามารถมองเห็นแสงไฟที่เปิดไว้ตรงระเบียงห้องด้านขวาสุดได้อย่างชัดเจน
สายตาจดจ่ออยู่ตรงนั้น จนถึงเวลาเที่ยงคืน ไฟได้ดับลง
เวินจิ้งดับไปนอน อันที่จริงเธอเห็นรถของมู่วี่สิงในตอนที่ออกมาตากผ้าตรงระเบียงแล้ว
ทั้งสอง……ไม่ได้ติดต่อกันเป็นเวลาสองวันแล้ว
ฉากที่เธอทะเลาะกับมู่วี่สิงยังอยู่ในสมอง แต่เรื่องที่บอกให้มู่วี่สิงไปอยู่กับหลิงเหยานั้น ก็แค่การระบายความโกรธเท่านั้น
แต่เขาทำไมถึงเชื่อมันไปได้
กลิ้งไปกลิ้งมาบนเตียง เวินจิ้งนอนไม่หลับสักที เธอจึงหยิบโทรศัพท์ออกมาแล้วเห็นโพสต์ของหลิงอี้
สองคำ : สู่สุคติ
เวินจิ้งตกใจ คุณนายหลิงเสียแล้วเหรอ?
เวินจิ้งรีบลุกขึ้นนั่ง แล้ววิ่งไปดูที่ระเบียง รถของมู่วี่สิงยังจอดอยู่
คุณนายหลิงเสียแล้ว หลิงเหยาคงต้องเสียใจมากเลยสิ
ทั้งสองเคยเป็นเพื่อนสนิทกัน ถึงยังไงเวินจิ้งก็ยังมีความเป็นห่วงหลิงเหยาอยู่
แต่ว่า ทำไมมู่วี่สิงไม่ได้อยู่กับเธอ?
เธอจ้องไปที่คาเยนน์สีดำคำนั้นอย่างไม่กระพริบตา ในที่สุด รถคันนั้นก็ค่อย ๆ ขับออกไปจนละสายตาเธอไป
เวินจิ้งจับราวระเบียงไว้แน่น ๆ แล้วกัดริมฝีปากไว้
วันต่อมา เวินจิ้งรอโจวเซินในชั้นเรียน เขาทั้งสองต้องทำการบ้านให้เสร็จ
เห็นได้อย่างชัดเจนว่าเวินจิ้งเหม่อลอยอยู่ตลอด และทำผิดพลาดไปหลายครั้ง
โจวเซินไม่ได้โกรธ แต่กลับแนะนำเธออย่างอดทน จนทำให้เวินจิ้งค่อย ๆ ตั้งสมาธิได้
จนถึงเที่ยววัน ทั้งสองออกจากห้องเรียน เวินจิ้งหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา แล้วเห็นหลายสายที่ไม่ได้รับจากหลินเวย เธอจึงรีบโทรกลับ
คุณนายหลิงเสียแล้ว ก่อนหน้านั้นหลินเวยกับเธอมีความสัมพันธ์กันดีมาก ดังนั้นหลิงเวยจึงอยากชวนเวินจิ้งไปร่วมงานศพคุณนายหลิงด้วย
เวินจิ้งดูตารางเวลา ซึ่งตรงกับวันสุดสัปดาห์พอดี
โจวเซินยืนอยู่ไม่ไกล และสายตาของเขาจดจ่อแต่ตัวของเวินจิ้ง
ปกติแล้วเธอจะแต่งตัวแบบสบาย ๆ เสื้อยืดสีขาวกางเกงยีนส์ ซึ่งหุ่นเธอดูดีและผอมเพรียวมาก
เขาเม้มริมฝีปากไว้ เมื่อเห็นเวินจิ้งวางสายลง ค่อยเดินเข้าไปหา
“ไปกินข้าวด้วยกัน เดี๋ยวช่วยบ่ายต้องไปวิจัยต่ออีก” น้ำเสียงโจวเซินฟังแล้วดูเหมือนเป็นคำสั่ง
เวินจิ้งจึงจำเป็นต้องพยักหน้าตอบ และเธอยังคงมีสีหน้าอันเหม่อลอยในขณะที่กินข้าวกันอยู่
คำพูดของโจวเซินเธอลืมไปในพริบตา ราวกับว่าเธอเป็นร่างไร้วิญญาณอย่างนั้น
“เวินจิ้ง ตอนนี้เธอพูดแย่มากเลยนะ กลับไปพักผ่อนก่อนไหม?”
“ฉันไม่เป็นไร” เวินจิ้งฝืนยิ้มออกมา แต่ว่า รอยยิ้มนั้นดูแย่กว่าการร้องไห้
“ขอโทษด้วยนะ ฉันจะตั้งสติให้ได้”
“เดี๋ยวผมส่งคุณกลับไปหอพัก คุณไปพักผ่อนดี ๆ ก่อน แล้วได้กินยาที่หมอสั่งไหม?” โจวเซินขมวดคิ้ว
วันก่อนหมอได้ให้ยาเธอกลับไป แต่ว่า……เวินจิ้งลืมสนิทเลย
เธอทำหน้าไม่ถูก
“ฉันจำได้”
โจวเซินมองหน้าเธอไว้ โดยรู้ว่าอารมณ์ของเธอแบบนี้ต้องได้รับผลกระทบจากมู่วี่สิงอีกแล้วแน่เลย
นัยน์ตาที่เต็มไปด้วยความเย็นเยือก แต่เขาไม่ได้พูดอะไร
ช่วยบ่ายเวินจิ้งกลับไปที่หอพัก เธอเปิดดูข่าว เพื่อตั้งใจจะดูว่ามีข่าวของมู่วี่สิงบ้างไหม
แต่ไม่เห็นข่าวของมู่วี่สิงเลย มีแต่ข่าวบ้านหลิงเต็มไปหมด
ช่วงนี้บริษัทหลิงซื่อพบกับวิกฤตหลายด้าน และคุณนายหลิงได้เสียชีวิตอีก จึงทำให้หุ้นในตลาดหลักทรัพย์ของบริษัทหลิงซื่อต้องดิ่งลงไปเรื่อย ๆ ส่วนตัวของหลิงอี้ก็ถูกนักข่าวรายล้อมไปทุกที่
เธอไม่มีอารมณ์มาสนใจเรื่องนี้ ทั้งสมองของเธอมีแต่เรื่องของมู่วี่สิงคนเดียว
ณ เวลานี้ เขายังอยู่โรงพยาบาลเหรอ?
เธอคิดถึงเขามาก อยากเจอเขามาก
ครึ่งชั่วโมงต่อมา เวินจิ้งไปที่โรงพยาบาล
ไปถึงชั้นแผนกศัลยกรรมประสาท วันนี้เป็นวันทำงานของมู่วี่สิง มีคนไข้จำนวนมากมาเข้าแถวรอการรักษา เวินจิ้งยืนอยู่ในลิฟต์ ไม่กล้าก้าวออกไปข้างนอก