Flash Marriage เธอต้องแต่งงานกับฉัน - ตอนที่ 634
บทที่ 634 ไม่ใช่ว่าคุณอยากจะมาก็มา
เวินจิ้งมีคำพูดในใจมากมายที่อยากจะถาม อยากถามถึงสาเหตุการเสียชีวิตของโจวหย่าน อยากถามว่าเขาตกลงปลงใจกับหลิงเหยาแล้วใช่ไหม แล้วเด็กคนนั้นใช่ลูกเขาหรือเปล่า แล้วเขากับไป๋ซีตอนนี้คือสถานะแบบไหนกัน
เพียงแต่ว่าเธอไม่รู้จะถามคำถามเหล่านี้กับเขาในฐานะอะไร แล้วถ้าคำตอบที่ได้หากทำให้เธอเสียใจ อย่างนั้นแล้วสู้ไม่ทราบอะไรตั้งแต่ต้นไม่ดีกว่าหรือ
“อย่ารอให้บริษัทหลินซื่อล้มก่อน แล้วค่อยมาเสียใจทีหลัง”
มู่วี่สิงหันหลังกลับแล้วได้หายไปจากสายตาของเวินจิ้งในทันใด
แต่ว่าคำพูดของเขายังคงฝังผลึกอยู่ในใจของเวินจิ้ง ทำให้รู้สึกชาไปทั้งตัว
เวลานี้โทรศัพท์ได้ดังขึ้น เป็นสายโทรเข้าจากโจวเซิ่ง
“พ่อ”
“เสี่ยวจิ้ง ผมอาจจะไม่สามารถกลับไปประเทศFได้ในเร็วๆนี้ แต่ว่าวางใจได้ ไอ้สารเลวโจวเซินก็ไม่สามารถกลับไปได้เช่นกัน ส่วนเวยเวยแม่ของหนูคงต้องให้ฝากหนูดูแลไปก่อนนะ”
“ได้ค่ะ ไม่ทราบว่าประสบกับปัญหาอะไรหรือคะ” เวินจิ้งถามด้วยความเป็นห่วง
“อืม ตอนนี้ผมได้มัดตัวไอ้ลูกไม่รักดีไว้แล้ว อำนาจต่างๆในฝั่งยุโรปผมจะค่อยๆริบคืนมาจากมือของเขา
เวินจิ้งประหลาดใจ ไม่คิดว่าโจวเซิ่งจะสามารถทำถึงเพียงนี้
ตระกูลโจวมีเพียงโจวเซินที่เป็นลูกชายคนเดียว เดิมทีทุกอย่างของตระกูลโจวนั้นจะตกทอดไปสู่เขา แต่ว่าโจวเซิ่งจะริบคืนทุกสิ่งอย่างมาจากมือของเขา ถ้าอย่างนั้นต่อไปสิ่งเหล่านี้จะตกทอดไปถึงใคร
ถึงอย่างไรนี่ไม่ใช่สิ่งที่เวินจิ้งเป็นกังวลในตอนนี้ สิ่งที่เธอเป็นกังวลที่สุดคือการที่โจวเซินอาจเปิดเผยหลักฐานที่ซัดทอดเอาความผิดแม่ของเธอ
ถ้าหากเรื่องนี้มีส่วนเกี่ยวข้องกับโจวเซิน อย่างนั้นก็จะสามารถรวบรวมหลักฐานเพื่อเอาความผิดเขาได้
แต่ว่าโจวเซิ่งกับโจวเซินเป็นพ่อลูกกัน โจวเซิ่งคงไม่อาจจะทำแบบนี้ได้ลงคอ
เมื่อวางสายลง แต่จิตใจเวินจิ้งยังไม่สงบลง
แม่คือผู้ถูกใส่ร้าย ผู้กระทำผิดตัวจริงคือโจวเซินต่างหาก
