Flash Marriage เธอต้องแต่งงานกับฉัน - ตอนที่ 56
บทที่ 56 ฉันเป็นผู้ชายของเธอ
ณ ร้านอาหารหยูนติ่ง
โต๊ะยาวถูกแบ่งออกเป็นสองฝั่ง ฝั่งหนึ่งเป็นคนจากบริษัทการผลิตยาเทียนอี ส่วนอีกฝั่งเป็นคนจากบริษัทฉินซื่อกรุ๊ป และตรงกลางนั่นเป็นที่นั่งของฉืออี้เหิง
เวินจิ้งนั่งลงยังด้านหนึ่งของโต๊ะ เธอพึ่งจะโทรบอกมู่วี่สิงว่าเย็นนี้เธอไม่ได้กลับไปทานข้าวด้วย
พอวางสายปุ๊บฉืออี้เหิงก็เดินเข้ามาพอดี แล้วเขาก็ต้องขมวดคิ้วเมื่อเห็นว่าที่นั่งของเขานั้นอยู่ตรงกลาง
พอเห็นอย่างนั้น เขาก็สลับที่นั่งมานั่งข้างเวินจิ้งแทน!
“ตามสบายเถอะทุกคน ไม่ต้องมีพิธีรีตองอะไรมากหรอก ยังไงต่อจากนี้พวกเราก็ยังจะต้องทำงานร่วมกันไปอีกนาน สนิทกันไว้เถอะ” พอฉืออี้เหิงพูดอย่างนั้น ทุกคนก็ผ่อนคลายกันมากขึ้น
เวินจิ้งเองก็คุยกับอั้ยเถียนอยู่ตลอด เธอไม่มีท่าทีสนใจฉืออี้เหิงที่นั่งอยู่ข้างๆเธอเลยแม้แต่น้อย
“การที่ได้ทำงานกับมู่วี่สิงเป็นอะไรที่ฉันใฝ่ฝันมาทั้งชีวิตเลยนะแก” หนึ่งในพนักงานของบริษัทฉินซื่อกรุ๊ปพูดขึ้นมาอย่างตื่นเต้น
“มันเกินกว่าที่ฉันฝันเอาไว้อีกกกก!” อีกคนพูดขึ้น
“เขาเป็นทั้งคนที่มีชื่อเสียง เป็นทั้งผู้อำนวยการโรงพยาบาล เขาจะมีเวลามาทำตรงนี้อย่างนั้นจริงๆหรอ” เสียงที่เป็นกังวลลอยขึ้นมา
“เขาจัดการได้อยู่แล้วแหละ เมื่อก่อนตอนที่ฉันไปฝึกงานที่โรงพยาบาลของเขานะ เขาทำงานทั้งที่ห้องทำงาน ทั้งเข้าไปตรวจคนไข้ ทั้งทำงานวิจัย ตั้งแต่เที่ยงวันยันเที่ยงคืนแน่ะ”
“โห เหนื่อยแย่เลย น่าเป็นห่วงจัง ถ้าฉันได้เป็นคนดูแลเขาก็คงจะดีสินะ!”
“หยุดคิดเลยนะยะ! เขาเป็นผู้ชายในฝันของผู้หญิงทุกคนในเมืองหนานเฉิง แกน่ะ หยุดฝันหวานไปได้เลย!”
มือของเวินจิ้งที่ถือส้อมกับมีดอยู่นั้นสั่น ไม่คิดว่าจะมีคนพูดถึงมู่วี่สิงมากมายขนาดนี้
แฟนคลับของเขามีอยู่ทุกที่จริงๆ ไม่เว้นแม้แต่ที่ทำงาน หรือไม่ว่าจะเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง ล้วนก็ชอบมู่วี่สิงกันไปหมด
“จิ้ง เป็นแบบที่เขาพูดกันจริงๆรึเปล่า” ฉืออี้เหิงถาม
ถึงเขาสองคนจะนั่งข้างกัน แต่ก็ไม่ได้เป็นจุดสนใจของใคร
“เขาก็ยุ่งแบบนี้แหละค่ะ” จริงๆแล้วเวินจิ้งไม่อยากตอบ ที่เธอตอบก็เพราะเห็นว่ามีคนอื่นอยู่ด้วยและเขาก็มีสถานะเป็นหัวหน้าของเธอ
“อย่างงั้นก็ไม่มีเวลามาดูแลเธอเลยอย่างงั้นสิ” ฉืออี้เหิงขมวดคิ้ว
“ฉันดูแลตัวเองได้”
“แต่เธอเคยเกือบจะทำห้องครัวไหม้มาแล้วนะ” ฉืออี้เหิงพูดยิ้มๆเหมือนกำลังคิดเรื่องอะไรอยู่
เวินจิ้งขมวดคิ้ว นั้นมันเมื่อก่อน หลังจากที่เธอเลิกกับฉืออี้เหิงไป เธอก็ทำอาหารเก่งขึ้นมากแล้ว
“คนเรามันเปลี่ยนกันได้” เวินจิ้งตอบเสียงเรียบ
“หรอ แต่มีอย่างนึงที่เปลี่ยนไม่ได้นะ” ฉืออี้เหิงพูดด้วยกลิ่นอายที่เต็มไปด้วยความอบอุ่น
เวินจิ้งไม่พอใจ พยายามขยับตัวออกห่างจากเขา
อั้ยเถียนที่สังเกตเห็นเลยถามขึ้น : “อยากเปลี่ยนที่กันไหม”
เวินจิ้งส่ายหน้า เพราะเธอไม่อยากจะเป็นจุดสนใจของใคร
