Flash Marriage เธอต้องแต่งงานกับฉัน - ตอนที่ 572
บทที่ 572 ผู้ชายเผด็จการ
มู่วี่สิงเหล่ตามองลงมาที่เวินจิ้ง ตอนนี้เขาไม่ได้โกรธขนาดนั้นแล้ว
“พรุ่งนี้ก็ไม่อนุญาตให้มา” เขาบอกอย่างออกคำสั่ง
ตอนนี้เขาไม่อยากเห็นเจียงฉีกับเวินจิ้งสุงสิงกันอีก
“ไม่เอา….” เวินจิ้งแย้ง
แต่พอได้เห็นสีหน้าของมู่วี่สิงที่มองกลับมาอย่างเอาเรื่อง เธอก็ไม่กล้าพูดอะไรอีก
ผู้ชายเผด็จการ!
เธอได้แต่มองไปที่เท้าของตัวเอง อย่างไม่รู้จะทำยังไง
จนกระทั่งเสียงลิฟต์ต์เปิดประตูดังขึ้น มู่วี่สิงก็เดินนำออกไปแล้ว เวินจิ้งจึงเดินไปตามหลัง พร้อมก้มหน้าลงด้วยความโกรธเล็กน้อย
ทันใดนั้น หน้าผากของเธอก็กระแทกเข้ากับแผ่นหลังแข็งๆของใครคนหนึ่ง เวินจิ้งจึงร้องออกมาด้วยความตกใจ
พร้อมกับเหลือบตาไปมอง มู่วี่สิงหยุดเดินตอนไหนกัน!
ปวดหัวจะตายอยู่แล้ว
เธอเงยหน้าขึ้น ส่งสายตาไม่พอใจไปให้มู่วี่สิง และวินาทีต่อจากนั้นเธอก็ถูกดึงไปอยู่ในอ้อมกอดของเขาอีกครั้ง
“ปล่อยฉันนะ” เวินจิ้งพูดด้วยความไม่พอใจ
“ได้ ผมจะปล่อยคุณ” มู่วี่สิงโมโหมากขึ้นไปอีก และในตอนนี้เขาก็ปล่อยเธอแล้วจริงๆ
หลังจากที่ออกมาจากลิฟต์ต์ เขาก็เดินขึ้นรถอย่างรวดเร็ว พร้อมทั้งขับรถผ่านหน้าเธอไป
เธอถูกทิ้งอยู่ที่เดิม ได้แต่กัดริมฝีปากและสุดท้ายน้ำตาก็ไหลออกมา
“คนบ้า”
เธอด่าด้วยความโกรธ ก่อนจะหมุดตัวกลับเข้าไปในโรงพยาบาล
จริงๆแล้วมู่วี่สิงก็ไม่ได้ขับรถไปไกล เขาขับไปนิดเดียวก็หยุดรถ
เขาหักพวงมาลัย กลับเข้าไปในโรงพยาบาลอย่างรวดเร็วอีกครั้ง
ในตอนนั้น เวินจิ้งก็นั่งอยู่ตรงทางเดิน เมื่อสงบอารมณ์ตัวเองได้แล้ว เธอถึงค่อยเดินเข้าห้องผู้ป่วยของเจียงฉีไป
“เวินจิ้ง นี่ดึกแล้ว เธอรีบกลับเถอะ” เจียงฉีพูดด้วยน้ำเสียงอบอุ่น
“ไม่เป็นไร คืนนี้ฉันจะเฝ้าไข้เอง” เวินจิ้งพูดเสียงเบา
เจียงฉีรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย เมื่อตะกี้ตอนที่มู่วี่สิงมาพาเวินจิ้งกลับไป เห็นได้ชัดว่าเขาโกรธมาก
แต่ตอนนี้ ยังไงเวินจิ้งก็กลับมาแล้ว มุมปากของเขายกยิ้มขึ้นเล็กน้อย
“เธอนอนบนโซฟานั่นสักพักก็ได้ พ้นคืนนี้ไปฉันก็ได้กลับบ้านแล้ว”
“อืม” เวินจิ้งตอบอย่างเหม่อลอย
ตอนนี้ให้หัวเธอมีแต่มู่วี่สิง ใบหน้าที่นิ่งเฉย แผ่นหลังอันเย็นชาของเขา ต่างทำให้เธอรู้สึกไม่ดี
นอนไม่หลับ เธอหยิบวิทยานิพนธ์ที่เธอเพิ่งทำกับเจียงฉีในกระเป๋าออกมา