แต่แค่อาศัยความสามารถของเธอที่มีในตอนนี้ ก็ไม่เพียงพอที่จะสามารถสืบค้นความจริงอะไรได้
ทันใดนั้น เธอก็นึกถึงหซู่เฟินขึ้น บางทีให้เธอช่วยสืบค้นคงจะดีไม่น้อย
ประสิทธิภาพของหซู่เฟินน่าจะได้ข้อมูลที่เร็วกว่า แต่ว่าความเคลื่อนไหวของโจวเซินดำเนินการอยู่เมืองนอกทั้งหมด ดังนั้นจะให้สืบค้นหาข้อมูลที่เป็นประโยชน์นั้นโอกาสช่างน้อยเหลือเกิน
“คุณเวินคะ ฉันคิดว่าคงจำเป็นต้องใช้คนจากต่างประเทศมาช่วยในการสืบค้นถึงจะได้ข้อมูล” หซู่เฟินพูดอย่างลำบากใจ
เวินจิ้งกดเข้าหว่างคิ้วด้วยความตึงเครียด “คุณออกไปก่อน”
เธอผลักกองเอกสารที่อยู่ตรงหน้าออก สมองเหมือนถูกมัดปมไว้ เธอจึงผ่อนคลายด้วยการดูข่าวสารไปเรื่อยๆสักพัก
แต่ว่าสายตาของเธอได้จดจ่อเข้ากับข่าวสารที่เกี่ยวกับเขตขั้วโลกเหนือ
“มีกลุ่มนักวิชาการที่มีชื่อเสียงของทีมวิจัยและพัฒนาได้ติดอยู่ในธารน้ำแข็งเขตขั้วโลกเหนือตอนนี้ การให้การช่วยเหลือยังคงยากลำบากมาก…..”
มือที่จับเมาส์ไว้ได้แข็งทื่อ เธอนึกขึ้นทันทีว่าหยูจิ่งห้วนนั้นก็อยู่เขตขั้วโลกเหนือในตอนนี้
และตอนนี้หยูจิ่งห้วนก็ไม่ติดต่อเธอมานานแล้ว เวินจิ้งจึงได้รีบโทรหาเขาผ่านทางอินเทอร์เน็ตทันใด แต่ว่าสัญญาณฝั่งทางโน้นไม่ค่อยดี และไม่การตอบรับใดๆ
เธอขมวดคิ้ว เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ไม่อาจจะทำให้จิตใจสงบได้
เขาอีกนานแค่ไหนถึงจะได้กลับมา แล้วเมื่อไรถึงจะสามารถยืนยันรายชื่อนักวิชาการเหล่านี้ได้
คิดแล้วคิดอีก ตอนนี้หยูจิ่งห้วนทำงานอยู่ที่โรงพยาบาลหนานเฉิง มีมู่วี่สิงเป็นผู้อำนวยการในขณะนี้ ถ้าหากเกิดอะไรขึ้นกับหยูจิ่งห้วน เป็นไปไม่ได้ที่มู่วี่สิงจะไม่ทราบเรื่อง
เธอรีบหยิบกระเป๋าและออกไปทันที ปลายทางที่เธอมุ่งไปคือโรงพยาบาลหนานเฉิง
เป็นช่วงกลางวันพอดี พระอาทิตย์ที่สาดส่องเจิดจ้าลงมาอย่างแผดเผา
มู่วี่สิงที่ยังคงทำงานอยู่ ดังนั้นเธอจึงมุ่งหน้าไปที่แผนกประสาทวิทยา เพื่อถามพยาบาลถึงได้รู้ข้อมูลว่าวันนี้มู่วี่สิงมีภารกิจการผ่าตัด และใช้เวลาอีกนานกว่าจะแล้วเสร็จ
