Flash Marriage เธอต้องแต่งงานกับฉัน - ตอนที่ 62
บทที่62ข่าวลือแพร่หลาย
ตระกูลฉิน แสงไฟประกายสว่างสาดส่อง
ฉืออี้เหิงลงจากรถลงมา เดินเซไปเซมาดั่งคนเมาไม่ได้สติเข้าไป
พอแม่บ้านสังเกตเห็นเขา จึงรีบเข้าไปเอ่ยรายงาน จนเขาถูกรั้งไว้อยู่ด้านนอกประตู
ผ่านไปไม่นาน ฉินเฟยก็เดินยืดออกมา ตอนนี้เธอตั้งครรภ์ได้สี่เดือนแล้ว ท้องน้อยค่อย ๆ นูนโผล่ออกมาแล้ว
เห็นฉืออี้เหิงเมามายนอนอยู่กองพื้น ดวงตาเจ็บปวดระทมแทนเขา
แต่แล้ว เธอก็ไม่ได้พยุงเขาขึ้นมา
“คุณไปเถอะค่ะ” เธอเอ่ยเย็นชา
ฉืออี้เหิงเงยหน้าขึ้นมอง “เฟยเฟย ให้โอกาสผมอีกสักครั้งนะครับ”
ฉินเฟยหันกาย เอ่ยสั่งแม่บ้าน “พาเขาออกไปให้พ้นเลยค่ะ”
แล้วเดินย่านเข้าไปยังห้องสมุด คุณปู่ฉินและฉินจิ้งยืนอยู่มุมต่ำด้านหน้าหน้าต่าง นัยน์ตามองดูร่างเงาฉืออี้เหิงที่อยู่ด้านนอกในมุม
“พ่อค่ะ ต้องทำแบบนี้จริง ๆ เหรอคะ?” แววตาฉินเฟยใจอ่อนปวกเปียกฉายออกมา
“ไอ้หนุ่มนี่ช่างไม่เอาไหนเลย ลูก พ่อทำเพื่อความสุขของลูกนะ ลูกไม่บังคับเขา เขาก็จะไม่เห็นความสำคัญของลูกและบริษฉินซื่อกรุ๊ปเลย” ฉินเจิ้งเอ่ยอย่างแน่วแน่ เขามองเห็นศักยภาพของฉืออี้เหิงออกแต่ต้นแล้ว แต่มันไม่เพียงพอขึ้นเรื่อย ๆ
“แต่ว่า เรื่องลูกมันปล่อยไว้นานไม่ได้แล้วนะค่ะ” ฉินเฟยกัดริมฝีปาก มือบางวางทับไว้ที่ท้องน้อย
งานแต่งถูกเลื่อนออกไปอีก ช้าอีกนิด ท้องของเธอก็จะยิ่งนูนโตขึ้นเรื่อย ๆ แล้ว
“งั้นก็รอให้ลูกคลอดออกมาก่อน ส่วนเรื่องของลูกกับเขา ไม่รีบ”
วันถัดมา เป็นเรื่องเกี่ยวกับข่าวหน้าหนึ่งของฉืออี้เหิงอีกแล้ว มีนักข่าวถ่ายรูปฉินอี้เหิงกับเวินจิ้งในขนาดที่สวมกอดกันได้ และครั้งนี้ มิอาจบดบังหน้าของเวินจิ้งได้อย่างเห็นได้ชัด
และในขนาดเดียวกันนั้น ข่าวของฉินเฟยที่กำลังตรวจครรภ์อยู่ในโรงพยาบาลก็ฉายแพร่ขึ้น บนโซเชียลสนั่นเต็มไปด้วยเสียงคนหัวอกเดียวกันที่โดนสวมเขา สำหรับเวินจิ้งก็ถูกผู้คนดึงเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ไม่นานชาวเน็ตก็รู้ชัดว่าเป็นสาวสนิทสนมของมู่วี่สิงในก่อนหน้านี้!
ชื่อเวินจิ้งนี้ สนั่นไปทั่วบนโซเชียล!
ณ บ้านตระกูลมู่
เวินจิ้งผู้เตรียมไปทำงาน ระหว่างทานข้าวเช้าอยู่นั้นสายอั้ยเถียนก็เข้า “รีบเปิดดูข่าวเร็ว!”