“เวินจิ้ง เธอนอนสักหน่อยเถอะ อดนอนไม่ดีต่อสุขภาพผู้หญิงนะ” เจียงฉีขมวดคิ้วดูการกระทำของเธอ
“ไม่เป็นไร นายรีบนอนสิถึงจะถูก รีบนอนเถอะ”
เจียงฉีมองเธอ ก็เห็นความผิดปกติอย่างเห็นได้ชัด เดาว่าน่าจะเป็นเพราะเธอทะเลาะกับมู่วี่สิงแน่ๆ
เขาลุกขึ้นมานั่ง และเดินมาอยู่ข้างๆเธอ “เธอไม่อยากนอน งั้นพวกเราทำวิทยานิพนธ์กัน”
“ก็ดี” เวินจิ้งยิ้มออกมาน้อยๆ
จนถึงตอนดึก เวินจิ้งถึงได้นอนไปครู่หนึ่ง โดยมีร่างหนึ่งยืนอยู่หน้าห้องผู้ป่วยจนเช้าตรู่
ตอนเช้าเจียงฉีต้องไปตรวจร่างกาย เวินจิ้งจึงกลับมหาลัย
ไม่ได้มีการติดต่อหามู่วี่สิงแต่อย่างไร เธอกลับมาหอและนอนอีกครั้งจนถึงเย็น จากนั้นจึงตื่นขึ้นมาและไปโรงพยาบาลอีกครั้ง
ณ.โรงพยาบาลหนานเฉิง
โจวหย่านเห็นมู่วี่สิงเดินเข้ามาคนเดียว ก็อดยิ้มไม่ได้
“นักเรียนคุณไม่ตามมาด้วยหรอ”
“อืม” สีหน้าของมู่วี่สิงอิดโรย
“เมื่อวานคุณนอนไม่พอหรอ ทำไมสีหน้าเป็นแบบนั้น” โจวหย่านเอาแต่จ้องไปที่มู่วี่สิง
พอได้ยินดังนั้น ชายหนุ่มก็ขมวดคิ้ว
“เดี๋ยวต้องไปตรวจเลือด” มู่วี่สิงไม่ได้ตอบคำถามของเธอ
โจวหย่านก็ชินแล้วเหมือนกัน ตอนนี้เธอมีโอกาสได้คุยกับเขาหนึ่งประโยค ก็พอแล้ว แค่ได้เห็นหน้าเขา ก็พอแล้ว
อย่างนี้ถ้าภายหลังเกิดอะไรขึ้น เธอก็ไม่เสียใจแล้ว
“มู่วี่สิงพรุ่งนี้เป็นวันเกิดของฉัน” โจวหย่านพูดออกมาอย่างกะทันหัน
“แล้ว?” มู่วี่สิงจำใจตอบเธอ
“คุณมาอวยพรวันเกิดหน่อยสิ ไม่แน่อาจจะเป็นวันเกิดครั้งสุดท้ายของฉันก็ได้” น้ำเสียงของ โจวหย่าน เต็มไปด้วยความเหงา
“เรื่องนี้คุณควรพูดกับ คุณนายโจว” น้ำเสียงของมู่วี่สิงยังนิ่งดังเดิม
“แม่ฉันรู้น่า แต่ฉันก็หวังว่าคุณจะอยู่ข้างๆฉัน” โจวหย่านมองเขาด้วยสายตาเป็นประกาย
“ผมอยู่โรงพยาบาลทุกวันอยู่แล้ว” มู่วี่สิงตอบ
พอพูดประโยคนี้จบ โจวหย่านก็รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย
งั้นเขาก็แปลว่า….เขาจะอยู่วันเกิดเธองั้นหรอ
“แม่จะฉลองให้ฉันให้ห้องผู้ป่วย”
“อืม”
พูดจบ มู่วี่สิงก็รีบเดินออกไป
แต่โจวหย่านรู้สึกได้ว่า พรุ่งนี้มู่วี่สิงต้องมาแน่นอน
พอคิดถึงตรงนี้ เธอก็รีบบอกเรื่องนี้กับแม่ของตัวเองทันที
เมื่อกลับมาถึงห้องพัก มู่วี่สิงนั่งลบปุ๊บ เกาเชียนก็เคาะประตูเดินเข้ามา
“ประธานมู่ ประธานส้งให้ผมมารายงานกับคุณว่า สิทธิในการขายยาเหล่านี้ถูกยกเลิกแล้ว”
มู่วี่สิงไม่แปลกใจ เขาเม้มริมฝีปากแล้วพูด “จับตาดูตระกูลโจวต่อไป”