แต่อยู่ดีๆสายจากมู่วี่สิงก็โทรเข้ามา
“ยังทานอยู่หรือเปล่า” เขาที่พึ่งจะออกมาจากโรงพยาบาลถาม
“อืม”
“อีกนานไหม ฉันกำลังไปรับ”
“อืมมม… น่าจะใกล้เสร็จแล้วล่ะ”
“งั้นรอนิดนึงนะที่รัก”
เวินจิ้งยิ้ม อารมณ์ที่คุกรุ่นเมื่อสักครู่หายไปเป็นปลิดทิ้ง
กลับกันกับที่ฉืออี้เหิงนั่งหน้าเครียดอยู่
หัวข้อบทสนทนาของทุกคนในค่ำคืนนี้ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับมู่วี่สิง อั้ยเถียนก็มีพูดแทรกไปบ้างว่าเธอก็เป็นแฟนคลับของมู่วี่สิงเหมือนกัน แล้วถึงตอนนี้กลุ่มแฟนคลับจะถูกยุบไปแล้ว แต่เธอก็ยังคงเก็บข้อมูลข่าวสารของเขาอยู่
“อั้ยเถียน ถ้าคุณรู้จักหมอมู่ คุณช่วยพาเขามาเจอกับพวกเราหน่อยได้ไหม พวกเรามีเรื่องจะปรึกษาเขาน่ะ” มีคนพูดขึ้น
“ฉันรู้จักเขาก็จริง แต่ฉันก็ไม่เคยเห็นเขาตัวเป็นๆมาก่อนเลย ได้ข่าวว่าเขาหล่อมาก! พระเจ้า! เขาทำให้ฉันรู้สึกเหมือนได้กลับไปเป็นเด็กอีกครั้งจริงๆ”
“อย่าได้คิดเชียวนะ เขายุ่งจะตาย จะเอาเวลาที่ไหนมาคุยกับพวกเรา”
อั้ยเถียนมองเวินจิ้งอย่างซุกซนและรอให้มู่วี่สิงมารับเธอ
ทุกคนต้องอึ้งแน่ที่เห็นเขามา
ฉืออี้เหิงรู้สึกเซง ทั้งที่เขาเป็นหัวหน้าระดับสูงของบริษัทฉินซื่อกรุ๊ปมาหลายปีแล้วแท้ๆ
แต่ดูเหมือนว่าจะไม่มีใครสนใจในความสามารถของเขาเลยสักนิด คิดแต่ว่าที่เขาได้อยู่ตำแหน่งนี้คงเป็นเพราะความสัมพันธ์ของเขากับฉินเฟย
พอคิดอย่างนั้น เขาก็เดินออกไปสูบบุหรี่ข้างนอก ซึ่งเป็นเวลาเดียวกับที่มู่วี่สิงมาถึงพอดี
เขาสองคนสบตากันโดยบังเอิญ
“หมอมู่… มารับเวินจิ้งอย่างนั้นเหรอ” ฉืออี้เหิงดับบุหรี่ทิ้ง แล้วมองมู่วี่สิงตั้งแต่หัวจรดเท้า
“ครับ”
“ที่เธอแต่งงานกับคุณ ก็เพราะผมกลับมาก็เท่านั้นแหละ เธอแค่อยากจะประชดผม” ฉืออี้เหิงพูด ตั้งแต่กลับมาเขาก็คิดถึงเรื่องนี้อยู่ตลอด
เวินจิ้งเป็นคนที่ไม่รีบร้อนอะไรกับเรื่องแบบนี้ เขาใช้เวลาจีบเธอเป็นปีกว่าเธอจะตกลงคบกับเขาได้ แล้วหลังจากที่คบกันก็ไม่ได้มีความคืบหน้าอะไรมากด้วย นอกจากแค่ได้จับมือและได้จูบก็เท่านั้นเอง
แต่นี่เรื่องแต่งงานมันเป็นเรื่องใหญ่เลยนะ ที่จริงเขาคิดว่าเธอจะแต่งหลังสามสิบซะด้วยซ้ำ แต่เธอกลับแต่งก่อนเขาซะอีก
เพราะงั้นการที่เธอใช้เวลาแค่ 1 เดือนในการตัดสินใจที่จะแต่งงานกับมู่วี่สิงนั้น ต้องเป็นเพราะการกลับมาของเขาแน่ๆ
มันคงไม่ใช่เรื่องบังเอิญหรอก
“นี่คือคุณกำลังโอ้อวดผมอยู่อย่างงั้นเหรอ คุณสำคัญกับใจของจิ้งจิ้งมากขนาดนั้นเลยเหรอ” มู่วี่สิงถามและไม่แสดงสีหน้าใดๆ
“แน่นอนว่าไม่ แต่แค่อยากให้คิดถึงเรื่องที่แต่งงานกับเธอดีๆ จะได้ไม่เสียใจทีหลัง”
ประโยคนี้เหมือนเป็นประโยคที่กำลังสั่งสอนเขาอยู่เลย
สีหน้าของมู่วี่สิงเปลี่ยนเป็นเย็นชา ไม่เคยมีใครกล้าสั่งสอนเขามาก่อน
“ดูเหมือนว่าคนที่ตัดสินใจผิดน่าจะเป็นหัวหน้าฉือในตอนนั้นมากกว่านะครับ เพราะงั้นไม่ต้องสนใจเรื่องของผมกับเวินจิ้งหรอก”
พูดจบ เขาก็เดินไป
“นี่! นั่นใช่หมอมู่หรือเปล่าน่ะ!