เวินจิ้งขมวดคิ้วชนกัน ไม่รีรอช้าเปิดเบราว์เซอร์ ใบหน้าตัวเองถูกขยายใหญ่ปรากฏบนโซเชียลแล้ว
รูปภาพนี้ เป็นรูปที่เพิ่งถูกถ่ายในร้านอาหารเมื่อคืนนี่เอง
ซ้ำยังถูกถ่ายตอนที่อยู่กับฉืออี้เหิงอีก
“วันนี้ฉันไม่ต้องก้าวออกจากบ้านแล้วใช่มั้ยเนี่ย?” เวินจิ้งปวดขม่ำ
เธอไม่ได้กังวลห่วงตัวเอง แต่กริ่งกลัวว่าจะส่งผลกระทบต่อคนในตระกูลเสี้ยง
และแล้ว สายมิสคอลกระชากวิญญาณที่ไม่รับเชิญอย่างเจี่ยนอีก็เข้า
“เวินจิ้ง นี่แกนอกลู่นอกทางกับฉันเหรอ!” บันดาลโทสะเจี่ยนอีโกรธเกรี้ยวเดือดดาล
เวินจิ้งยื่นนำมือถือออกห่างไปไกล พลางขมวดคิ้ว
“หนูไม่ได้ทำนะค่ะ”
คนนั่งอยู่บ้าน มรสุมหล่นจากฟ้า เวินจิ้งตระหนักลิ้มรสถึงนิยามความหมายของประโยคนี้ชัดแล้ว
“หนังสือพิมพ์ก็พาดหัวข่าวออกมาแล้ว ไม่คิดเลยว่าในชีวตินี้ฉันจะได้เห็นลูกสาวตัวเองบนหนังสือพิมพ์ได้ นี่แกกับฉืออี้เหิงคืนดีกันแล้วเหรอเนี่ย? ซ้ำแกยังเป็นมือที่สามของเขาอีก เขาจะแต่งงานกันอยู่แล้วนะ นี่แกยังไม่ตัดไม่ขาดกับเขาอีกใช่มั้ย…..” เจี่ยนอีโมโหเป็นฟืนเป็นไฟใกล้จะแผดเผาให้มอดไหม้แล้ว
ทำไม ต้องเป็นฉืออี้เหิงด้วยนะ!
ตอนนั้นเวินจิ้งถูกเขาทำร้ายย่อยยับอย่างแสนสาหัสเลยแหละ
“แม่คะ มันไม่ใช่นะค่ะ หนูเจอฉืออี้เหิงก็จริง แต่ว่า หนูตัดขาดกับเขาแล้วนะค่ะ”
“แล้วตอนนี้มันอะไรกัน”
ภาพบนหนังสือพิมพ์และบนโซเชียลนั้นถ่ายได้อย่างชัดแจ๋ว ว่าฉืออี้เหิงกำลังสวมกอดเธออยู่ แต่ตอนนั้นเวินจิ้งผลักไสต่อต้านอยู่ตลอดเวลา เพียงแต่มุมมันไม่เหมือนก็เท่านั้นเอง ถ่ายออกมาราวทั้งสองกำลังสวมกอดกันอยู่
“หนูกับฉืออี้เหิงเราไม่มีอะไรเกินเลยค่ะ”
“แล้วทำไมพวกแกถึงกอดอยู่ด้วยกันหละ?”
“เขาเมาค่ะ” เวินจิ้งโศกเศร้า รู้สึกราวอธิบายไม่แจ่มแจ้งแล้ว
“หมอมู่ไม่ได้เอ่ยเลิกใช่มั้ย?” เจียนอีเอ่ยถาม
เวินจิ้งขมวดคิ้ว วันนี้มู่วี่สิงไปโรงพยาบาลแต่เช้าแล้ว และเธอยังไม่เห็นเขาเลยวันนี้
“ไม่ค่ะ คุณมู่เขาเชื่อหนู” เวินจิ้งเอ่ยเสียงเย็นเรียบ
อย่างน้อย มู่วี่สิงก็ไม่ได้สงสายตัวเธอกับฉืออี้เหิงว่าถ่านไฟเก่าจะผุดใหม่อีก
เพียงไม่รู้ว่าเห็นข่าวในวันนี้แล้ว เขาจะคิดยังไง……
เวินจิ้งยิ่งกระวนกระวายกังวลขึ้น
“งั้นก็ดี ๆ ไม่ได้เลิกก็ดีแล้ว”
เวินจิ้ง……..