เธอทำได้แค่เพียงนั่งรออยู่ที่ระเบียงทางเดิน เวลาแต่ละนาทีได้เดินไปเรื่อยๆ จนกระทั่งพระอาทิตย์ลับไปท้องฟ้าได้มืดสนิทลง
เธอติดตามข่าวคราวจากอินเทอร์เน็ตตลอดเวลา แต่ว่าตอนนี้ยังคงไม่มีอะไรที่คืบหน้า และยังคงไม่มีการประกาศรายชื่อผู้ที่ติดอยู่ในนั้น
เธอนั่งอยู่ไม่ติดที่ จึงเดินไปเดินมาที่ระเบียงทางเดิน ในที่สุดเวลาใกล้จะเที่ยงคืนมู่วี่สิงก็ออกมาจากห้องผ่าตัด
เธอรอให้เขาคุยอธิบายอาการคนไข้ให้ครอบครัวฟังเสร็จก่อน เวินจิ้งถึงได้ก้าวเข้าไปหาเขา
เมื่อเห็นเวินจิ้ง มู่วี่สิงถึงกับขมวดคิ้ว “มีเรื่องหรือ”
“ใช่ค่ะ ฉันต้องการอยากจะคุยกับคุณเป็นการส่วนตัว”
เวินจิ้งเดินตามมู่วี่สิงไปที่ห้องทำงานของผู้อำนวยการที่อยู่ชั้นบนสุด ชายคนนั้นได้ถอดเสื้อกาวน์ของหมอออก เผยให้เห็นเสื้อเชิ้ตสีขาวที่ห่อหุ้มร่างกายที่แน่นตึงไว้ เขาได้ทำการปลดกระดุมเม็ดบนออก ลูกกระเดือกที่เซ็กซี่ของเขาได้กระดกไปมา
สายตาของเวินจิ้งจ้องจดจ่ออย่างไม่ละสายตา
“พูดมาครับ” มู่วี่สิงทำการพับแขนเสื้อขึ้น แล้วนั่งลงบนโซฟาที่อยู่ตรงข้าม
และตรงหน้าเขายังมีเอกสารกองหนาวางอยู่ ดูเหมือนจะเป็นเอกสารที่เขาต้องจัดการ
“คุณมีข่าวคราวเกี่ยวกับหยูจิ่งห้วนไหม” เวินจิ้งถามเขาด้วยความกระสับกระส่าย “ฉันเห็นข่าวว่ามีคนติดอยู่ที่เขตขั้วโลกเหนือ…..”
“คุณคิดว่าจะเกิดเรื่องไม่ดีกับเขาหรือ” มู่วี่สิงขมวดคิ้ว แล้วหยิบโทรศัพท์ออกมา
“ฉันแค่เป็นห่วง…..” สีหน้าเวินจิ้งซีดเซียว
“ผมขอโทรศัพท์สักครู่” มู่วี่สิงโทรศัพท์หาเกาเชียนอย่างรวดเร็ว
เวินจิ้งที่ก้มหน้าอยู่ กุมมือบีบนิ้วอย่างกระวนกระวาย จนกระทั่งมู่วี่สิงวางโทรศัพท์ลง
“ผู้ที่ติดอยู่ในนั้นเป็นบุคลากรที่เป็นทั้งศาสตราจารย์และแพทย์ของทีมวิจัยและพัฒนาโรงพยาบาลหนานเฉิงจริง” เรื่องด่วนเช่นนี้มู่วี่สิงควรจะได้รับแจ้งตั้งแต่เนิ่นๆแล้ว แต่เป็นเพราะเขาติดภารกิจการผ่าตัด
ได้ยินดังนั้นเวินจิ้งถึงกับถอดสีหน้า “แล้วเมื่อไรจะสามารถให้การช่วยเหลือออกมาได้ จิ่งห้วนเขา…..”