“แกตาฝาดหรือเปล่า หมอมู่จะมาที่นี่ได้ยังไง”
“อั้ยเถียน มาดูเร็ว นั่นใช่หมอมู่หรือเปล่า”
“พระเจ้า! นั่นคือหมอมู่ เขาไม่ได้อยู่ในชุดกาวน์แบบพวกนักบำเพ็ญตบะนั่นด้วย!”
เวินจิ้งที่กำลังทานซุปอยู่แทบจะสำลักออกมา
นักบำเพ็ญตบะอย่างนั้นเหรอ
หึ เขาเป็นหมาป่าชัดๆ!
“จะกลับกันแล้วยัง” มู่วี่สิงเดินตรงเข้ามาถามเธอโดยไม่สนใจคนอื่น
เวินจิ้งตกใจ ทำไมเขาไม่รอข้างนอก!
พอเขาถาม ทุกคนบนโต๊ะก็พากันมองมาที่เวินจิ้ง
เธอเงยหน้ามองเขาอย่างประหม่าพลางพูด : “กลับกันเถอะ”
แม้แต่วินาทีเดียวเธอก็ไม่อยากจะอยู่ตรงนี้แล้ว
เธอแทบจะวิ่งออกไปจากตรงนั้นทันที โดยที่มีมู่วี่สิงเดินตามเธอออกมา
พอขึ้นไปบนรถ อั้ยเถียนก็ส่งข้อความมาหาเธอ บอกว่าทุกคนเอาแต่ถามว่าเธอกับมู่วี่สิงเป็นอะไรกัน
เธอขมวดคิ้วมองมู่วี่สิง แล้วนี่เธอจะอธิบายกับทุกคนว่ายังไงดีเนี่ย!
แล้วเธอก็คิดออก เธอตอบข้อความกลับไปหาอั้ยเถียน ให้อั้ยเถียนบอกทุกคนว่าหมอมู่คือพี่ชายของเธอ!
แต่ด้วยความที่มู่วี่สิงสูงกว่าเธอ เขาเลยมองเห็นข้อความที่เธอตอบกลับไปหาอั้ยเถียน และพอเขาเห็นเท่านั้นแหละ เขาก็หน้าบึ้งตึงขึ้นมาทันที
“ฉันไม่เห็นรู้เลยว่าฉันมีน้องสาวกับเขาด้วยน่ะ” มู่วี่สิงพูดเสียงเย็น
“ไม่งั้นจะให้บอกว่านายเป็นสามีฉันรึไง ก็บอกแล้วไงว่าเราจะแต่งงานกันแบบลับๆน่ะ!” เวินจิ้งโมโห
เขาพึ่งจะทำให้เธอลำบากไปเองนะ!
“ฉันเป็นผู้ชายของเธอ”
เวินจิ้งตะลึง นั่นมันก็ความหมายเดียวกันไม่ใช่เหรอ!
“ต่อไปถ้าใครถาม ให้บอกไปว่านายเป็นพี่ชายของฉันนะ” เวินจิ้งพูด
“ฉันไม่ยอมมีน้องสาวที่ซื่อบื้อแบบนี้หรอก” มู่วี่สิงพูดด้วยใบหน้าเรียบเฉย
“แต่ดูเหมือนว่านายจะมีภรรยาที่ซื่อบื้อแบบนี้ไปซะแล้วนะ!” เวินจิ้งพูด และมองหน้าเขาอย่างโมโห
เธอทนกับคำพูดของเขาไม่ไหวเลยพูดไปอย่างนั้น!
แต่เขากลับตอบกลับมายิ้มๆว่า : ถ้าอันนั้นอ่ะ ฉันยอม”