กว่าจะปลอบประโลมอธิบายให้แม่เข้าใจได้ ส่วนเวินจิ้งใส่หมวกหน้ากากไว้ แล้วตรงดิ่งไปทำงานอีก
แม้ว่าจะทำใจตั้งรับเผชิญกับกระสุนข่าวซุบซิบในบริษัทแล้ว แต่พอได้ยินเสียงซุบซิบวุ่นวายดังลอดมา แล้วจะให้เย็นสงบลงเฉยได้อย่างไรกันเล่า
“โอ้คุณพระ นี่มันเวินจิ้งไม่ใช่เหรอ? เป็นพนักงานของบริษัทเราหนิ!”
“ไม่หรอกมั้ง ฉันเห็นปกติแล้วแต่งเนื้อแต่งตัวก็ธรรมดานะ แต่คิดไม่ถึงว่าจะเป็นปีศาจร้ายนี่เอง!”
“คนเรามองภายนอกอย่างเดียวไม่ได้หรอกนะ ก่อนหน้านี้ก็มีคนเม้าท์ว่าเธอยั่วยวนอ่อยประธานเสี้ยง ผู้หญิงคนนี้มีวิธีทางลัดที่ดีจริงเลยนะ”
“ไม่ใช่ว่า ก่อนหน้านี้เธอกับหมอมู่ใกล้ชิดสนิทสนมกันมากไม่ใช่เหรอ?”
เวินจิ้งฟังแล้วหัวสมองจะระเบิดตุ้มออกมาแล้ว แต่กลับถอดหน้ากากลงไม่ได้ มิเช่นนั้นเธออาจจะโดนรุมเป็นกลุ่มแน่
“พูดมั่วอะไรกันเนีย!” เป็นข่าวปลอมกันทั้งนั้น อย่าพูดมั่วหน่า!” อั้ยเถียนเดินข้าลิฟต์ แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“นี่ข่าวมันก็ออกมาแล้วนะ? ยังมีข่าวปลอมด้วยเหรอ? คุณสนิทกับเธอหนิ แล้วเธอสนิทได้กับใครแล้วอะ?” มีคนเอ่ยถามขึ้น
อั้ยเถียนหน้าเรียบเยือกเย็น “นี่มันเป็นเรื่องส่วนตัวของเวินจิ้ง ขอให้พวกคุณให้เกียรติเธอด้วยค่ะ!”
เวินจิ้งยืนอยู่ด้านหลังสุด สำหรับอั้ยเถียนที่ช่วยออกหน้าให้เธอจนเธอซับซึ้งใจ
พอกลับถึงที่นั่ง เวินจิ้งดึงหมวกและหน้ากากลง และแล้ว สายตาพิฆาตที่มองมาจากผู้คนรอบข้าง ราวแฝงไปด้วยความอาฆาตมาดร้าย
“อุ้ย นี่มันเวินจิ้งไม่ใช่เหรอเนี่ย? ยังมีหน้ามาทำงานอีก?” หูชิงกลับมาถึงก็มุ่งมายังข้างเธอเลย แล้วเอ่ยอย่างเยาะเย้ย
“ความบริสุทธิ์ใจย่อมไม่ต้องอธิบาย” เวินจิ้งเอ่ยอย่างเรียบเฉย
“โกหกใครไม่ทราบ ผู้หญิงอย่างเธอ ลับหลังไม่รู้ว่าไปยั่วยวนผู้ชายได้ไปเท่าไหร่กันแล้ว……” หูชิงหรี่ตา
เสียงพูดเพิ่งสิ้นสุดลง และในครั้งนี้ เวินจิ้งก็สบัดมือตวัดเหวี่ยงตบไป
ความเกรี้ยวโกรธระเบิดทับถมอยู่กลางอก เวินจิ้งพยายามกล้ำกลืนอารมณ์ ให้สีหน้าเรียบเฉยใจเย็นที่สุด
“พูดพอหรือยังไม่ทราบ?”