“ดูเหมือนคุณจะเป็นห่วงเขาจริงๆ”น้ำเสียงมู่วี่สิงที่บ่งบอกเชิงแน่ใจ
เวินจิ้งกัดปาก และไม่มีการปฏิเสธแต่อย่างใด
“เขาเป็นแฟนของฉัน” เสียงของเวินจิ้งที่ค่อนข้างดังในตอนนี้
มู่วี่สิงกลับหัวเราะออกมาด้วยความเย็นชา “ถ้าหากผมบอกว่าเขาอาจจะไม่สามารถกลับมาได้แล้วละ”
ดวงตาเวินจิ้งเบิกกว้าง สีหน้าที่เต็มไปด้วยความไม่เชื่อ
“เป็นไปไม่ได้” เธอพูดอย่างหนักแน่น
“มู่วี่สิง เขาเป็นลูกน้องของคุณ คุณส่งคนไปช่วยเขาสิ!”เวินจิ้งพูดด้วยความโกรธ
แต่ว่าชายที่เธอเผชิญหน้าอยู่กลับยังคงสงบนิ่ง
“ตอนนี้สนามบินเขตขั้วโลกเหนือได้ถูกปิดระงับ นอกจากหน่วยกู้ภัยแล้วก็ไม่มีใครที่จะสามารถเข้าไปได้”
“ตอนนี้คุณจึงทำได้แค่เฝ้าดูอย่างนิ่งดูดายอย่างนั้นสิ”
“คุณเวิน ผมคิดว่าตอนนี้คุณควรจะสงบสติอารมณ์ให้ใจเย็นก่อน” มู่วี่สิงได้ถือน้ำเย็นแก้วหนึ่งมาให้เธอ
เวินจิ้งที่กำลังหอบอยู่ เธอรับไม่ได้กับท่าทีที่สงบนิ่งไม่รู้สึกรู้สาของมู่วี่สิง
หยิบแก้วน้ำที่อยู่ตรงหน้าขึ้นแล้วดื่มจนหมด
“คุณคิดจะทำอย่างไรต่อไป” เธอถามขึ้นด้วยอารมณ์ที่เย็นลง
มู่วี่สิงเอนกายอย่างขี้เกียจลงบนโซฟา แล้วจ้องดูโทรศัพท์ เกาเชียนที่กำลังรายงานสถานการณ์ความคืบหน้าในเขตขั้วโลกเหนือให้เขาได้รับทราบ
“รอ”
“รอไม่ได้ จิ่งห้วนอาจได้รับอันตรายได้” เวินจิ้งบ่นพึมพำ “คุณเป็นคนส่งเขาไปทำงานนอกสถานที่ คุณก็ต้องรับผิดชอบความปลอดภัยของเขา”
“แล้วไง หรือคุณเวินจะไปเขตขั้วโลกเหนือด้วยตัวเอง” มู่วี่สิงเงยหน้าขึ้นในทันใด
ดวงตาที่เฉียบคมของเขา “เจ้าหน้าที่หน่วยกู้ภัยของเขตขั้วโลกเหนือกำลังให้การช่วยเหลือแล้ว สิ่งที่พวกเราทำได้มากสุดในตอนนี้คือ รอฟังข่าวคราว”
เวินจิ้งกัดริมฝีปาก เธอเข้าใจความหมายของมู่วี่สิง
เป็นเพราะเมื่อสักครู่เธอใจร้อนมากไปจริงๆ ถึงได้มาหาเขา แต่ลึกๆภายในใจของเธอ เขานั้นยังคงเป็นคนที่เธอให้ความเชื่อใจได้มากที่สุด
จิตใต้สำนึกเช่นนี้ ให้เธอขจัดทิ้งอย่างไรก็ขจัดทิ้งไม่ได้
“ฉันทราบแล้ว” จบประโยค เธอหันหลังเพื่อจะกลับ
เพียงแต่มู่วี่สิงได้เรียกเธอให้หยุด
“ที่ที่ของผม ไม่ใช่ที่ที่คุณนึกอยากจะมาก็มา อยากจะไปก็ไป” คำพูดของชายคนนั้นฟังแล้วชวนขนลุก
เวินจิ้งตัวแข็งทื่อไปทั้งตัว