พอได้เอกสาร เขาก็เรียกเกาเชียนไว้อีกครั้ง “ช่วงนี้หลิงเหยาเป็นไงบ้าง”
“คุณหลิงเหยายังอยู่โรงพยาบาล แต่ตอนนี้หลิงอี้กำลังช่วยเธอยื่นเรียนต่อปริญญาโท ที่มหาวิทยาลัยFอยู่ครับ”
เมื่อได้ยิน มู่วี่สิงก็ขมวดคิ้ว “ขัดขวางไว้ อย่าให้หลิงเหยาเข้ามาได้”
“ผมรู้ครับ”
ตกเย็น เวินจิ้งนำกล่องอาหารไปเยี่ยมเจียงฉี
เพราะแผลของเขาแย่ลง ทำให้ต้องเลื่อนวันออกจากโรงพยาบาลออกไป
“เจียงฉี หมอว่ายังไงบ้าง” เวินจิ้งถาม
“แปลมีสารเคมีที่เป็นพิษแทรกซึม ต้องฆ่าเชื้อ เอาพิษออกก็หายแล้ว ไม่ต้องกังวล”
เวินจิ้งยังขมวดคิ้วดังเดิม
คนร้ายในคืนนั้น จนตอนนี้ก็ยังหาเบาะแสไม่ได้ การสอบสวนก็เป็นไปได้ยาก
แต่ตอนนี้เธอไม่อยากบอกเรื่องนี้กับมู่วี่สิงเลยสักนิด
ผู้ชายคนนั้น ไม่ติดต่อเธอมาแล้วหนึ่งวันหนึ่งคืน
“เวินจิ้งเพราะฉันหรือเปล่า เธอกับมู่วี่สิงทะเลาะกันใช่ไหม”
เมื่อได้ยิน เวินจิ้งก็นิ่งไป
เธอว่างกล่องข้าวลง “เปล่า”
“อารมณ์ของเธอ เขียนอยู่บนหน้าเธอแล้ว”
“เจียงฉี กินข้าวก่อนเถอะ” เวินจิ้งเปลี่ยนหัวข้อพูด
ตอนนี้เธอไม่อยากได้ยินชื่อ มู่วี่สิง
เจียงฉีไม่ได้พูดอะไรอีก ไม่นานหมอก็เข้ามาพร้อมผลการรักษา ระบุว่าแผลของเจียงฉีลึกมา ทำให้การรักษาเป็นไปได้ยาก
ตอนนี้ดูเหมือนว่า เครื่องมือของโรงพยาบาลจะไม่พอ
สีหน้าของเจียงฉียังสงบดังเดิม แต่สีหน้าของเวินจิ้งกลับนิ่งไม่ได้อีกต่อไป
เจียงฉีได้รับบาดเจ็บก็เพราะเธอ
“ทำไมถึงไม่มีทางรักษาล่ะคะ แผลได้รับยาพิษประเภทไหน” เวินจิ้งถาม
“เพราะว่าพวกเราไม่สามารถแยกออกว่าเป็นพิษไหน ดังนั้นจึงอยากให้คนไข้เปลี่ยนโรงพยาบาลรักษา”
เวินจิ้งโมโหมาก แต่เพราะตัวเองก็เรียนหมอเหมือนกัน จึงเข้าใจการทำอะไรไม่ถูกของหมอดี
แต่แล้วนี่จะทำยังไงดีล่ะ
“เจียงฉี ขอโทษนะ” เวินจิ้งไม่รู้จะพูดอะไรแล้ว
“ไม่เป็นไร ยังไงแขนนี้ก็ไม่มีประโยชน์อยู่แล้ว”
“อย่าพูดอะไรไร้สาระน่า!” เวินจิ้งหน้าบึ้ง
มองบาดแผลของเจียงฉีแล้ว เวินจิ้งก็คิดไปคิดมา จนสุดท้ายเธอก็คิดว่าควรถามไป๋สือดูว่าพอจะมีวิธีมั้ย
แต่ตอนนี้ไป๋สืออยู่ต่างประเทศ กลับบ้านไม่ได้ในเวลาแค่ครู่เดียว
งั้น…ก็เหมือนว่าต้องหามู่วี่สิงคนเดียวแล้ว
แต่เธอไม่สามารถแบกหน้าไปเจอเขาก่อนได้
เธอได้แต่ถอนหายใจอย่างหงุดหงิด และในทันใดนั้น เสียงของเจียงฉีก็ดังขึ้นมาข้างๆ “เวินจิ้ง เธอไม่ต้องรู้สึกผิดขนาดนั้น เป็นฉันเองที่ตั้งใจจะช่วยเธอ”