“เธอ… เธอกล้าตบฉันเหรอ….นางเวินจิ้ง เธอไม่อยากอยู่แล้วใช่มั้ย! ฉันจะไปรายงานเรื่องนี้กับประธานเสี้ยงแน่” หูชิงขู่เคืองจนขย่ำเท้า เบือนหน้าหันไปแล้วตรงขึ้นไปยังห้องท่านประธาน
เวินจิ้งหน้าตาเฉยชา เสี้ยงหงเป็นถึงประธาน จะมายุ่งวุ่นวายเรื่องไร้สาระพวกนี้ได้ไงกัน
ครึ่งชั่วโมงต่อมา หูชิงเดินลิ่ว ๆ ลงมา พนักงานทุกคนล้วนได้รับอีเมลแจ้งเตือนเข้ามาหนึ่งฉบับ บริษัทไม่อนุญาตให้พูดเรื่องไร้สาระกัน โจมตีเรื่องส่วนตัวกับพนักงาน ผู้ฝ่าฝืน ไล่ออก
ในเวลานั้น ก็ไม่มีใครกล้าพูดถึงเวินจิ้งอีก ซ้ำยังมีคนเกรงกลัวเวินจิ้งไม่น้อย
ยามเที่ยงอั้ยเถียนทานข้าวพร้อมเวินจิ้งเช่นเคย และยังมีคนจัดเตรียมโต๊ะที่นั่งในโรงอาหารให้กับเวินจิ้งเป็นพิเศษอีก ที่ไม่มีผู้คนมารบกวนเธอได้
เสี้ยงหงเป็นคนจัดการ?
เธอรู้ว่าเสี้ยงหงกับมู่วี่สิงสนิทกัน ดังนั้น เป็นพราะมู่วี่สิงงั้นเหรอ?
เวินจิ้งครุ่นคิด แต่ว่านี่มันเที่ยงวันแล้วนะ มู่วี่สิงกลับไม่ติดต่อเธอมาเลย
แม้ว่าเมื่อคืนเขาจะไม่กรุ่นโกรธก็ตาม แต่เธอก็ยังหวาดระแวงอยู่ กลัวว่ามู่วี่สิงจะเข้าใจผิดขึ้นมา
“จิ้งจิ้ง แกตั้งใจทำงานดี ๆ หละ มีประธานเสี้ยงคุ้มหัวแกอยู่ ไม่มีใครกล้าพูดพล่อยต่อแกหรอก” อั้ยเถียนโอบกอดให้กำลังใจเธอ
จิ้งจิ้งยิ้มแย้ม ตอนนี้เรื่องดูข่าวสารเรื่องนี้ถูกลักทิ้งไปนานแล้ว แต่ว่าเรื่องนี้ ถูกแพร่กระจายสนั่นทั่วเมืองหนานเฉิงไปแล้ว
“ฉันหวังว่าประธานเสี้ยงจะไม่มายุ่งเรื่องนี้ เขามาปกป้องไว้ เดี๋ยวจะทำให้คนอื่นเข้าใจผิดขึ้นมาอีก” เวินจิ้งเอ่ยเสียงเรียบ
“แกเป็นพนักงานของบริษัทนะ ตอนนี้ทุกคนเข้าใจแกผิดมันก็เหมาะสมแล้วที่บริษัทจะมาสนับสนุนแกอ่ะ แกอย่าคิดมากไปเลยหน่า”
เวินจิ้งขมวดคิ้ว เวลานี้มรสุมปวดท้องก็บังเกิดขึ้น เธอรีบวิ่งไปเข้าห้องน้ำอย่างรวดเร็ว
จนกระทั่งเวลาเลิกงานเธอยังไม่ออกมาอีก ทำให้อั้ยถียนเป็นห่วงเป็นใยขึ้นมา จึงมาตามหาเธอที่ห้องน้ำ เธอเลยประคับประคองเวินจิ้งไว้ “พาฉันไปส่งโรงพยาบาลหน่อย”